JJNY : จับตาเศรษฐกิจจีนแผ่ว│ส.ส.กทม.แจงกลางดึกหลังอดีตผู้ช่วยโพสต์│“เศรษฐา”บอก“ก็ขอโทษด้วย”│อ.ธรณ์ ฝาก7เรื่องใหญ่ทะเลไทย

จับตาเศรษฐกิจจีนแผ่ว-ทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติยังผันผวน กดดันเงินบาทอ่อนค่า
https://www.matichon.co.th/economy/news_4161905
 
 
จับตาเศรษฐกิจจีนแผ่ว-ทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติยังผันผวน กดดันเงินบาทอ่อนค่า
 
เมื่อวันที่ 4 กันยายน นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.12 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดสัปดาหก่อนหน้า ที่ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.75-35.50 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.00-35.20 บาทต่อดอลลาร์
 
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ของสัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในกรอบ 34.89-35.16 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าเร็วในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ก่อนที่จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น จากรายงานยอดการจ้างงานที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
 
สัปดาห์นี้ ควรจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักอื่นๆ อาทิ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) พร้อมรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ขณะที่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและโอกาสเฟดคงดอกเบี้ยได้นานขึ้น
 
นายพูน กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวแคบ (sideway) หลังโมเมนตัมการแข็งค่าแผ่วลง ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่าจะกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยต่อเนื่องได้หรือไม่ หลังล่าสุด ทิศทางฟันด์โฟลว์ยังคงผันผวนและไม่แน่นอน
นอกจากนี้ ควรระวังความผันผวนจากฝั่งตลาดการเงินจีน ที่ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจกระทบเงินบาทผ่านการอ่อนค่าลงของเงินหยวนจีนได้ โดยได้ประเมินแนวรับแรกของเงินบาทแถวโซน 34.80-35.00 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวต้านแรกจะอยู่ในช่วง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์
 
ในส่วนเงินดอลลาร์ อาจยังได้แรงหนุนอยู่ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจชะลอตัวลงชัดเจนและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างย้ำจุดยืนพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ
 
ช่วงตลาดการเงินยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายการเงิน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง” นายพูนกล่าว
 
นายพูน กล่าวว่า เศรษฐกิจฝั่งไทย ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนสิงหาคม มีโอกาสเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 0.7-0.8% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าพลังงาน รวมถึงราคาสินค้าเกษตร (ข้าว ผักและผลไม้) ที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามผลกระทบจากภัยแล้ง ทั้งนี้ระดับฐานราคาที่สูงในปีก่อนหน้า ทำให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย 1-3%
 
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังไม่มีความจำเป็นที่ชัดเจน จากเหตุผลด้านเงินเฟ้อในการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย แต่เราไม่ปิดโอกาสที่ กนง. อาจตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.50% (เราให้โอกาส 45%) จากความต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน หรือ policy space ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินยังเอื้อต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย




ส.ส.กทม. เขต 1 แจงกลางดึก หลังอดีตผู้ช่วยโพสต์ถูกห้ามเคลื่อนไหวการเมือง-ดูแคลนอาชีพ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4161915

ส.ส.กทม. เขต 1 แจงกลางดึก หลังอดีตผู้ช่วยโพสต์ถูกห้ามเคลื่อนไหวการเมือง-ดูแคลนอาชีพ
 
สืบเนื่องกรณีนางสาวสุดารัตน์ บุญประเสริฐ อดีตผู้ช่วย ส.ส. เขตกทม. ประกาศยุติการทำงานในตำแหน่งดังกล่าวตั้งแต่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า ถูกห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง นอกจากนี้ยังถูกดูแคลนอาชีพที่ตนเลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัวมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี
 
ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวภัสริน รามวงศ์ หรือ กานต์ ส.ส.กทม.เขต 1 บางซื่อ-ดุสิต พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในช่วงกลางดึกของวันที่ 3 กันยายน ชี้แจงประเด็นดังกล่าว ดังนี้

ตามที่มีข้อความปรากฏในบัญชีเฟซบุ๊กของอดีตผู้ช่วยดำเนินงานของดิฉัน ที่กล่าวถึงการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้

1. ห้ามไม่ให้อดีตผู้ช่วยฯ คนดังกล่าว ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง
2. พูดจาดูแคลนอาชีพเสริมของอดีตผู้ช่วยฯ
3. พยายามใช้อำนาจเหนือเพื่อกดดันให้อดีตผู้ช่วยฯ ไม่มีทางเลือกในการปฏิบัติหน้าที่

ดิฉัน ขอชี้แจงถึงการทำงานที่ผ่านมาร่วมกับอดีตผู้ช่วยดำเนินงาน ดังนี้
 
1. นับตั้งแต่ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยดำเนินงาน ดิฉัน และอดีตผู้ช่วยได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบของอดีตผู้ช่วย อันได้แก่ การวางแผนจัดการการลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชน และรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่
 
2. อย่างไรก็ตามเมื่อได้ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย อดีตผู้ช่วยฯ ไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายได้อย่างเต็มที่ อาทิ ไม่สามารถให้รายละเอียดการลงพื้นที่หรือประสานงานหาแนวทางแก้ไขได้ครบทุกครั้ง ไม่ส่งแผนการทำงานให้แก่ทีมงานล่วงหน้าได้ตามวันที่ตกลงกัน ตลอดจนไม่ตอบข้อความ/ข้อร้องเรียนได้ทันท่วงที ซึ่งบางครั้งเป็นเรื่องเร่งด่วน เรื่องเดือดร้อนของประชาชน ดิฉันจึงต้องมอบหมายให้ทีมงานท่านอื่นดำเนินการแทนชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนในเขตพื้นที่ที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบ
 
3. จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ดิฉันได้ทราบถึงข้อจำกัดของอดีตผู้ช่วยฯ ท่านนี้ ในการทำงานเต็มเวลาจึงเจรจาและเสนอทางเลือก เพื่อการจัดการเวลาการทำงานร่วมกัน โดยพิจารณาถึงเงื่อนไขของอดีตผู้ช่วยฯ ทั้งธุรกิจส่วนตัวที่ต้องดูแล ตลอดจนงานอื่นๆจึงตกลงกันว่า หากต้องการปฏิบัติหน้าที่ผู้ช่วย สส.  ต่อ จะแบ่งเวลาให้เหมาะสมและทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายให้ครบถ้วนหรือ เลือกรับงานแบบอิสระ (freelance) มีเวลาการทำงานที่ไม่บังคับ
 
4. ค่าจ้าง อดีตผู้ช่วยฯ รับค่าจ้างเต็มอัตราจากรัฐสภานับตั้งแต่วันที่แต่งตั้ง วันที่ 4 กรกฎาคม 2566 และเริ่มมีปัญหาเรื่องงานที่รับผิดชอบในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ดิฉันให้โอกาสอดีตผู้ช่วยท่านนี้ตัดสินใจจนถึงปลายเดือนสิงหาคม 2566 ทำให้เธอได้รับค่าจ้างเต็มอัตราจากรัฐสภาเป็นเวลา 2 งวดการจ่าย
 
ดิฉันขอยืนยันว่า ตลอดการทำงานร่วมกัน ดิฉันไม่เคยดูถูกอาชีพของผู้ช่วยท่านนี้สำหรับกรณีการแสดงออกทางการเมืองนั้น ดิฉันถือเป็นสิทธิโดยชอบธรรม และไม่เคยห้ามปรามเพียงแต่ขอให้แจ้งล่วงหน้าเพื่อไม่ให้กระทบกับแผนการลงพื้นที่ รวมถึงการทำงานของทีมงานคนอื่น รวมถึงขอให้ผู้ช่วยท่านนี้ระมัดระวังอย่าให้เกิดความเข้าใจว่าเธอทำกิจกรรมทางการเมืองในฐานะตัวแทนของพรรค เพราะจะคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง
 
ดิฉันเชื่อว่า การมุ่งมั่นและตั้งใจทำงานอย่างตรงไปตรงมา คือการทำงานแบบพรรคก้าวไกลและดิฉันก็ตั้งใจว่าทีมงานที่มาร่วมทางด้วยกันนี้พร้อมทำงานอย่างคุ้มค่าภาษีของประชาชนทุกบาททุกสตางค์
 
สุดท้ายนี้ หากการกระทำ คำพูด ใดๆ ของดิฉัน ได้ทำให้อดีตผู้ช่วยของดิฉันเกิดความไม่สบายใจ รู้สึกว่าถูกดูแคลน ลดทอนศักดิ์ศรี หรือละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ดิฉันต้องขออภัยอย่างมาก และขอยืนยันว่าดิฉันไม่เคยมีความตั้งใจจะทำเช่นนั้นต่อเธออย่างเด็ดขาด
 
ภัสริน รามวงศ์
 
3 กันยายน 2566

https://www.facebook.com/PatsarinOfficial/posts/pfbid03McnEENMXXZDcxYfn1M1wvs6do562jS5CEmbTF986xkT8JuX3uza6ah2P4pajkZhl


 
“เศรษฐา” บอก “ก็ขอโทษด้วย” หากทำให้ไม่สบายใจ หลังถูกโซเชียลจับผิดขี้โมโหจนโยนปากกา ยัน ไม่ใช่การรื้อรังสื่อมวลชน แต่อยากปรับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น
https://siamrath.co.th/n/474647

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 4 ก.ย. 66 ที่ทำการพรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการการะทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ว่า ไปดูห้องทำงาน ห้องประชุมรวมถึงห้องอื่นๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อถามต่อถึงในส่วนของห้องทำงานสื่อมวลชนที่มีกระแสข่าวจะเปลี่ยนเป็นห้องประชุมนั้น จะเป็นการรื้อรังที่อยู่ของสื่อมวลชนหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ใช่ไปรื้อ ตนไปรับฟังว่าใครนั่งอยู่ตรงไหน ที่นั่งของสื่อมวลชนมีอยู่ 2-3 ที่ เราต้องการทำให้ดีขึ้น ใช้คำว่าปรับปรุงดีกว่า อาจจะทำให้ฝ่ายบริหารเข้าถึงสื่อมวลชนได้ดีขึ้น คงจะไปปรับรูปแบบบ้างบางอัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเป็นอยู่ต้องดีขึ้น

เมื่อถามอีกว่า จะปรับให้เป็นระบบมากขึ้นใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า คงไม่มาก เมื่อวานมีเวลาเข้าไปดูแค่ 1 ชั่วโมง 30 นาที คงต้องเข้าไปใช้งานจริงๆ ก่อน คิดว่าลักษณะการใช้งานของฝ่ายบริหารแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน 
 
เมื่อถามว่า จะเป็นการจัดระเบียบหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มีแน่นอน ตนไม่เคยใช้คำว่าจัดระเบียบ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนใช้ ตนใช้คำว่า ไปดูความเป็นอยู่ของพี่น้องสื่อมวลชนเป็นอย่างไรบ้าง ยืนยันว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างต้องดีขึ้น สบายใจได้ทุกอย่าง รวมทั้งการทำงานของฝ่ายบริหารจะเข้าถึงพี่น้องประชาชนได้ก็ต้องอาศัยสื่อมวลชน จึงอยากให้มีสถานที่ที่จะลงมานั่งเพื่อพูดคุยกับสื่อมวลชนได้ ถ้าอยากทำ แต่ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร ก็มีที่อยู่เป็นสัดส่วนของตัวเอง
 
เมื่อถามถึงกระแสที่โซเชียลมีเดียจับผิดว่านายเศรษฐาดูเป็นคนขี้โมโห จากกรณีงานสัมมนา เมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมาจะมีการชี้แจงอย่างไรบ้าง ว่า อย่าใช้คำว่าจับผิดเลย หากภาพที่ออกมาอาจจะบ่งบอกถึงความไม่พอใจ ก็ขอโทษด้วยแต่ไม่ได้ไม่พอใจ แต่วินมอเตอร์ไซต์มีหลายประเด็นตนจึงต้องรีบจด เพราะจะตอบคำถามเขาไม่ได้ เป็นเรื่องการทำงาน เขียนไปแล้วหมึกหมด ตนก็บอกว่าหมึกหมด ตนไม่ได้ขว้าง ตนก็วางไว้บนโต๊ะเฉยๆ แต่เข้าใจว่าการเป็นบุคคลสาธารณะ ทำอะไรต่อไปนี้ก็ต้องระมัดระวัง เพราะภาพที่ออกไปอาจทำให้คนที่ดูเข้าใจผิดได้ กราบขอโทษ และจะระมัดระวังตัวให้มากขึ้น
 
เมื่อถามต่อว่า จะต้องเตรียมปากกาไว้หลายๆ ด้ามหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องเตรียมหลายด้ามเหมือนกันจริงๆ แล้ว ตนไม่ชอบปากกาที่กดข้างๆ ชอบกดข้างบนมากกว่า เพราะหากมีตรงที่หนีบข้างๆ ปากกาเขียนไปแล้วมันจะหล่น รวมถึงกระดานและแผ่นรองด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่