- หลังจากดูจบไปหลายวันจนออกจากโรงไปแล้วภาพรวมทั้งมวลยังคงวนเวียนอยู่ในหัวจนต้องใช้เวลาดองหลายวันกว่าจะเรียบเรียงและพรรณนาออกมาทีละอย่าง คือ ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 45 นาทีสำหรับผมสนุก ดุเดือด ร้อนระอุ และ เข้มข้นไปกับเรื่องราวชุลมุนวุ่นลักที่มีโทนคล้ายกับ The Crying Game (1992) นิด ๆ จนเวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ถือว่าดูง่ายกว่าหนังค่ายนี้หลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมา ถึงแม้อ่านเรื่องย่อและดูตัวอย่างมาก็พออนุมานได้ว่าไม่ใช่หนังที่เล่าธรรมดาดาษดื่นแน่นอน อย่าลืมว่าเมื่ออยู่ในมือของค่ายนี้การันตีว่าต้องมีอะไรที่พิเศษยิ่งกว่าใส่ไข่รอต้อนรับคนดูอย่างเราอยู่เสมอ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิด เพราะระหว่างทางจะมีเหตุการณ์ชวนพลิกไปแผลงมาผสมกับแสดงภาพเชิงสัญญะท่ามกลางบรรยากาศ Retro ผสมฟิล์มนัวร์แทรกเป็นระยะให้เราดื่มด่ำและตีความเล่น ๆ ขณะเดียวกันก็แอบนึกถึงงานกำกับของ 2 พี่น้อง Cohen ในสไตล์อาชญากรรมภูธรที่ไม่ได้ตลกร้ายตาม
- เปิดเรื่องมาด้วยท้องฟ้าในค่ำคืนอันมืดมิดพร้อมกับ Score ที่บรรเลงได้อรรถรสชวนคิดถึงวันวานด้วยเพลง ยุค 80 หลังจากนั้นกล้องค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงไปที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งพร้อมกับเป็นการแนะนำตัวพระเอกของเรื่อง Lou ก่อนว่าเป็นใคร ทำอะไรให้เรารู้จักกันไม่นานมากตัวหนังก็ตัดภาพไปที่ตัวนางเอก Jackie อย่างไวเพื่อเป็นการแนะนำตัวเหมือนกันจนกระทั่งมาเจอกับ Lou ในฟิตเนสเข้าหนังก็เริ่มเข้าสู่โหมด Romance ของทั้งคู่ไปสู่คนรักอย่างร้อนแรงคล้ายกับเรื่อง Egoist (2022) แต่มีการแสดง Activity ทางเพศหรือคำพูดที่รุนแรงกว่า เนื่องจากผู้กำกับ Rose Glass เคยฝากผลงานสุดเฮี้ยน Saint Maud (2019) เข้าใจโลกผู้หญิงว่าเป็นอย่างไรด้วยการใช้สีแดงเป็น Symbol ของพลังและอำนาจสื่อผ่านมุมมองของ Feminist ในยุคนั้น พอมีบทที่ตัวละครผู้หญิงสู้ชีวิตถูกสังคมกดขี่บดทับแล้วใส่ความเป็น Action ลงไปเพื่อเป็นจุดขายความบันเทิงด้วยผลที่ได้คือมันกลับเข้าทางสไตล์การกำกับของเธอที่นอกจากได้ทำอะไรแปลก ๆ ไปจากเดิมแล้วแถม Scene Action ที่ไม่ได้ใส่พร่ำเพรื่อแต่มาแต่ละทีจัดซะจนเลือดฉีกสาแหรกขาดทุกดอก
- การเดินเรื่องคือผ่านไปไว เนื่องจากมี Location ที่ตัวละครสุ่มหัวกันไม่ได้เยอะมาก มีตัวหลักไม่กี่คนด้วยมันเลยทำให้เราโฟกัสไปที่ Story ได้เต็มที่แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นไปซะทีเดียวเพราะการตัดฉากที่ตัดตามใจฉันดื้อ ๆ เส้นเรื่องระหว่างปมส่วนตัวของ 2 สาวที่ต่างคนต่างมีลับลมคมใน หรือ คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นโดยมีพ่อของ Lou เป็นผู้คุมเกมส์อยู่พันกันยุ่งเหยิงมันเลยมีความก้ำกึ่ง ๆ ที่ว่าตีคู่กัน แต่ถึงจะซับซ้อนแต่ไม่ยากเกินคาดเดา เพราะ ตัวบทแบบนี้สามารถเข้าถึงคนดูทุกกลุ่มทั้งดูเพื่อเอาความสนุกและเสพเพื่อความสุนทรีย์แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตามใจหมดทุกอย่าง บางอย่างก็ปล่อยให้คนดูคิดเอง ไม่ใช่ดูจบแล้วก็ลืม ๆ ไปแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน
- ชอบมากคือเคมีของ Kristen กับ Katy นอกจากแสดงได้เข้ากันจนเราอิน Love ตามแล้วยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องน่าติดตามไปตั้งแต่ต้นจบโดยไม่รู้สึกน่าเบื่อแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งการแสดงของ kristen ที่เราติดลุคหล่อไปแล้วช่วยส่งเสริมและผลักดันให้การแสดงของ katy เป็นตัวละครที่มีการพัฒนาการอย่างเฉิดฉายในแง่ของรัก โลภ โกรธ หลง จนเห็นถึงความสับสนในใจผ่านร่างกายกำยำดุจชายชาตรี ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่น อาทิ ลุง Ed Harris โผล่หน้ามาก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร ซึ่งลุงแสดงดีในบทแบบนี้เช่นเคย แต่น่าเสียดายหน่อยตรงที่หนังไม่ได้แสดงความโหดของลุงมากเท่าที่ควร ภาพรวมจึงดูเงอะงักเหมือนรถดังแต่ท่อแต่ล้อไม่หมุน พรี่ Dave Franco รอบนี้พลิกบทที่เคยเล่นมาด้วยการพกความเถื่อน ถ่อย
และหื่นกามครบสูตรชายแทร่แล้วเวลาดูเหมือนภาพพี่ชายของเขา James Franco ลอยมายังไงยังงั้น , Jena Malone รับบทเป็นพี่สาวของ Kristen และ ภรรเมียของ Dave นอกจากเปลี่ยนลุคซะจนจำไม่ได้แล้วขณะดูไปไม่รู้จะสงสารที่ถูกผัวซ้อมหรือสมน้ำหน้าที่ดันปกป้องผัวดี อีกคนที่ขาดไม่ได้อย่าง Anna Baryshnikov สาวโก๊ะประจำเรื่อง ถึงโผล่ไม่มากแต่ทุก Scene ที่ปรากฎช่วยทำให้เรื่องมีสีสันจากความเผือกเรื่องเพื่อนให้เราหมั่นไส้คุณเธออยู่ไม่น้อย
- ช่วงท้าย ๆ พอเดาทางอยู่ว่าจะลงแบบไหนแต่ยอมรับว่าตกใจกับสิ่งที่เห็นไม่คิดว่าหนังมันจะมา way นี้จนสตั๊นท์ไปชั่วครู่พร้อมกับเกิดคำถามว่า เอางี้จริงดิ ? แต่ถ้าลองกลับไปทบทวนตั้งแต่แรก ๆ มันมีการส่ง Signal บอกพวกแล้วว่ากูจะมาประมาณนี้ แต่เราไม่ได้เอะใจไปไกลกว่านั้นจนกระทั่งมาถึง Scene ที่ Jackie โทรศัพท์หาน้องชายแล้วแม่ก็ได้พูดแทรกขึ้นจากปลายสายคือเริ่มเอะใจขึ้นมาทันทีว่ามันเป็น Keywords ไปสู่บทสรุปที่หาทางลงง่ายไปหน่อยเหมือนว่าขอพอแค่นี้ดีกว่าทั้งที่มันสามารถไต่ไปสู่จุดพีคได้กว่านี้แถมปัญหาที่ตัวละครก่อไม่ว่าทั้ง Lou , Jackie หรือ พ่อของ Lou มันไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในครอบครัวแต่มันโยงไประดับประเทศลามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ไหนจะประเด็นค้าอาวุธสงคราม , ค้ายาเสพติด หรือกระทั่งการมีชีวิตตามแบบ American Dream อีก มันเลยทำให้ประเด็นที่นำเสนอมาแต่ละอย่างรวมถึงการคลายปมคนตุยที่คลี่ได้หละหลวมก็ถูกเล่าผ่าน ๆ แล้วหายไปตามลม ที่ตำหนิอีกอย่างคือตัวหนังไม่ได้บอกที่มาเกี่ยวกับตัว Jackie เลยว่าเธอมาจากไหน เหตุใดคุณเธอถึงเป็นเช่นนี้เราเลยไม่ได้รู้จักมักจี่เกี่ยวกับเธอขึ้นมาเลย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าคงอยากจะเล่าในสเกลระดับตำบลก็เพราะต้องการเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของตัวละครและเส้นเรื่องที่สามารถคุมอยู่ใน way ที่จำกัดตามงบและสามารถปล่อยจอยทางไอเดียได้อิสระโยธิน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.94 Love Lies Bleeding : เกมรัก เล่ห์ร้าย ลวงแผนชิ่ง กระตุกหนวดเสือซ่อนลาย
- หลังจากดูจบไปหลายวันจนออกจากโรงไปแล้วภาพรวมทั้งมวลยังคงวนเวียนอยู่ในหัวจนต้องใช้เวลาดองหลายวันกว่าจะเรียบเรียงและพรรณนาออกมาทีละอย่าง คือ ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 45 นาทีสำหรับผมสนุก ดุเดือด ร้อนระอุ และ เข้มข้นไปกับเรื่องราวชุลมุนวุ่นลักที่มีโทนคล้ายกับ The Crying Game (1992) นิด ๆ จนเวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ถือว่าดูง่ายกว่าหนังค่ายนี้หลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมา ถึงแม้อ่านเรื่องย่อและดูตัวอย่างมาก็พออนุมานได้ว่าไม่ใช่หนังที่เล่าธรรมดาดาษดื่นแน่นอน อย่าลืมว่าเมื่ออยู่ในมือของค่ายนี้การันตีว่าต้องมีอะไรที่พิเศษยิ่งกว่าใส่ไข่รอต้อนรับคนดูอย่างเราอยู่เสมอ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิด เพราะระหว่างทางจะมีเหตุการณ์ชวนพลิกไปแผลงมาผสมกับแสดงภาพเชิงสัญญะท่ามกลางบรรยากาศ Retro ผสมฟิล์มนัวร์แทรกเป็นระยะให้เราดื่มด่ำและตีความเล่น ๆ ขณะเดียวกันก็แอบนึกถึงงานกำกับของ 2 พี่น้อง Cohen ในสไตล์อาชญากรรมภูธรที่ไม่ได้ตลกร้ายตาม
- เปิดเรื่องมาด้วยท้องฟ้าในค่ำคืนอันมืดมิดพร้อมกับ Score ที่บรรเลงได้อรรถรสชวนคิดถึงวันวานด้วยเพลง ยุค 80 หลังจากนั้นกล้องค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงไปที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งพร้อมกับเป็นการแนะนำตัวพระเอกของเรื่อง Lou ก่อนว่าเป็นใคร ทำอะไรให้เรารู้จักกันไม่นานมากตัวหนังก็ตัดภาพไปที่ตัวนางเอก Jackie อย่างไวเพื่อเป็นการแนะนำตัวเหมือนกันจนกระทั่งมาเจอกับ Lou ในฟิตเนสเข้าหนังก็เริ่มเข้าสู่โหมด Romance ของทั้งคู่ไปสู่คนรักอย่างร้อนแรงคล้ายกับเรื่อง Egoist (2022) แต่มีการแสดง Activity ทางเพศหรือคำพูดที่รุนแรงกว่า เนื่องจากผู้กำกับ Rose Glass เคยฝากผลงานสุดเฮี้ยน Saint Maud (2019) เข้าใจโลกผู้หญิงว่าเป็นอย่างไรด้วยการใช้สีแดงเป็น Symbol ของพลังและอำนาจสื่อผ่านมุมมองของ Feminist ในยุคนั้น พอมีบทที่ตัวละครผู้หญิงสู้ชีวิตถูกสังคมกดขี่บดทับแล้วใส่ความเป็น Action ลงไปเพื่อเป็นจุดขายความบันเทิงด้วยผลที่ได้คือมันกลับเข้าทางสไตล์การกำกับของเธอที่นอกจากได้ทำอะไรแปลก ๆ ไปจากเดิมแล้วแถม Scene Action ที่ไม่ได้ใส่พร่ำเพรื่อแต่มาแต่ละทีจัดซะจนเลือดฉีกสาแหรกขาดทุกดอก
- การเดินเรื่องคือผ่านไปไว เนื่องจากมี Location ที่ตัวละครสุ่มหัวกันไม่ได้เยอะมาก มีตัวหลักไม่กี่คนด้วยมันเลยทำให้เราโฟกัสไปที่ Story ได้เต็มที่แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นไปซะทีเดียวเพราะการตัดฉากที่ตัดตามใจฉันดื้อ ๆ เส้นเรื่องระหว่างปมส่วนตัวของ 2 สาวที่ต่างคนต่างมีลับลมคมใน หรือ คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นโดยมีพ่อของ Lou เป็นผู้คุมเกมส์อยู่พันกันยุ่งเหยิงมันเลยมีความก้ำกึ่ง ๆ ที่ว่าตีคู่กัน แต่ถึงจะซับซ้อนแต่ไม่ยากเกินคาดเดา เพราะ ตัวบทแบบนี้สามารถเข้าถึงคนดูทุกกลุ่มทั้งดูเพื่อเอาความสนุกและเสพเพื่อความสุนทรีย์แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตามใจหมดทุกอย่าง บางอย่างก็ปล่อยให้คนดูคิดเอง ไม่ใช่ดูจบแล้วก็ลืม ๆ ไปแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน
- ชอบมากคือเคมีของ Kristen กับ Katy นอกจากแสดงได้เข้ากันจนเราอิน Love ตามแล้วยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องน่าติดตามไปตั้งแต่ต้นจบโดยไม่รู้สึกน่าเบื่อแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งการแสดงของ kristen ที่เราติดลุคหล่อไปแล้วช่วยส่งเสริมและผลักดันให้การแสดงของ katy เป็นตัวละครที่มีการพัฒนาการอย่างเฉิดฉายในแง่ของรัก โลภ โกรธ หลง จนเห็นถึงความสับสนในใจผ่านร่างกายกำยำดุจชายชาตรี ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่น อาทิ ลุง Ed Harris โผล่หน้ามาก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร ซึ่งลุงแสดงดีในบทแบบนี้เช่นเคย แต่น่าเสียดายหน่อยตรงที่หนังไม่ได้แสดงความโหดของลุงมากเท่าที่ควร ภาพรวมจึงดูเงอะงักเหมือนรถดังแต่ท่อแต่ล้อไม่หมุน พรี่ Dave Franco รอบนี้พลิกบทที่เคยเล่นมาด้วยการพกความเถื่อน ถ่อย และหื่นกามครบสูตรชายแทร่แล้วเวลาดูเหมือนภาพพี่ชายของเขา James Franco ลอยมายังไงยังงั้น , Jena Malone รับบทเป็นพี่สาวของ Kristen และ ภรรเมียของ Dave นอกจากเปลี่ยนลุคซะจนจำไม่ได้แล้วขณะดูไปไม่รู้จะสงสารที่ถูกผัวซ้อมหรือสมน้ำหน้าที่ดันปกป้องผัวดี อีกคนที่ขาดไม่ได้อย่าง Anna Baryshnikov สาวโก๊ะประจำเรื่อง ถึงโผล่ไม่มากแต่ทุก Scene ที่ปรากฎช่วยทำให้เรื่องมีสีสันจากความเผือกเรื่องเพื่อนให้เราหมั่นไส้คุณเธออยู่ไม่น้อย
- ช่วงท้าย ๆ พอเดาทางอยู่ว่าจะลงแบบไหนแต่ยอมรับว่าตกใจกับสิ่งที่เห็นไม่คิดว่าหนังมันจะมา way นี้จนสตั๊นท์ไปชั่วครู่พร้อมกับเกิดคำถามว่า เอางี้จริงดิ ? แต่ถ้าลองกลับไปทบทวนตั้งแต่แรก ๆ มันมีการส่ง Signal บอกพวกแล้วว่ากูจะมาประมาณนี้ แต่เราไม่ได้เอะใจไปไกลกว่านั้นจนกระทั่งมาถึง Scene ที่ Jackie โทรศัพท์หาน้องชายแล้วแม่ก็ได้พูดแทรกขึ้นจากปลายสายคือเริ่มเอะใจขึ้นมาทันทีว่ามันเป็น Keywords ไปสู่บทสรุปที่หาทางลงง่ายไปหน่อยเหมือนว่าขอพอแค่นี้ดีกว่าทั้งที่มันสามารถไต่ไปสู่จุดพีคได้กว่านี้แถมปัญหาที่ตัวละครก่อไม่ว่าทั้ง Lou , Jackie หรือ พ่อของ Lou มันไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในครอบครัวแต่มันโยงไประดับประเทศลามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ไหนจะประเด็นค้าอาวุธสงคราม , ค้ายาเสพติด หรือกระทั่งการมีชีวิตตามแบบ American Dream อีก มันเลยทำให้ประเด็นที่นำเสนอมาแต่ละอย่างรวมถึงการคลายปมคนตุยที่คลี่ได้หละหลวมก็ถูกเล่าผ่าน ๆ แล้วหายไปตามลม ที่ตำหนิอีกอย่างคือตัวหนังไม่ได้บอกที่มาเกี่ยวกับตัว Jackie เลยว่าเธอมาจากไหน เหตุใดคุณเธอถึงเป็นเช่นนี้เราเลยไม่ได้รู้จักมักจี่เกี่ยวกับเธอขึ้นมาเลย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าคงอยากจะเล่าในสเกลระดับตำบลก็เพราะต้องการเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของตัวละครและเส้นเรื่องที่สามารถคุมอยู่ใน way ที่จำกัดตามงบและสามารถปล่อยจอยทางไอเดียได้อิสระโยธิน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้