ผีมาตามกลับ

ผมกับดาว มีแพลนจะแต่งงานกัน
หลังจากคบหาดูใจกันมา มากกว่า 3ปี
เราเก็บเงินร่วมกันได้ก้อนหนึ่ง
ตอนนั้นเราไปซื้อบ้านไว้ สำหรับเป็นเรือนหอ.
การ์คแต่งงานถูกพิมพ์ หลังจากได้ฤกษ์ที่เราพากันไปดูดวง
สิ่งของต่างๆ  ถูกเตรียมไว้จาก ออร์แกไนซ์ที่เราไปจ้าง
ไม่ว่าจะเป็นของชำร่วย, ชุดแต่ง, ค่าเช่าสถานที่ต่างๆ,
อีกไม่ถึง 2อาทิตย์ งานแต่งก็จะเริ่มขึ้น.
ผมรู้สึกชิวๆไม่ค่อยยุ่งยาก. หรือมีความวุ่นวายอะไรมากนัก. 
ผิดจากดาว ดูเหมือนเธอจะดูยุ่งๆ. และวุ่นวายใจต่อการจัดงานครั้งนี้ เป็นอันมาก.
คงเพราะการตัดสินใจอะไรทุกอย่าง.
ดาวจะเป็นคนคัดสรร ออกมาให้ดีที่สุดไม่ให้ขาดตกบกพร่อง.
ดังนั้น. ช่วงหลังๆ มักจะเห็นดาวถือโทรศัพท์คุยอยู่กับ ออร์แกไนซ์ เป็นนานสองนาน.
จนกระทั่งก่อนถึงวันงาน 1วัน.
ผมกับดาวก็เป็นอันต้องแยกทางกันเสียก่อน.

"แล้วนี่เป็นเหตุที่โยมอยากจะมาบวชที่นี่หรือ"

เสียงหลวงพ่อ เอ่ยถามขึ้น.

"เปล่าครับ นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านไปนานแล้ว"

ผมพยายามอธิบายเหตุผลต่างๆกับหลวงพ่อ
ที่สุด.
ท่านก็ บอกกับผมว่า.

"ถ้าโยมอยู่ที่นี่ได้ครบ 3เดือน อาตมา ก็จะยอมให้โยมบวชที่นี่"

หลังจากนั้นผมก็ได้มาอยู่ที่กุฏิท้ายวัด.
วัดนี้เป็นวัดป่า อยู่ห่างไกลผู้คน ดูไม่วุ่นวาย.
บรรยกาศรอบๆ สงบจน ดูเศร้าสร้อย. 
ด้านหลังวัดติดกับเขาที่ดูเหมือนจะเป็น ป่าทึบ.
กลางคืน เสียงจิ้งหรีดจักจั่น ร้องดังระงม.
จนแทบจะปวดแก้วหู.
ในห้องไม่มีข้าวของอะไร นอกจากแคร่ไม้เก่าๆ กับตะเกียงอันหนึ่ง.
ห้องน้ำ จะห่างออกไปจากกุฏิตรงนี้ พอสมควร.
เมื่อเดินไปดู.
สภาพประตูห้องน้ำถูกปวกมาทำรัง จนเห็นทางเดินปวก  เป็นเส้นคดเคี้ยวอยู่เต็มไปหมด.
พื้นห้องน้ำมีแต่ใบไม้แห้งทับถมกันจนแทบมองไม่เห็นพื้นซีเมนต์.
โถส้วมก็เป็นแบบนั่งยองๆ มีใบไม้ตกทับถมจนมองแทบไม่เห็น.
ดูเหมือนห้องน้ำนี้จะไม่มีใครมาใช้งานมันเลย.

หลังจากน้ากลับไปแล้ว.
ทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ยังแว่วอยู่ในหูผม.
"อยู่ได้ใช่ไหม.. น้ากลับก่อนนะ"
 

เพียงแค่ได้นั่งคิดอะไรอยู่คนเดียว.
เหตุการณ์วันนั้น มันก็ผุดขึ้นมาในหัวของผมเอง. 
ราวกับเปิดทีวี.

ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ชีวิตผมก็ดูเหมือนจะไร้จุดหมายปลายทาง.
ไม่สนใจการงาน ไม่มีกะจิตกะใจจะพบเจอผู้คน.
ชีวิตจมดิ่งอยู่อย่างนั้น ปีแล้วปีเล่า.
ใช่ครับ เหตุผลที่ผมอยากบวชที่นี่.
ก็เพราะ .
ผมอยากหนีมัน อยากลืมมัน และไม่อยากจดจำอะไรอีก.
แต่ผมต้องเลี่ยงที่จะบอกกับหลวงพ่อไปตรงๆแบบนี้.
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ผมมาที่นี่ได้อย่างไร.
จำได้เพียงว่า
ผมนั่งเหม่อลอย ในรถของน้า.
ที่ขับพาผม หนีปัญหาออกมาอย่างไร้จุดหมาย.
ที่นี่มันคงไกลพอที่จะทำให้จิตใจผมสงบลงได้.

หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไม่นาน.
เสียงสวดมนต์ ก็ดังแว่วมาจากอุโบสถ.
ผมจุดตะเกียง  แล้วก็เดินลงมาดูบรรยากาศรอบๆ กุฏิ .
แล้วผมก็ไปสะดุดเข้ากับ เปลญวน ที่กองอยู่กับพื้น.
สภาพเก่าๆเลอะดิน จนปวกกัดกิน.
มัมมีเชือกผูกอีกด้านหนึ่งห้อยไว้อยู่กับเสา .
แต่อีกด้านไม่ได้ผูกกับอะไร มันเลยตกกองอยู่ที่พื้น.
ตอนนั้นอยู่ๆผมก็ตัวเบาหวิว .
ทำอะไรลงไปเหมือน คนไม่มีสมอง.
มันว่างเปล่าไปหมด .
แต่ตัวเองกลับนั่งลง แก่เชือกที่ผูกอยู่กับ เสานั้นออก.
สักพักผมก็ถือเชือกนั้น เดินขึ้นไปที่กุฏิ .
มองหาขื่อบนเพดานที่จะใช้ผูกเชื่อกได้.
แต่ช่วงที่กำลังคิดว่าจะขึ้นไปผูกเชือกยังไง.
ในใจมันก็บอกเป็นเสียงออกมา.
ขยับแคร่มายืนสิ.

ร่างกายผมเหมือนจะได้ยินเสียงนั้น.
มันเดินไปที่แคร่ไม้ทันที.
แต่พอจะเอื้อมมือไปยกแคร่.
อยู่ๆเสียงคล้ายๆ เด็กคนหนึ่งก็ดังขึ้น.

"โยม  โยมอยู่ไหม"
"หลวงพ่อให้เณรเอาข้าวมาให้"

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่