ในขณะที่คนอื่นชักชวนกันให้ทิ้งตำรา ฉีกทิ้งพระไตรปิฎก
แต่ อ.สุจินต์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นคริสต์ เหตุเพราะเคยเรียนในโรงเรียนคริสต์ กลับสนับสนุนให้ชาวพุทธหันมาศึกษาพระไตรปิฎก
อ. สุจินต์ "ดิฉันคิดว่า ทุกคนอาจยังไม่เคยอ่านพระไตรปิฏกด้วยตัวเอง เพราะว่าบางทีก็คิดว่าไม่มีเวลา แค่ฟังเทปนี้ก็มากแล้ว อะไรอย่างนี้
แต่อยากจะขอร้องจริงๆ ว่า ถ้าได้อ่านพระไตรปิฏกด้วยตัวเอง จะวางไม่ลง ถ้าเป็นเล่มเล็กๆ อาจจะอ่านได้หมดเลย คือว่าอ่านแล้วก็ต่อๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลืม ทีแรกก็คิดว่าจะอ่านสักสูตรเดียวหรืออะไรอย่างนั้น ที่อาจจะค้น หรือต้องการจะอ่าน แต่อยากจะให้อ่านจริงๆ เพราะเหตุว่า ที่ยกมาเป็นตัวอย่างในการบรรยาย เพื่อเชิญชวนให้ทุกคนได้เห็นบางข้อความเท่านั้น ซึ่งความสมบูรณ์จริงๆ เต็มในพระไตรปิฏก ทั้งพระวินัย ทั้งพระสูตร พระอภิธรรม"
"จริงๆ แล้ว
พระไตรปิฏกจะมีคุณมากตอนที่เราอ่านแล้วรู้ว่า เป็นตัวเราที่ไม่ดี ใช่ไหม อย่างเวลาที่ทรงแสดงกับพระภิกษุ หรือว่าใครก็ตามแต่ คฤหบดีที่ไปเฝ้า แล้วกราบทูลถาม และทรงแสดงสภาพธรรม เป็นชีวิต เป็นขณะจิต เป็นของจริง ซึ่งเกิดกับเรา ก็เหมือนกับทรงเทศนากับเรา ให้เห็นตัวเรา
เพราะฉะนั้นถ้าอยากรู้จักตัวเอง แล้วพระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องนี้ ถึงตัวเราเดี๋ยวนี้ ก็ไปอ่านพระไตรปิฏก ชี้แจงให้เห็นความจริงที่เราได้สะสมมา จากพระโอษฐ์ ทั้งหมดนี้น้อมมา
เพื่อที่จะได้เห็นโทษของอกุศล แล้วก็เห็นประโยชน์ของการเจริญกุศล"
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/32
ตอนที่ ๓๒
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พศ. ๒๕๓๖
ส. ถ้าไม่พิจารณาในเหตุผล อย่างการได้ยินได้ขนาดนี้ เป็นวิบาก เป็นผลของกรรมอะไร ตอบได้หรือ ไม่มีทางจะตอบได้เลย เพราะฉะนั้นขณะใดที่กระทำกรรม คนนั้นก็ไม่รู้ว่ากรรมนี้จะให้ผลเมื่อไหร่ เป็นสภาพปกปิดจริงๆ จะให้ผลมากหรือให้ผลน้อยอย่างไรก็ไม่รู้ และเวลาที่ผลของกรรมเกิด ก็ไม่รู้ว่าผลนี้มาจากกรรมอะไร ชาติไหน อย่างเรากำลังจะทานขนมอะไรพวกนี้ เป็นผลของกรรมอะไร ชาติไหน แต่ว่า มีกรรมที่ทำให้ชิวหาปสาทเกิด มีรูปกระทบ ทำให้วิบากจิตลิ้มรส ขณะที่ลิ้มรสนั้นคือผลของกรรมแล้ว เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ เรามีผลของกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยลืมว่า นี่เป็นผลของกรรม แต่จริงๆ แล้วทุกขณะเหล่านี้ เป็นผลของกรรม มีกรรมซึ่งได้ทำแล้วเป็นเหตุ และหลังจากลิ้มรสแล้ว เห็นแล้ว ก็ยังมีกิเลสซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดกรรมต่อไปอีก แล้วแต่ว่าจะมากน้อยที่จะทำให้เราเกิดกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ก็ไม่สิ้นสุดถ้าตราบใดที่มีกิเลส ก็ต้องมีกรรม และก็ต้องมีวิบาก แต่ว่าเป็นสิ่งที่ปกปิดเพราะว่าเราไม่สามารถจะติดตามไปรู้ได้ว่า กรรมนี้จะให้ผลเมื่อไหร่ หรือว่า ผลนี้เป็นผลของกรรมเมื่อไหร่
ถ. คำว่า สีลัพพตปรามาส มีความหมายอย่างไร
ส. ลูบคลำข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด จากหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม
ถ. แล้วคำว่า อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ ที่บอกว่าเป็นความเห็นผิดอย่างอื่น เป็นความผิดยังไง
ส. อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ จะต้องจำแนกความเห็นผิดออกไปว่า มีความเห็นผิดกี่ประการ และ ความผิดอื่นนอกจากนั้นคือ อิทังสัจจาภินิเวส
ถ. คำว่า ลูบคลำข้อปฏิบัติที่ผิด ข้อปฏิบัติที่ถูกนี้ มีอยู่ข้อเดียวใช่ไหม
ส. ข้อเดียวคืออะไร คือ การอบรมเจริญปัญญา รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ถ. ถ้าสมมติเวลานี้ การฟังก็พอจะมีความเข้าใจอยู่บ้าง ที่นี้ว่า สิ่งที่ไปเพิ่มพูนให้เกิดมีสติและปัญญา ด้วยการคิดนึกอย่างนั้นใช่ไหม
ส. ไม่ใช่ การคิดนึกก็เป็นส่วนหนึ่ง ถ้าคิดถูกก็เป็นกุศล
ถ. คิดในเรื่องของสิ่งที่ปรากฏว่า...
ส. แต่ไม่ใช่การประจักษ์แจ้ง ก็ต้องมีการฟังและการพิจารณาเข้าใจและสติเกิด
ถ. เพราะว่าจะต้องเน้นในลักษณะที่ว่า มีลักษณะจริงๆ ของแต่ละทางที่ปรากฏ เช่นทางตา
ส. ต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏพอที่สติจะเกิดระลึกได้ ถ้ายังไม่มีความเข้าใจ ก็ไม่มีการที่สติจะเป็นระลึกได้
ถ. อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตา ท่านอาจารย์ก็พูดมามาก และ มีคำถามถามกันมามาก แต่ความเข้าใจจริงๆ ก็คิดว่ามันยังเป็นสิ่งที่ยังไม่ใกล้ คล้ายว่า เห็นทีไร มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ปรากฏ แล้วเราจะพิจารณาให้มันเป็นสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ...
ส. ก็เวลานี้ก็กำลังปรากฏอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่ปรากฏ เวลานี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจริงๆ
ถ. แล้วทำไมเราถึงเห็นคนเป็นผู้หญิง ผู้ชาย
ส. เพราะเหตุว่า ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจได้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา
ถ. เดี๋ยวนี้จะว่าไม่เข้าใจ ก็เข้าใจนะ
ส. เข้าใจเรื่อง เข้าใจคำ แต่เข้าใจจริงๆ คือขณะนี้ ที่กำลังเห็น แล้วรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องใช้กาลเวลา ไม่ต้องคิดเลย แล้วแต่เหตุปัจจัย
ถ. และอย่างทางหู บางครั้ง ก็พอจะมีการพิจารณาที่ไม่ค่อยจะยาก ไม่เหมือนทางตา เพราะทางหู มันเป็นเพียงเสียง แล้วจึงจะมีการคิดเป็นคำ แต่ทางตา มันปรุงแต่ง...
ส. แต่ถึงเวลานี้ ขณะใดที่สติสัมปชัญญะไม่เกิด ปัญญายังไม่เจริญ ก็คิดว่า ได้ยินคำแล้ว ไม่ใช่ได้ยินเสียง
ถ. แต่มันมีเสียงปรากฏ
ส. ถูก แต่ว่าในขณะนั้นที่ได้ยินนี่ รู้คำเลย เป็นเรื่องการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่เรื่องที่จะไปรีบร้อน เร่งรัด หรือทำอะไรเลย แต่รู้ว่าปัญญาต้องอบรม การอบรมนี้คือต้องช้าทีเดียว ไม่ใช่ว่าเร็ว แล้วแต่การสะสมของแต่ละคนว่า สะสมมากน้อยแค่ไหน ถ้าสะสมมาก ก็เร็วมาก ถ้าสะสมมาน้อย ก็ต้องสะสมต่อไปอีก
ถ. อย่างเวลาที่สติปัญญาเกิด สิ่งที่ปรากฏ ก็รู้ตามความเป็นจริง และสิ่งที่เป็นการคิดนึกจนกระทั่งเป็นสัตว์ เป็นบุคล ก็รู้ตามความเป็นจริง หมายความว่า รู้ทั้ง ๒ ธรรม อย่างนั้นใช่ไหม
ส. รู้ตามความเป็นจริงทุกอย่าง ทุกอย่าง ตามความเป็นจริงแต่ละอย่างๆ
ถ. แล้วถ้าเป็นสมมุติ บัญญัติ
ส. ขณะนั้นเป็นความคิดก็รู้ว่าเป็นจิตที่คิด
ถ. ไม่ใช่ว่าพอเป็นสติปัฏฐานแล้ว ก็มีแต่ลักษณะอย่างเดียว จนกระทั่งไม่มีสิ่งที่เป็นบัญญัติหรือสมมุติเลย อย่างนั้นใช่ไหม
ส. ขณะที่กำลังรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีจริงหรือเปล่า
ถ. จากการศึกษาก็ว่า มันจะต้อง
ส. เอาความจริงเดี๋ยวนี้ ที่รู้ว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ มีจริงหรือเปล่า อาการรู้ ลักษณะรู้นั้นมีจริงไหม ถ้ามี ขณะนั้นสภาพรู้อย่างนั้นเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เห็น แต่เป็นสภาพรู้ความหมายของสิ่งที่เห็น
ถ. ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า การเห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ ขณะที่สติปัญญาไม่เกิดก็ต้องเป็นลักษณะที่ไม่รู้ แต่เวลาที่สติปัญญาเกิด ก็เห็นเป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ตามความเป็นจริง
ส. แต่รู้ว่าขณะนั้นเป็นนามธรรมที่รู้อย่างนั้น ไม่ผิดปกติเลยทุกอย่าง ตามความเป็นจริง ถึงต้องเป็นเรื่องที่ต้องเจริญทั่วและละเอียด
ถ. แต่ทั่วนี้คงยังไม่ทั่ว แต่ผมกำลังพิจารณาในแต่ละทางที่มันพอจะมีแนวที่จะพิจารณาต่อไป คือ เวลานี้มันเกิดความสงสัยเหมือนกันว่า สิ่งที่ปรากฏ ก็รู้ว่า เป็นเพียง ถ้าเป็นทางตาก็เป็นสี เมื่อหลังจากสีปรากฏแล้ว ก็จะต้องเป็นวัตถุ เป็นคน เป็น หญิง เป็นชาย เป็นต้นไม้ เป็นเก้าอี้ ทีนี้เมื่อสติปัญญเกิด ก็รู้ว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นหญิง เป็นชาย ตามความเป็นจริงอย่างนี้ใช่ไหม
ส. แต่รู้ว่าเป็นสภาพรู้ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก่อนจะรู้ทั่ว ก็ต้องรู้ทีละลักษณะๆ ค่อยรู้ไปทีละเล็กทีละน้อย พอทั่วแล้วก็เหมือนกันหมดคือนามธรรมที่รู้
ถ. แต่เวลานี้มันเป็นความรู้ที่ได้จากความย่อที่...
ส. ก็ต้องอบรม ไม่อย่างนั้น ผู้มีพระภาคจะไม่ใช้คำว่า ภาวนา ก็หมายความว่ารู้ทันที แต่นี่ใช้คำว่า ภาวนา แปลว่า ต้องอบรม จีรกาลภาวนา ใช้คำนี้ด้วย จีระแปลว่า ยาวนาน กาละแปลว่า เวลา ต้องใช้เวลานานมากในการอบรม การอบรมด้วยสติปัฎฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าจะรู้จริงๆ จนกว่าจะรู้ทั่ว จนกว่าจะรู้ละเอียด
ถ. ขอเรียนถามเกี่ยวกับเรื่อง การวิรัติ งดเว้น หมายความว่าเป็นศีลขั้นกาย ขั้นวาจา หมายความขณะนั้นยังมีตัว มีตน เป็นเราอยู่ใช่ไหม
ส. แล้วแต่บุคคล พระอริยะท่านก็มีวิรัติ
ถ. แต่เวลาพอเป็นการประหารกิเลส ขณะนั้นไม่มีคำว่า สมาทานศีลเลยใช่ไหม
ส. แล้วแต่บุคคล สมาทาน แปลว่า ถือเอา ประพฤติปฏิบัติ ใช้คำก็ต้องใช้ให้ถูกให้เข้าใจความหมายว่า สมาทานคืออย่างไร สมาทานหมายความถึง ถือเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ
ถ. โดยที่มีสิ่งที่งดเว้นเป็นข้อ๑ ข้อ๒ ข้อ๓ ข้อ๔ ข้อ๕
ส. คุณสุกลไม่ได้ลักขโมยใครใช่ไหม
ถ. มันยังไม่มีเหตุที่ลักขโมย
ส. เพราะฉะนั้น เวลาที่เราไม่ทำ หมายความว่า เราถือเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ เราจะต้องไปบอกใครอะไรหรือเปล่า
ถ. บอกไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เราหลงลืมใช่ไหม
ส. ไม่ต้องบอกก็ได้ บอกแล้วไม่ทำก็ได้ บอกทำไม กับเราทำโดยที่แล้วก็ไม่ต้องบอก แต่เราถือเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ
ถ. คำว่า ประหารกิเลส ดับกิเลส ไม่เกิดอีกเลย กิเลสที่ดับแล้วจะไม่เกิดอีกเลย ตรงนี้ยังไม่เข้าใจ
ส. ไม่มีการดับกิเลส ไม่มีพระอริยบุคคล มีแต่ปุถุชน แต่ปุถุชนต่างกับพระอริยบุคคลที่พระอริยบุคคลดับกิเลส กิเลสที่ดับแล้วไม่เกิดอีก ตามลำดับขั้น
ถ. ทั้งๆ ที่ก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่นต่างๆ เป็นปกติ
ส. นี่เป็นความต่างกันของพระอริยบุคคล กับ ปุถุชน
ถ. ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยปัญญา
ส. แน่นอน
ถ. การอบรมปัญญานี้ นอกจากการเจริญสติปัฏฐาน ยังมีธรรมข้ออื่นที่จะเกื้อกูล
ส. ทุกอย่างในชีวิตประจำวัน
ถ. ทาน ศีล ก็มีส่วนสนับสนุนด้วย
ส. ที่บรรยายไว้ ฟังหมดหรือยัง ถึงจะต้องให้บรรยายอีกใช่ไหม และเข้าใจหมดหรือยัง และก็อบรมเจริญอย่างนั้นหมดรึยัง ก็ไม่ต้องมีการบรรยายอะไรอีก
เพราะว่าทุกท่านที่เข้าใจแล้ว ก็ศึกษาเองตามพระไตรปิฏก อรรถกถา ยิ่งละเอียดมากกว่านั้นเยอะแยะ ไพเราะมากกว่านั้น ลึกซึ้งกว่านั้นอีก ที่บรรยายเป็นแต่เพียงแนวทางที่จะให้ทุกคน เกิดปัญญาความเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง เข้าใจธรรมะถูก เพื่อที่จะได้ไปศึกษาต่อแล้วก็ได้กว้างขวางมากกว่านี้อีก
ถ. ถ้าสมมุติว่าจะอาศัยการฟังของท่านอาจารย์แค่นี้ โดยที่ไม่มีอุปนิสัยในการจะไปศึกษาต่อ จะพอมีหนทางเป็นไปได้ไหม
ส. ดิฉันคิดว่า ทุกคนอาจยังไม่เคยอ่านพระไตรปิฏกด้วยตัวเอง เพราะว่าบางทีก็คิดว่าไม่มีเวลา แค่ฟังเทปนี้ก็มากแล้ว อะไรอย่างนี้
แต่อยากจะขอร้องจริงๆ ว่า ถ้าได้อ่านพระไตรปิฏกด้วยตัวเอง จะวางไม่ลง ถ้าเป็นเล่มเล็กๆ อาจจะอ่านได้หมดเลย คือว่าอ่านแล้วก็ต่อๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลืม ทีแรกก็คิดว่าจะอ่านสักสูตรเดียวหรืออะไรอย่างนั้น ที่อาจจะค้น หรือต้องการจะอ่าน
แต่อยากจะให้อ่านจริงๆ เพราะเหตุว่า ที่ยกมาเป็นตัวอย่างในการบรรยาย เพื่อเชิญชวนให้ทุกคนได้เห็นบางข้อความเท่านั้น ซึ่งความสมบูรณ์จริงๆ เต็มในพระไตรปิฏก ทั้งพระวินัย ทั้งพระสูตร พระอภิธรรม ก็คงจะยากแน่นอน ซึ่งถ้าไม่เข้าใจปรมัตถธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ก็อ่านก็ไม่รู้เรื่องแน่ เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าอภิธรรมเป็นพื้นฐานนั้น จะช่วยให้เข้าใจพระวินัย แล้วก็เข้าใจพระสูตร และพระสูตรที่นำมานี่ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นส่วนเล็กน้อยจริงๆ
ความไพเราะยังมีอีกมากที่นั่น เพราะฉะนั้นทุกคน นอกจากฟังวิทยุสักครึ่งชั่วโมงแล้ว
ถ้ามีโอกาสได้อ่านพระไตรปิฏกต่อ ก็จะเป็นประโยชน์มาก
ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคริสต์ แต่กล่าวว่า "อยากจะขอร้องจริงๆ ว่า ถ้าได้อ่านพระไตรปิฏกด้วยตัวเอง จะวางไม่ลง!"
แต่ อ.สุจินต์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นคริสต์ เหตุเพราะเคยเรียนในโรงเรียนคริสต์ กลับสนับสนุนให้ชาวพุทธหันมาศึกษาพระไตรปิฎก
อ. สุจินต์ "ดิฉันคิดว่า ทุกคนอาจยังไม่เคยอ่านพระไตรปิฏกด้วยตัวเอง เพราะว่าบางทีก็คิดว่าไม่มีเวลา แค่ฟังเทปนี้ก็มากแล้ว อะไรอย่างนี้ แต่อยากจะขอร้องจริงๆ ว่า ถ้าได้อ่านพระไตรปิฏกด้วยตัวเอง จะวางไม่ลง ถ้าเป็นเล่มเล็กๆ อาจจะอ่านได้หมดเลย คือว่าอ่านแล้วก็ต่อๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลืม ทีแรกก็คิดว่าจะอ่านสักสูตรเดียวหรืออะไรอย่างนั้น ที่อาจจะค้น หรือต้องการจะอ่าน แต่อยากจะให้อ่านจริงๆ เพราะเหตุว่า ที่ยกมาเป็นตัวอย่างในการบรรยาย เพื่อเชิญชวนให้ทุกคนได้เห็นบางข้อความเท่านั้น ซึ่งความสมบูรณ์จริงๆ เต็มในพระไตรปิฏก ทั้งพระวินัย ทั้งพระสูตร พระอภิธรรม"
"จริงๆ แล้ว พระไตรปิฏกจะมีคุณมากตอนที่เราอ่านแล้วรู้ว่า เป็นตัวเราที่ไม่ดี ใช่ไหม อย่างเวลาที่ทรงแสดงกับพระภิกษุ หรือว่าใครก็ตามแต่ คฤหบดีที่ไปเฝ้า แล้วกราบทูลถาม และทรงแสดงสภาพธรรม เป็นชีวิต เป็นขณะจิต เป็นของจริง ซึ่งเกิดกับเรา ก็เหมือนกับทรงเทศนากับเรา ให้เห็นตัวเรา เพราะฉะนั้นถ้าอยากรู้จักตัวเอง แล้วพระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องนี้ ถึงตัวเราเดี๋ยวนี้ ก็ไปอ่านพระไตรปิฏก ชี้แจงให้เห็นความจริงที่เราได้สะสมมา จากพระโอษฐ์ ทั้งหมดนี้น้อมมาเพื่อที่จะได้เห็นโทษของอกุศล แล้วก็เห็นประโยชน์ของการเจริญกุศล"
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/32
ตอนที่ ๓๒
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พศ. ๒๕๓๖
ส. ถ้าไม่พิจารณาในเหตุผล อย่างการได้ยินได้ขนาดนี้ เป็นวิบาก เป็นผลของกรรมอะไร ตอบได้หรือ ไม่มีทางจะตอบได้เลย เพราะฉะนั้นขณะใดที่กระทำกรรม คนนั้นก็ไม่รู้ว่ากรรมนี้จะให้ผลเมื่อไหร่ เป็นสภาพปกปิดจริงๆ จะให้ผลมากหรือให้ผลน้อยอย่างไรก็ไม่รู้ และเวลาที่ผลของกรรมเกิด ก็ไม่รู้ว่าผลนี้มาจากกรรมอะไร ชาติไหน อย่างเรากำลังจะทานขนมอะไรพวกนี้ เป็นผลของกรรมอะไร ชาติไหน แต่ว่า มีกรรมที่ทำให้ชิวหาปสาทเกิด มีรูปกระทบ ทำให้วิบากจิตลิ้มรส ขณะที่ลิ้มรสนั้นคือผลของกรรมแล้ว เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ เรามีผลของกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยลืมว่า นี่เป็นผลของกรรม แต่จริงๆ แล้วทุกขณะเหล่านี้ เป็นผลของกรรม มีกรรมซึ่งได้ทำแล้วเป็นเหตุ และหลังจากลิ้มรสแล้ว เห็นแล้ว ก็ยังมีกิเลสซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดกรรมต่อไปอีก แล้วแต่ว่าจะมากน้อยที่จะทำให้เราเกิดกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ก็ไม่สิ้นสุดถ้าตราบใดที่มีกิเลส ก็ต้องมีกรรม และก็ต้องมีวิบาก แต่ว่าเป็นสิ่งที่ปกปิดเพราะว่าเราไม่สามารถจะติดตามไปรู้ได้ว่า กรรมนี้จะให้ผลเมื่อไหร่ หรือว่า ผลนี้เป็นผลของกรรมเมื่อไหร่
ถ. คำว่า สีลัพพตปรามาส มีความหมายอย่างไร
ส. ลูบคลำข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด จากหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม
ถ. แล้วคำว่า อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ ที่บอกว่าเป็นความเห็นผิดอย่างอื่น เป็นความผิดยังไง
ส. อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ จะต้องจำแนกความเห็นผิดออกไปว่า มีความเห็นผิดกี่ประการ และ ความผิดอื่นนอกจากนั้นคือ อิทังสัจจาภินิเวส
ถ. คำว่า ลูบคลำข้อปฏิบัติที่ผิด ข้อปฏิบัติที่ถูกนี้ มีอยู่ข้อเดียวใช่ไหม
ส. ข้อเดียวคืออะไร คือ การอบรมเจริญปัญญา รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ถ. ถ้าสมมติเวลานี้ การฟังก็พอจะมีความเข้าใจอยู่บ้าง ที่นี้ว่า สิ่งที่ไปเพิ่มพูนให้เกิดมีสติและปัญญา ด้วยการคิดนึกอย่างนั้นใช่ไหม
ส. ไม่ใช่ การคิดนึกก็เป็นส่วนหนึ่ง ถ้าคิดถูกก็เป็นกุศล
ถ. คิดในเรื่องของสิ่งที่ปรากฏว่า...
ส. แต่ไม่ใช่การประจักษ์แจ้ง ก็ต้องมีการฟังและการพิจารณาเข้าใจและสติเกิด
ถ. เพราะว่าจะต้องเน้นในลักษณะที่ว่า มีลักษณะจริงๆ ของแต่ละทางที่ปรากฏ เช่นทางตา
ส. ต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏพอที่สติจะเกิดระลึกได้ ถ้ายังไม่มีความเข้าใจ ก็ไม่มีการที่สติจะเป็นระลึกได้
ถ. อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตา ท่านอาจารย์ก็พูดมามาก และ มีคำถามถามกันมามาก แต่ความเข้าใจจริงๆ ก็คิดว่ามันยังเป็นสิ่งที่ยังไม่ใกล้ คล้ายว่า เห็นทีไร มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ปรากฏ แล้วเราจะพิจารณาให้มันเป็นสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ...
ส. ก็เวลานี้ก็กำลังปรากฏอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่ปรากฏ เวลานี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจริงๆ
ถ. แล้วทำไมเราถึงเห็นคนเป็นผู้หญิง ผู้ชาย
ส. เพราะเหตุว่า ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจได้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา
ถ. เดี๋ยวนี้จะว่าไม่เข้าใจ ก็เข้าใจนะ
ส. เข้าใจเรื่อง เข้าใจคำ แต่เข้าใจจริงๆ คือขณะนี้ ที่กำลังเห็น แล้วรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องใช้กาลเวลา ไม่ต้องคิดเลย แล้วแต่เหตุปัจจัย
ถ. และอย่างทางหู บางครั้ง ก็พอจะมีการพิจารณาที่ไม่ค่อยจะยาก ไม่เหมือนทางตา เพราะทางหู มันเป็นเพียงเสียง แล้วจึงจะมีการคิดเป็นคำ แต่ทางตา มันปรุงแต่ง...
ส. แต่ถึงเวลานี้ ขณะใดที่สติสัมปชัญญะไม่เกิด ปัญญายังไม่เจริญ ก็คิดว่า ได้ยินคำแล้ว ไม่ใช่ได้ยินเสียง
ถ. แต่มันมีเสียงปรากฏ
ส. ถูก แต่ว่าในขณะนั้นที่ได้ยินนี่ รู้คำเลย เป็นเรื่องการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่เรื่องที่จะไปรีบร้อน เร่งรัด หรือทำอะไรเลย แต่รู้ว่าปัญญาต้องอบรม การอบรมนี้คือต้องช้าทีเดียว ไม่ใช่ว่าเร็ว แล้วแต่การสะสมของแต่ละคนว่า สะสมมากน้อยแค่ไหน ถ้าสะสมมาก ก็เร็วมาก ถ้าสะสมมาน้อย ก็ต้องสะสมต่อไปอีก
ถ. อย่างเวลาที่สติปัญญาเกิด สิ่งที่ปรากฏ ก็รู้ตามความเป็นจริง และสิ่งที่เป็นการคิดนึกจนกระทั่งเป็นสัตว์ เป็นบุคล ก็รู้ตามความเป็นจริง หมายความว่า รู้ทั้ง ๒ ธรรม อย่างนั้นใช่ไหม
ส. รู้ตามความเป็นจริงทุกอย่าง ทุกอย่าง ตามความเป็นจริงแต่ละอย่างๆ
ถ. แล้วถ้าเป็นสมมุติ บัญญัติ
ส. ขณะนั้นเป็นความคิดก็รู้ว่าเป็นจิตที่คิด
ถ. ไม่ใช่ว่าพอเป็นสติปัฏฐานแล้ว ก็มีแต่ลักษณะอย่างเดียว จนกระทั่งไม่มีสิ่งที่เป็นบัญญัติหรือสมมุติเลย อย่างนั้นใช่ไหม
ส. ขณะที่กำลังรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีจริงหรือเปล่า
ถ. จากการศึกษาก็ว่า มันจะต้อง
ส. เอาความจริงเดี๋ยวนี้ ที่รู้ว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ มีจริงหรือเปล่า อาการรู้ ลักษณะรู้นั้นมีจริงไหม ถ้ามี ขณะนั้นสภาพรู้อย่างนั้นเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เห็น แต่เป็นสภาพรู้ความหมายของสิ่งที่เห็น
ถ. ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า การเห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ ขณะที่สติปัญญาไม่เกิดก็ต้องเป็นลักษณะที่ไม่รู้ แต่เวลาที่สติปัญญาเกิด ก็เห็นเป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ตามความเป็นจริง
ส. แต่รู้ว่าขณะนั้นเป็นนามธรรมที่รู้อย่างนั้น ไม่ผิดปกติเลยทุกอย่าง ตามความเป็นจริง ถึงต้องเป็นเรื่องที่ต้องเจริญทั่วและละเอียด
ถ. แต่ทั่วนี้คงยังไม่ทั่ว แต่ผมกำลังพิจารณาในแต่ละทางที่มันพอจะมีแนวที่จะพิจารณาต่อไป คือ เวลานี้มันเกิดความสงสัยเหมือนกันว่า สิ่งที่ปรากฏ ก็รู้ว่า เป็นเพียง ถ้าเป็นทางตาก็เป็นสี เมื่อหลังจากสีปรากฏแล้ว ก็จะต้องเป็นวัตถุ เป็นคน เป็น หญิง เป็นชาย เป็นต้นไม้ เป็นเก้าอี้ ทีนี้เมื่อสติปัญญเกิด ก็รู้ว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นหญิง เป็นชาย ตามความเป็นจริงอย่างนี้ใช่ไหม
ส. แต่รู้ว่าเป็นสภาพรู้ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก่อนจะรู้ทั่ว ก็ต้องรู้ทีละลักษณะๆ ค่อยรู้ไปทีละเล็กทีละน้อย พอทั่วแล้วก็เหมือนกันหมดคือนามธรรมที่รู้
ถ. แต่เวลานี้มันเป็นความรู้ที่ได้จากความย่อที่...
ส. ก็ต้องอบรม ไม่อย่างนั้น ผู้มีพระภาคจะไม่ใช้คำว่า ภาวนา ก็หมายความว่ารู้ทันที แต่นี่ใช้คำว่า ภาวนา แปลว่า ต้องอบรม จีรกาลภาวนา ใช้คำนี้ด้วย จีระแปลว่า ยาวนาน กาละแปลว่า เวลา ต้องใช้เวลานานมากในการอบรม การอบรมด้วยสติปัฎฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าจะรู้จริงๆ จนกว่าจะรู้ทั่ว จนกว่าจะรู้ละเอียด
ถ. ขอเรียนถามเกี่ยวกับเรื่อง การวิรัติ งดเว้น หมายความว่าเป็นศีลขั้นกาย ขั้นวาจา หมายความขณะนั้นยังมีตัว มีตน เป็นเราอยู่ใช่ไหม
ส. แล้วแต่บุคคล พระอริยะท่านก็มีวิรัติ
ถ. แต่เวลาพอเป็นการประหารกิเลส ขณะนั้นไม่มีคำว่า สมาทานศีลเลยใช่ไหม
ส. แล้วแต่บุคคล สมาทาน แปลว่า ถือเอา ประพฤติปฏิบัติ ใช้คำก็ต้องใช้ให้ถูกให้เข้าใจความหมายว่า สมาทานคืออย่างไร สมาทานหมายความถึง ถือเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ
ถ. โดยที่มีสิ่งที่งดเว้นเป็นข้อ๑ ข้อ๒ ข้อ๓ ข้อ๔ ข้อ๕
ส. คุณสุกลไม่ได้ลักขโมยใครใช่ไหม
ถ. มันยังไม่มีเหตุที่ลักขโมย
ส. เพราะฉะนั้น เวลาที่เราไม่ทำ หมายความว่า เราถือเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ เราจะต้องไปบอกใครอะไรหรือเปล่า
ถ. บอกไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เราหลงลืมใช่ไหม
ส. ไม่ต้องบอกก็ได้ บอกแล้วไม่ทำก็ได้ บอกทำไม กับเราทำโดยที่แล้วก็ไม่ต้องบอก แต่เราถือเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ
ถ. คำว่า ประหารกิเลส ดับกิเลส ไม่เกิดอีกเลย กิเลสที่ดับแล้วจะไม่เกิดอีกเลย ตรงนี้ยังไม่เข้าใจ
ส. ไม่มีการดับกิเลส ไม่มีพระอริยบุคคล มีแต่ปุถุชน แต่ปุถุชนต่างกับพระอริยบุคคลที่พระอริยบุคคลดับกิเลส กิเลสที่ดับแล้วไม่เกิดอีก ตามลำดับขั้น
ถ. ทั้งๆ ที่ก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่นต่างๆ เป็นปกติ
ส. นี่เป็นความต่างกันของพระอริยบุคคล กับ ปุถุชน
ถ. ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยปัญญา
ส. แน่นอน
ถ. การอบรมปัญญานี้ นอกจากการเจริญสติปัฏฐาน ยังมีธรรมข้ออื่นที่จะเกื้อกูล
ส. ทุกอย่างในชีวิตประจำวัน
ถ. ทาน ศีล ก็มีส่วนสนับสนุนด้วย
ส. ที่บรรยายไว้ ฟังหมดหรือยัง ถึงจะต้องให้บรรยายอีกใช่ไหม และเข้าใจหมดหรือยัง และก็อบรมเจริญอย่างนั้นหมดรึยัง ก็ไม่ต้องมีการบรรยายอะไรอีก เพราะว่าทุกท่านที่เข้าใจแล้ว ก็ศึกษาเองตามพระไตรปิฏก อรรถกถา ยิ่งละเอียดมากกว่านั้นเยอะแยะ ไพเราะมากกว่านั้น ลึกซึ้งกว่านั้นอีก ที่บรรยายเป็นแต่เพียงแนวทางที่จะให้ทุกคน เกิดปัญญาความเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง เข้าใจธรรมะถูก เพื่อที่จะได้ไปศึกษาต่อแล้วก็ได้กว้างขวางมากกว่านี้อีก
ถ. ถ้าสมมุติว่าจะอาศัยการฟังของท่านอาจารย์แค่นี้ โดยที่ไม่มีอุปนิสัยในการจะไปศึกษาต่อ จะพอมีหนทางเป็นไปได้ไหม
ส. ดิฉันคิดว่า ทุกคนอาจยังไม่เคยอ่านพระไตรปิฏกด้วยตัวเอง เพราะว่าบางทีก็คิดว่าไม่มีเวลา แค่ฟังเทปนี้ก็มากแล้ว อะไรอย่างนี้ แต่อยากจะขอร้องจริงๆ ว่า ถ้าได้อ่านพระไตรปิฏกด้วยตัวเอง จะวางไม่ลง ถ้าเป็นเล่มเล็กๆ อาจจะอ่านได้หมดเลย คือว่าอ่านแล้วก็ต่อๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลืม ทีแรกก็คิดว่าจะอ่านสักสูตรเดียวหรืออะไรอย่างนั้น ที่อาจจะค้น หรือต้องการจะอ่าน แต่อยากจะให้อ่านจริงๆ เพราะเหตุว่า ที่ยกมาเป็นตัวอย่างในการบรรยาย เพื่อเชิญชวนให้ทุกคนได้เห็นบางข้อความเท่านั้น ซึ่งความสมบูรณ์จริงๆ เต็มในพระไตรปิฏก ทั้งพระวินัย ทั้งพระสูตร พระอภิธรรม ก็คงจะยากแน่นอน ซึ่งถ้าไม่เข้าใจปรมัตถธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ก็อ่านก็ไม่รู้เรื่องแน่ เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าอภิธรรมเป็นพื้นฐานนั้น จะช่วยให้เข้าใจพระวินัย แล้วก็เข้าใจพระสูตร และพระสูตรที่นำมานี่ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นส่วนเล็กน้อยจริงๆ ความไพเราะยังมีอีกมากที่นั่น เพราะฉะนั้นทุกคน นอกจากฟังวิทยุสักครึ่งชั่วโมงแล้ว ถ้ามีโอกาสได้อ่านพระไตรปิฏกต่อ ก็จะเป็นประโยชน์มาก