เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่เพื่อน ๆ ฟังวันนี้ ยังไม่รู้เลยว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี หากเพื่อน ๆ ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ ใจดีช่วยตั้งชื่อเรื่องให้ที่นะครับ
เข้าเรื่องเลยแล้วกัน
เรื่องนี้ต้องย้อนกับไปเมื่อสิบปีที่แล้วเป็นเรื่องของผมเอง ปัจจุบันผมอายุ 30 ปี ตามธรรมเนียมของลูกผู้ชายทุกคนคือการบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่ขอมา เราก็ยังไม่มีภาระอะไร จึงตบปากรับคำอย่างว่าง่าย และไม่กี่วันต่อจากนั้นเองหลังจากพ่อแม่ได้หาฤกษ์ยามมาแล้ว ก็ได้กำหนดวันบวช ซึ่งตามธรรมเนียมของที่บ้านก่อนบวชต้องไปอยู่วัดก่อน 3 วัน เพื่อศึกษาบทสวดต่าง ๆ และช่วยเหลือกิจวัตรของสงฆ์ ก่อนที่จะอุปสมบท เมื่อถึงวันเข้านาค ทางบ้านจะเรียกว่าเข้านาค ก็คือวันที่ต้องไปนอนวัดนั้นเอง เมื่อเตรียมงานบวชที่บ้านเสร็จสรรพ คุณพ่อก็ได้พาผมไปเข้านาค จำได้ว่าต้อนนั้นเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ซึ่งก็เริ่มมืดแล้ว หลังจากที่พ่อนำตัวผมมาฝากกับพระอาจารย์ หรือ เจ้าอาวาสที่วัดนั้น แต่ผมจะเรียกว่าพระอาจารย์ พ่อผมก็ได้กลับบ้าน หลังจากที่พ่อกลับบ้านพระอาจารย์ก็เรียกผมเข้าไปหาอีกรอบ เพราะมีเรื่องที่ต้องบอกไว้เป็นแนวปฏิบัติในการอยู่วัดในระยะเวลา 3 วันนี้ก่อนบวช หลังจากที่พระอาจารย์แจ้งถึงสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องห้ามหมดแล้ว อยู่ ๆ พระอาจารย์ก็ทักขึ้นมาว่า ถ้าคืนนี้ได้ยินเสียงอะไร หรือรู้สึกแปลกๆ ให้นิ่ง ๆ ไว้ เขาไม่ได้มาทำอะไรหรอก ไม่ต้องกลัว ให้ท่องอิติปิโส และแผ่เมตตาให้ก็พอ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง ผมตอนนั้นต้องบอกว่ากำลังห้าวเลย เลยไม่ได้สนใจที่พระอาจารย์ทักท้วงมา คืนนั้นผมได้ไปพักกับหลวงพี่แน็ก และสามเณรบวชภาคฤดูร้อนอีกสามคน ยิ่งมีเพื่อนเยอะแบบนี้ยิ่งไม่น่ากลัว แต่ต้องบอกก่อนว่าศาลาที่ผมไปพักนั้น เดิมที่เป็นศาลาพักศพ แต่ตอนนี้กำลังได้รับการบูรณะ ซึ่งก็ยังไม่เสร็จ ต้องขออธิบายบรรยากาศและตัวศาลาก่อนนะครับ ศาลาที่ผมพักเป็นศาลา 2 ชั้น ชั้นล่างก็จะเป็นห้องโล่ง ๆ มี ผนัง 3 ด้าน ส่วนด้านหน้าที่เคยเป็นประตูถอดออก เพื่อที่จะสร้างใหม่ ซึ่งห้องข้างล่างนี้เอง เคยเป็นที่พักศพ และยังมีโรงเย็นและรถที่ไว้ใช้เข็นศพออกจากบ้านผู้ตายอยู่ ก่อนจะเดินขึ้นชั้น 2 จึงต้องผ่านเป็นธรรมดา หลังจากผ่านโรงเย็นและรถเข็น ก็จะมีบันไดเพื่อขึ้นไปชั้นสอง เป็นบันไดไม้ เวลาเดินขึ้นก็จะมีเสียงเอี้ยด ๆ เป็นธรรมดาของบันไดไม้ ถ้าบ้านใครทำด้วยไม้น่าจะเข้าใจ เมื่อเดินขึ้นไปชั้น 2 ก็จะเป็นห้องโล่ง ๆ เช่นกัน เช่นเดียวกับชั้นหนึ่ง คือ ห้องข้างบนก็มีผนังเพียง 3 ด้านเท่านั้น โดยด้านหน้านั้นจะโล่ง มีเพียงระเบียงเก่า ๆ เป็นที่กั้นเท่านั้น เพราะสร้างยังไม่เสร็จ เวลามองจากชั้นสองก็จะเห็นต้นไทรขนาดใหญ่ขวางหน้าอยู่ มองทะลุผ่านไปจะเป็นเมรุเผาศพ ส่วนผนังฝั่งด้านซ้ายทางทิศตะวันออกจะเป็นบริเวณหน้าวัด ต้องบอกตรงๆ ว่าพอตกกลางคืนทุกอย่างมันเงียบสนิทและการไม่คุ้นกับที่ทางที่เคยนอน ทำให้ผมนอนไม่หลับแทบทั้งคืน อีกทั้งบรรยากาศนั้นชวนหลอนสุดๆ จากที่ห้าวๆ ในตอนเย็นตอนนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ผมรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาเวลา ตี 2 เพราะปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ จึงปลุกหลวงพี่ให้พาไปห้องน้ำ แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเลย ผมจึงต้องจำใจเดินลงไปเข้าห้องน้ำด้วยตัวเอง ซึ่งระหว่างทางที่ลงไป ต้องผ่านโรงเย็นและรถเข็นศพซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าเคยเป็นศาลาพักศพ บรรยากาศตอนนั้นเงียบสนิท แม้แต่เสียงแมลงต่าง ๆ ก็เงียบสนิท ชวนขนลุกขนชัน แล้วเจ้ากรรมทางที่จะไปห้องน้ำนั้นต้องอ้อมไปด้านหลังศาลา ซึ่งมืดมาก เพราะมันมีแทงค์น้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อก่อนทำไว้เพื่อเก็บน้ำฝน ไว้ดื่มกิน ตั้งเป็นแนวให้ชวนหลอนอีก ผมกลั้นใจเดินผ่านแทงค์น้ำที่เรียงรายอยู่ 5 6 แทงค์นั้นไป ผ่านแทงค์น้ำไปอีกประมาณ 5 เมตร จึงจะเป็นห้องน้ำ พอผ่านแทงค์น้ำไปผมรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันที และรีบวิ่งกลับมาห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขึ้นชั้น 2 ความรู้สึกหนึ่งมันบอกว่ามีใครกำลังจ้องเราอยู่ แต่นาทีนั้นผมตัดสินใจไม่หันไปมอง เพราะกลัวจะเจอสิ่งที่ไม่อยากเจอ และก็ขึ้นไปชั้นสองอย่างปลอดภัย ปรากฏว่าคืนนั้นผ่านไปด้วยความรู้สึกที่แปลกออกไปอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลังจากคืนนั้นผมก็ยังไม่เจออะไรอย่างที่พระอาจารย์ว่า ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง จนถึงวันบวช บวชเสร็จ ผมก็มาจำพรรษาที่วัดตามปกติ วันนั้นเองพระอาจารย์ก็มาทักตรงๆ อีกว่า พระบวชใหม่อานิสงฆ์แรง ถ้ามีวิญญาณมาขอส่วนบุญก็ให้ตั้งใจอุทิศให้เขานะ ไม่ต้องกลัวนะหม่อม ความรู้สึกนะตอนนั้น เอาอีกแล้วพระอาจารย์คนกำลังจะลืมมาทักอีกแล้ว จะให้อยู่แบบสงบๆ ไม่ได้เลยหรือไง การทักของพระอาจารย์ครั้งนั้น ทำให้ผมได้เจอเรื่องแปลกประหลาดเข้าจริง ๆ บวชมาได้ประมาณอาทิตย์หนึ่งเหตุการณ์ก็ปกติดี จนถึงวันก่อนวันพระ หรือที่บ้านเรียกวันโกน ตกกลางคืนผมก็เข้านอนกับหลวงพี่กับเณรตามปกติ แต่พอรุ่งเช้า ญาติโยมมาทำบุญ กลับมีเสียงคุยกันวุ่นวายไม่รู้ว่าเรื่องอะไร พระอาจารย์จึงถามว่า มีเรื่องอะไรกันโยม ทำไม่คุยกันเจี้ยวจ้าว วุ่นวายขนาดนี้ โยมผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งบ้านอยู่ไม่ห่างจากวัดมากจึงได้เล่าให้ฟัง ว่าเมื่อคืนตนปวดท้องเลยมาเขาห้องน้ำ หลังออกจากห้องน้ำเลยได้ชำเรืองไปที่วัด ปรากฏว่าพบเงาหนึ่งสูงใหญ่อยู่ข้างศาลาวัด เลยลองสังเกตดี ๆ ทำเอาขนลุกไปทั้งตัว เพราะตนเห็นผีเปตรกำลังยืนห้อยหัวแลบลิ้นและ มันเดินอยู่รอบศาลาตรงพระบวชใหม่ ทั้งยังส่งเสียงโหยหวนจนตนต้องรีบวิ่งเข้าบ้าน ผมเมื่อได้ฟังดังนี้ทำเอาขนลุกไปด้วย
(ขอพักไว้แค่นี้ก่อนนะครับ ถ้ามีคนอ่านจะมาเล่าต่อ)
'' เรื่องทั้งหมดมันมีอยู่ว่า........''
เข้าเรื่องเลยแล้วกัน
เรื่องนี้ต้องย้อนกับไปเมื่อสิบปีที่แล้วเป็นเรื่องของผมเอง ปัจจุบันผมอายุ 30 ปี ตามธรรมเนียมของลูกผู้ชายทุกคนคือการบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่ขอมา เราก็ยังไม่มีภาระอะไร จึงตบปากรับคำอย่างว่าง่าย และไม่กี่วันต่อจากนั้นเองหลังจากพ่อแม่ได้หาฤกษ์ยามมาแล้ว ก็ได้กำหนดวันบวช ซึ่งตามธรรมเนียมของที่บ้านก่อนบวชต้องไปอยู่วัดก่อน 3 วัน เพื่อศึกษาบทสวดต่าง ๆ และช่วยเหลือกิจวัตรของสงฆ์ ก่อนที่จะอุปสมบท เมื่อถึงวันเข้านาค ทางบ้านจะเรียกว่าเข้านาค ก็คือวันที่ต้องไปนอนวัดนั้นเอง เมื่อเตรียมงานบวชที่บ้านเสร็จสรรพ คุณพ่อก็ได้พาผมไปเข้านาค จำได้ว่าต้อนนั้นเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ซึ่งก็เริ่มมืดแล้ว หลังจากที่พ่อนำตัวผมมาฝากกับพระอาจารย์ หรือ เจ้าอาวาสที่วัดนั้น แต่ผมจะเรียกว่าพระอาจารย์ พ่อผมก็ได้กลับบ้าน หลังจากที่พ่อกลับบ้านพระอาจารย์ก็เรียกผมเข้าไปหาอีกรอบ เพราะมีเรื่องที่ต้องบอกไว้เป็นแนวปฏิบัติในการอยู่วัดในระยะเวลา 3 วันนี้ก่อนบวช หลังจากที่พระอาจารย์แจ้งถึงสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องห้ามหมดแล้ว อยู่ ๆ พระอาจารย์ก็ทักขึ้นมาว่า ถ้าคืนนี้ได้ยินเสียงอะไร หรือรู้สึกแปลกๆ ให้นิ่ง ๆ ไว้ เขาไม่ได้มาทำอะไรหรอก ไม่ต้องกลัว ให้ท่องอิติปิโส และแผ่เมตตาให้ก็พอ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง ผมตอนนั้นต้องบอกว่ากำลังห้าวเลย เลยไม่ได้สนใจที่พระอาจารย์ทักท้วงมา คืนนั้นผมได้ไปพักกับหลวงพี่แน็ก และสามเณรบวชภาคฤดูร้อนอีกสามคน ยิ่งมีเพื่อนเยอะแบบนี้ยิ่งไม่น่ากลัว แต่ต้องบอกก่อนว่าศาลาที่ผมไปพักนั้น เดิมที่เป็นศาลาพักศพ แต่ตอนนี้กำลังได้รับการบูรณะ ซึ่งก็ยังไม่เสร็จ ต้องขออธิบายบรรยากาศและตัวศาลาก่อนนะครับ ศาลาที่ผมพักเป็นศาลา 2 ชั้น ชั้นล่างก็จะเป็นห้องโล่ง ๆ มี ผนัง 3 ด้าน ส่วนด้านหน้าที่เคยเป็นประตูถอดออก เพื่อที่จะสร้างใหม่ ซึ่งห้องข้างล่างนี้เอง เคยเป็นที่พักศพ และยังมีโรงเย็นและรถที่ไว้ใช้เข็นศพออกจากบ้านผู้ตายอยู่ ก่อนจะเดินขึ้นชั้น 2 จึงต้องผ่านเป็นธรรมดา หลังจากผ่านโรงเย็นและรถเข็น ก็จะมีบันไดเพื่อขึ้นไปชั้นสอง เป็นบันไดไม้ เวลาเดินขึ้นก็จะมีเสียงเอี้ยด ๆ เป็นธรรมดาของบันไดไม้ ถ้าบ้านใครทำด้วยไม้น่าจะเข้าใจ เมื่อเดินขึ้นไปชั้น 2 ก็จะเป็นห้องโล่ง ๆ เช่นกัน เช่นเดียวกับชั้นหนึ่ง คือ ห้องข้างบนก็มีผนังเพียง 3 ด้านเท่านั้น โดยด้านหน้านั้นจะโล่ง มีเพียงระเบียงเก่า ๆ เป็นที่กั้นเท่านั้น เพราะสร้างยังไม่เสร็จ เวลามองจากชั้นสองก็จะเห็นต้นไทรขนาดใหญ่ขวางหน้าอยู่ มองทะลุผ่านไปจะเป็นเมรุเผาศพ ส่วนผนังฝั่งด้านซ้ายทางทิศตะวันออกจะเป็นบริเวณหน้าวัด ต้องบอกตรงๆ ว่าพอตกกลางคืนทุกอย่างมันเงียบสนิทและการไม่คุ้นกับที่ทางที่เคยนอน ทำให้ผมนอนไม่หลับแทบทั้งคืน อีกทั้งบรรยากาศนั้นชวนหลอนสุดๆ จากที่ห้าวๆ ในตอนเย็นตอนนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ผมรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาเวลา ตี 2 เพราะปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ จึงปลุกหลวงพี่ให้พาไปห้องน้ำ แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเลย ผมจึงต้องจำใจเดินลงไปเข้าห้องน้ำด้วยตัวเอง ซึ่งระหว่างทางที่ลงไป ต้องผ่านโรงเย็นและรถเข็นศพซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าเคยเป็นศาลาพักศพ บรรยากาศตอนนั้นเงียบสนิท แม้แต่เสียงแมลงต่าง ๆ ก็เงียบสนิท ชวนขนลุกขนชัน แล้วเจ้ากรรมทางที่จะไปห้องน้ำนั้นต้องอ้อมไปด้านหลังศาลา ซึ่งมืดมาก เพราะมันมีแทงค์น้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อก่อนทำไว้เพื่อเก็บน้ำฝน ไว้ดื่มกิน ตั้งเป็นแนวให้ชวนหลอนอีก ผมกลั้นใจเดินผ่านแทงค์น้ำที่เรียงรายอยู่ 5 6 แทงค์นั้นไป ผ่านแทงค์น้ำไปอีกประมาณ 5 เมตร จึงจะเป็นห้องน้ำ พอผ่านแทงค์น้ำไปผมรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันที และรีบวิ่งกลับมาห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขึ้นชั้น 2 ความรู้สึกหนึ่งมันบอกว่ามีใครกำลังจ้องเราอยู่ แต่นาทีนั้นผมตัดสินใจไม่หันไปมอง เพราะกลัวจะเจอสิ่งที่ไม่อยากเจอ และก็ขึ้นไปชั้นสองอย่างปลอดภัย ปรากฏว่าคืนนั้นผ่านไปด้วยความรู้สึกที่แปลกออกไปอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลังจากคืนนั้นผมก็ยังไม่เจออะไรอย่างที่พระอาจารย์ว่า ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง จนถึงวันบวช บวชเสร็จ ผมก็มาจำพรรษาที่วัดตามปกติ วันนั้นเองพระอาจารย์ก็มาทักตรงๆ อีกว่า พระบวชใหม่อานิสงฆ์แรง ถ้ามีวิญญาณมาขอส่วนบุญก็ให้ตั้งใจอุทิศให้เขานะ ไม่ต้องกลัวนะหม่อม ความรู้สึกนะตอนนั้น เอาอีกแล้วพระอาจารย์คนกำลังจะลืมมาทักอีกแล้ว จะให้อยู่แบบสงบๆ ไม่ได้เลยหรือไง การทักของพระอาจารย์ครั้งนั้น ทำให้ผมได้เจอเรื่องแปลกประหลาดเข้าจริง ๆ บวชมาได้ประมาณอาทิตย์หนึ่งเหตุการณ์ก็ปกติดี จนถึงวันก่อนวันพระ หรือที่บ้านเรียกวันโกน ตกกลางคืนผมก็เข้านอนกับหลวงพี่กับเณรตามปกติ แต่พอรุ่งเช้า ญาติโยมมาทำบุญ กลับมีเสียงคุยกันวุ่นวายไม่รู้ว่าเรื่องอะไร พระอาจารย์จึงถามว่า มีเรื่องอะไรกันโยม ทำไม่คุยกันเจี้ยวจ้าว วุ่นวายขนาดนี้ โยมผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งบ้านอยู่ไม่ห่างจากวัดมากจึงได้เล่าให้ฟัง ว่าเมื่อคืนตนปวดท้องเลยมาเขาห้องน้ำ หลังออกจากห้องน้ำเลยได้ชำเรืองไปที่วัด ปรากฏว่าพบเงาหนึ่งสูงใหญ่อยู่ข้างศาลาวัด เลยลองสังเกตดี ๆ ทำเอาขนลุกไปทั้งตัว เพราะตนเห็นผีเปตรกำลังยืนห้อยหัวแลบลิ้นและ มันเดินอยู่รอบศาลาตรงพระบวชใหม่ ทั้งยังส่งเสียงโหยหวนจนตนต้องรีบวิ่งเข้าบ้าน ผมเมื่อได้ฟังดังนี้ทำเอาขนลุกไปด้วย
(ขอพักไว้แค่นี้ก่อนนะครับ ถ้ามีคนอ่านจะมาเล่าต่อ)