ชาวสวนยางเตรียมขอพบ 'เศรษฐา' ร้องเเก้ราคายางตกต่ำ
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/364064
ชาวสวนยาง เตรียมขอเข้าพบนายกรัฐมนตรี วอนช่วยแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ
นาย
อุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ เตรียมประสานขอเข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาแนวทางช่วยเหลือชาวสวนยาง ทั้งเรื่องราคายาง ที่ตกต่ำอย่างหนัก ขณะที่ต้องแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูงลิ่ว โดยเตรียมเสนอให้ใช้เงินกองทุน กยท. มาอุดหนุนค่าซื้อปุ๋ย ซื้อยา ให้เกษตรกรโดยตรง ให้เกษตกรซื้อปุ๋ยซื้อยาได้เอง และเรื่องเร่งด่วน ขอให้ทบทวนอัตราภาษีที่ดินขั้นตํ่าในส่วนของการปลูกยาง จากอัตราขั้นตํ่า 80 ต้นต่อไร่ เป็น 25 ต้นต่อไร่ ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ที่ส่วนใหญ่จะปลูกยางต่ำกว่า 80 ต้นต่อไร่ ทำให้ต้องแบกภาษีสูงถึงร้อยละ 1.25
โดยเฉพาะสวนยางในพื้นที่ EEC ที่ถูกคิดภาษีที่ดินตามราคาประเมิน ทำให้ชาวสวนแต่ละราย ต้องเสียภาษีถึงไร่ละ 4,000-5,000 บาท ซ้ำเติมเกษตรกรในช่วงเวลาที่ราคายางตกต่ำ โดยขอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาภายใน 30 วัน หากเพิกเฉย จะฟ้องศาลปกครองทันที
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจว่า ราคายางพาราของไทย ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ อาการน่าเป็นห่วง โดยยางแผ่นดิบชั้น 3 ลดลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ 44 บาทต่อกิโลกรัม หรือ ลดลงถึง 25% ซึ่งเป็นแรงฉุดจากความต้องการในตลาดโลก โดยเฉพาะจากผู้ซื้อรายใหญ่อย่างจีน ที่เผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กระทบต่อการผลิตยางล้อและผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ รวมถึงสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจชะลอตัวเช่นกัน กระทบต่อการผลิตรถยนต์ และถุงมือยางในมาเลเซียล้นสต็อก
กดดันราคาน้ำยางในตลาดโลกและพาราไทยให้ปรับลดลงแรง และแนวโน้มอาจลดลงได้อีก แตะ 42 บาทต่อกิโลกรัมปลายปีนี้ ซึ่งเป็นราคาที่ลดลงมาต่ำกว่าต้นทุนการปลูกยาง ที่อยู่ที่ราว 63 บาทต่อกิโลกรัม
ปิยบุตร โวยก้าวไกล ไม่รอบคอบทำเสียรู้ขั้วรัฐบาล เสียเก้าอี้ปธ.กมธ.ไป 1 คณะ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4155235
ปิยบุตร โวยก้าวไกล ไม่รอบคอบทำเสียรู้ขั้วรัฐบาล เสียเก้าอี้ ปธ.กมธ.ไป 1 คณะ
จากกรณีที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ชี้แจงว่า นาย
พงศธร ศรเพชรนรินทร์ ถอนตัวออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม เพื่อลงสมัคร ส.ส.ระยอง เขต 3 พรรค ก.ก. จึงถือว่าไม่ขัดคุณสมบัติผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นั้น
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นาย
ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก “
Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล” ระบุว่า
การลาออกของ ส.ส.ระยอง ทำให้พรรคก้าวไกลเสียสัดส่วนประธานกรรมาธิการ จาก 11 คณะ เหลือ 10 คณะ
ตามธรรมเนียมของสภาผู้แทนราษฎรไทย การจัดสรรปันส่วนตำแหน่งในสภา จะใช้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละพรรคมีมาใช้ในการคำนวณ
เมื่อวานนี้มีข่าวออกมาว่า ทางเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้คำนวณสัดส่วนประธานกรรมาธิการสามัญ 35 คณะ ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า แต่ละพรรคจะมี ส.ส.ของพรรคตนดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการสามัญจำนวนเท่าไร
โดยคำนวณตามสูตร (จำนวนคณะกรรมาธิการสามัญ x จำนวน ส.ส.ของพรรค) หารด้วย จำนวน ส.ส.ที่สภามีอยู่
ผลปรากฏว่า
พรรคก้าวไกล มี ส.ส. 150 คน (นครชัย ขุนณรงค์ ลาออกจาก ส.ส.ระยอง เขต 3) คำนวณตามสูตร 35 x 150 หารด้วย 499 ได้ 10.5210 ปัดเศษได้ 10 คณะ
พรรคเพื่อไทย ส.ส. 141 คน คำนวณได้ 9.8898 ปัดเศษได้ 10 คณะ
พรรคภูมิใจไทย 71 คน คำนวณได้ 4.9800 ปัดเศษได้ 5 คณะ
พรรคพลังประชารัฐ 40 คน คำนวณได้ 2.8056 ปัดเศษได้ 3 คณะ
พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 คน คำนวณได้ 2.5251 ปัดเศษได้ 3 คณะ
พรรคประชาธิปัตย์ 25 คน คำนวณได้ 1.7535 ปัดเศษได้ 2 คณะ
พรรคชาติไทยพัฒนา 10 คน คำนวณได้ 0.7014 ปัดเศษได้ 1 คณะ
พรรคประชาชาติ 9 คน คำนวณได้ 0.6313 ปัดเศษได้ 1 คณะ
ส่วนพรรคอื่นๆ ที่เหลือ ไม่ได้สัดส่วนประธานกรรมาธิการสามัญ
จะเห็นได้ว่า พรรคที่ได้รับผลประโยชน์จากการปัดเศษขึ้น ในลำดับสุดท้ายที่แย่งชิงกัน คือ พรรคก้าวไกล และพรรครวมไทยสร้างชาติ
พรรคก้าวไกล คำนวณได้ 10.5210 ในขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ คำนวณได้ 2.5251
เศษของพรรคก้าวไกล คือ 0.5210
เศษของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ 0.5251
เศษของพรรครวมไทยสร้างชาติเฉือนเอาชนะเศษของพรรคก้าวไกลไป 0.0041 ทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ปัดขึ้นจาก 2 เป็น 3 ส่วนพรรคก้าวไกลถูกปัดลงมาเหลือ 10
การเฉือนกันในหลักเศษจุดทศนิยมนี้ เป็นผลมาจากการลาออกของ ส.ส.ระยอง เขต 3
หากพรรคก้าวไกลมี ส.ส. 151 คน ตามเดิม จะคำนวณออกมาได้ 10.57 (เศษ 0.57) ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ จะคำนวณได้ 2.52 (เศษ 0.52) พรรคก้าวไกลก็จะได้ปัดเศษจาก 10 เป็น 11 และพรรครวมไทยสร้างชาติจะถูกปัดลงแทนเป็น 2
เอกสารภายบันทึกข้อความของกลุ่มงานกรรมาธิการที่นำเสนอต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 25 กรกฎาคม ซึ่งคำนวณจาก ส.ส.เต็ม 500 และ ส.ส.พรรคก้าวไกลรวม 151 คน ก็ยืนยันผลตามนี้ว่า พรรคก้าวไกลได้ประธาน กมธ. 11 คณะ
แต่เมื่อวันนี้ ส.ส.พรรคก้าวไกลเหลือ 150 คน และ ส.ส.ที่มีอยู่ในสภา เหลือ 499 คน พรรคก้าวไกลจึงถูกลดจำนวนประธานเหลือ 10 คณะ
นั่นหมายความว่า…
การลาออกของ ส.ส.ของพรรคก้าวไกล ส่งผลสะเทือนทำให้พรรคก้าวไกลต้องสูญเสียตำแหน่งประธานกรรมาธิการสามัญไปหนึ่งคณะ !!!
หากรอให้การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ระยอง เขต 3 แล้วเสร็จ และพรรคก้าวไกลชนะ ได้ ส.ส.กลับมา 151 คนตามเดิม สัดส่วนประธาน กมธ. ของพรรคก้าวไกลก็คืนกลับมาเป็น 11 คณะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อสักครู่นี้เอง พิเชษฐ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า
วันที่ 7 กันยายน มีการประชุมระหว่างพรรคการเมือง เพื่อจัดสรรตำแหน่งประธานกรรมาธิการตามสัดส่วนของแต่ละพรรค
วันที่ 12 กันยายน ให้แต่ละพรรคส่งรายชื่อ ส.ส. เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการใดบ้าง
วันที่ 13 กันยายน ที่ประชุมสภารับรองรายชื่อ ส.ส.ในแต่ละคณะกรรมาธิการ
วันที่ 14 กันยายน ประชุมคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละคณะ
เมื่อนักข่าวถามว่า จะรอการเลือกตั้งซ่อมระยอง เขต 3 ก่อนค่อยแบ่งสรรประธาน กมธ หรือไม่ เพราะพรรคก้าวไกลได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 กล่าวว่า คงไม่ทัน เราคงไม่รอการเลือกตั้งซ่อม ให้ดำเนินการไปก่อน แต่หากเลือกตั้งซ่อมเสร็จแล้ว พรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.กลับมา หากต้องแบ่งกันใหม่ ก็เป็นเรื่องของแต่ละพรรคจะไปเจรจากันผ่านวิปว่าจะให้พรรคไหนถอยอย่างไร
บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือ…
พรรคก้าวไกลจะได้ประธาน กมธ. 11 หรือ 10 คณะ จึงขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 10 กันยาฯนี้
แต่เท่านั้นยังไม่พอ ต่อให้ชนะ ได้กลับมา 151 คนตามเดิม ก็ต้องไปเจรจาผ่านวิปอีก ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะยอมถอย คืนตำแหน่งประธานกรรมาธิการให้พรรคก้าวไกล
เรื่องจะไม่สับสนอลหม่านและปวดหัวเลย หากพรรคก้าวไกลละเอียดรอบคอบ คำนวณสัดส่วนตัวเลขอยู่เสมอ
ณ วันที่ ส.ส.ลาออกจากตำแหน่ง พรรคได้มีการคำนวณเรื่องเหล่านี้หรือไม่?
หากประสงค์จะลาออกจริง จะกำหนดให้ลาออกหลังจากแบ่งสรรประธานกรรมาธิการแล้วเสร็จได้หรือไม่?
หรือว่าไม่ได้คิดคำนวณเรื่องอะไรเหล่านี้เลย?
เมื่อพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน การขับเคลื่อนบทบาทการทำงานในสภาผ่านตำแหน่งประธานกรรมาธิการจึงสำคัญมาก
การถูกลดจาก 11 เหลือ 10 ถือว่ากระทบกระเทือนอย่างมาก
เมื่อยิ่งรู้ว่า การลดจาก 11 เหลือ 10 เป็นผลจาก ส.ส.ลาออก 1 คน ก็ยิ่งน่าเสียดายเข้าไปอีก
เมื่อตำแหน่งประธาน กมธ.ของพรรคก้าวไกลที่หายไป กลายไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ก็ยิ่งน่าเจ็บใจ
https://www.facebook.com/PiyabutrOfficial/posts/917331326419593
ก้าวไกลจี้ มท.-ศธ.ถอดบทเรียนส่งเด็กนักเรียน 126 คนกลับพม่า
https://www.matichon.co.th/education/news_4155178
ก้าวไกลจี้ มท.-ศธ.ถอดบทเรียนส่งเด็กนักเรียน 126 คนกลับพม่า หวั่นความไม่ชัดเจนตั้ง 3 ข้อสังเกต สำรวจพบเด็กกว่า 20 คนกลับมาไทยแล้ว 7 คน
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2566 นาย
ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.ระบบบัญชีราชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ทางการไทยส่งเด็กนักเรียนไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรของโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง กลับประเทศพม่า ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ว่า ไม่ว่าเด็กกลุ่มนี้จะเข้าเมืองด้วยกระบวนการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ควรคำนึงถึงสิทธิการศึกษาของเด็กและควรถอดบทเรียนว่าหากมีเหตุการณ์หรือกรณีแบบนี้ และกรณีใดๆ เกิดขึ้นอีก ควรจัดการและหากระบวนการที่เหมาะสม เท่าที่ทราบขณะนี้เด็กหลายคนกลับไปเข้าเรียนในพื้นที่ในประเทศเพื่อนบ้านและมีบางรายย้อนกลับเข้ามาเรียนในประเทศไทยผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า มีข้อสังเกต 1.ในกรณีนี้อาจจะไม่สามารถยกขึ้นมาเป็นกรณีชี้กระบวนการว่าถูกหรือผิดได้ เพราะรัฐไทยยังไม่มีกระบวนการถอดบทเรียนว่าหากในสถานการณ์ที่จำเป็นและคำนึงถึงว่าสิทธิใดควรมาเหนือสิทธิใดๆ และควรมีวิธีการในการปฏิบัติอย่างไร เช่น สิทธิการศึกษาควรที่จะมาก่อนการโยกย้ายถิ่นฐาน ไม่ว่าจะเข้าเมืองมาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม หรือสิทธิที่อพยพมาหนีภัยสงครามเข้าเมืองนั้นๆ ควรที่จะเหนือการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า 2.ในกรณีนี้ส่งผลกระทบต่อในเชิงลบต่อการจัดการศึกษาเนื่องจากโรงเรียนทั่วประเทศไม่กล้าเปิดรับเด็กไร้สถานทางเบียน และหน่วยงาน คือกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก็มีความวิตกกังวลว่าจะเกิดกรณีนี้ขึ้นอีก ส่งผลกระทบต่อการดูและการจัดการศึกษาในกับเด็กจำนวนหนึ่ง ควรเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
3.ในกรณีการดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้อำนวยการโรงเรียนที่นำเด็กมาเรียน ยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนสอบสอนและยังไม่เห็นความคืบหน้าในการส่งสำนวนให้พนักงานอัยการว่ามีการส่งฟ้องหรือไม่ เพราะต้องดูข้อเท็จจริงและเจตนาประกอบสิ่งที่ผู้อำนวยการโรงเรียนกระทำนั้นเข้าข่ายเป็นเจตนาพาคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจริงหรือไม่ หรือมีความหวังดีต้องการให้การศึกษาแก่เด็กนักเรียน ซึ่งก็มีข้อเรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดี แต่กระบวนการยุติธรรมนั้นได้เดินหน้าไปแล้ว ซึ่งควรช่วยกันติดตามเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
“
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างความชัดเจนให้กับหน่วยงานปฏิบัติในพื้นที่ ในเมื่อรัฐมนตรี ศธ. ยืนยันเองว่าสิทธิการศึกษาควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับ ตามหลักการ Education for all ดังนั้นก็ไม่ควรจะมีประเด็นที่เป็นข้อจำกัดใดๆ และรัฐมนตรี ศธ.ควรที่จะมีนโยบาย หรือมีหนังสือสั่งการให้ทำความเข้าใจว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อในพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะจังหวัดที่อยู่ใกล้กับชายแดน” นาย
ณัฐวุฒิกล่าว
JJNY : ชาวสวนยางเตรียมขอพบ 'เศรษฐา' แก้ราคายาง│ปิยบุตร โวยก้าวไกล│ก้าวไกลจี้ มท.-ศธ.ถอดบทเรียน│ปธน.กาบองโผล่ร้องโลกช่วย
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/364064
ชาวสวนยาง เตรียมขอเข้าพบนายกรัฐมนตรี วอนช่วยแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ เตรียมประสานขอเข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาแนวทางช่วยเหลือชาวสวนยาง ทั้งเรื่องราคายาง ที่ตกต่ำอย่างหนัก ขณะที่ต้องแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูงลิ่ว โดยเตรียมเสนอให้ใช้เงินกองทุน กยท. มาอุดหนุนค่าซื้อปุ๋ย ซื้อยา ให้เกษตรกรโดยตรง ให้เกษตกรซื้อปุ๋ยซื้อยาได้เอง และเรื่องเร่งด่วน ขอให้ทบทวนอัตราภาษีที่ดินขั้นตํ่าในส่วนของการปลูกยาง จากอัตราขั้นตํ่า 80 ต้นต่อไร่ เป็น 25 ต้นต่อไร่ ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ที่ส่วนใหญ่จะปลูกยางต่ำกว่า 80 ต้นต่อไร่ ทำให้ต้องแบกภาษีสูงถึงร้อยละ 1.25
โดยเฉพาะสวนยางในพื้นที่ EEC ที่ถูกคิดภาษีที่ดินตามราคาประเมิน ทำให้ชาวสวนแต่ละราย ต้องเสียภาษีถึงไร่ละ 4,000-5,000 บาท ซ้ำเติมเกษตรกรในช่วงเวลาที่ราคายางตกต่ำ โดยขอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาภายใน 30 วัน หากเพิกเฉย จะฟ้องศาลปกครองทันที
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจว่า ราคายางพาราของไทย ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ อาการน่าเป็นห่วง โดยยางแผ่นดิบชั้น 3 ลดลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ 44 บาทต่อกิโลกรัม หรือ ลดลงถึง 25% ซึ่งเป็นแรงฉุดจากความต้องการในตลาดโลก โดยเฉพาะจากผู้ซื้อรายใหญ่อย่างจีน ที่เผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กระทบต่อการผลิตยางล้อและผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ รวมถึงสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจชะลอตัวเช่นกัน กระทบต่อการผลิตรถยนต์ และถุงมือยางในมาเลเซียล้นสต็อก
กดดันราคาน้ำยางในตลาดโลกและพาราไทยให้ปรับลดลงแรง และแนวโน้มอาจลดลงได้อีก แตะ 42 บาทต่อกิโลกรัมปลายปีนี้ ซึ่งเป็นราคาที่ลดลงมาต่ำกว่าต้นทุนการปลูกยาง ที่อยู่ที่ราว 63 บาทต่อกิโลกรัม
ปิยบุตร โวยก้าวไกล ไม่รอบคอบทำเสียรู้ขั้วรัฐบาล เสียเก้าอี้ปธ.กมธ.ไป 1 คณะ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4155235
ปิยบุตร โวยก้าวไกล ไม่รอบคอบทำเสียรู้ขั้วรัฐบาล เสียเก้าอี้ ปธ.กมธ.ไป 1 คณะ
จากกรณีที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ชี้แจงว่า นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ถอนตัวออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม เพื่อลงสมัคร ส.ส.ระยอง เขต 3 พรรค ก.ก. จึงถือว่าไม่ขัดคุณสมบัติผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นั้น
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก “Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล” ระบุว่า
การลาออกของ ส.ส.ระยอง ทำให้พรรคก้าวไกลเสียสัดส่วนประธานกรรมาธิการ จาก 11 คณะ เหลือ 10 คณะ
ตามธรรมเนียมของสภาผู้แทนราษฎรไทย การจัดสรรปันส่วนตำแหน่งในสภา จะใช้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละพรรคมีมาใช้ในการคำนวณ
เมื่อวานนี้มีข่าวออกมาว่า ทางเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้คำนวณสัดส่วนประธานกรรมาธิการสามัญ 35 คณะ ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า แต่ละพรรคจะมี ส.ส.ของพรรคตนดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการสามัญจำนวนเท่าไร
โดยคำนวณตามสูตร (จำนวนคณะกรรมาธิการสามัญ x จำนวน ส.ส.ของพรรค) หารด้วย จำนวน ส.ส.ที่สภามีอยู่
ผลปรากฏว่า
พรรคก้าวไกล มี ส.ส. 150 คน (นครชัย ขุนณรงค์ ลาออกจาก ส.ส.ระยอง เขต 3) คำนวณตามสูตร 35 x 150 หารด้วย 499 ได้ 10.5210 ปัดเศษได้ 10 คณะ
พรรคเพื่อไทย ส.ส. 141 คน คำนวณได้ 9.8898 ปัดเศษได้ 10 คณะ
พรรคภูมิใจไทย 71 คน คำนวณได้ 4.9800 ปัดเศษได้ 5 คณะ
พรรคพลังประชารัฐ 40 คน คำนวณได้ 2.8056 ปัดเศษได้ 3 คณะ
พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 คน คำนวณได้ 2.5251 ปัดเศษได้ 3 คณะ
พรรคประชาธิปัตย์ 25 คน คำนวณได้ 1.7535 ปัดเศษได้ 2 คณะ
พรรคชาติไทยพัฒนา 10 คน คำนวณได้ 0.7014 ปัดเศษได้ 1 คณะ
พรรคประชาชาติ 9 คน คำนวณได้ 0.6313 ปัดเศษได้ 1 คณะ
ส่วนพรรคอื่นๆ ที่เหลือ ไม่ได้สัดส่วนประธานกรรมาธิการสามัญ
จะเห็นได้ว่า พรรคที่ได้รับผลประโยชน์จากการปัดเศษขึ้น ในลำดับสุดท้ายที่แย่งชิงกัน คือ พรรคก้าวไกล และพรรครวมไทยสร้างชาติ
พรรคก้าวไกล คำนวณได้ 10.5210 ในขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ คำนวณได้ 2.5251
เศษของพรรคก้าวไกล คือ 0.5210
เศษของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ 0.5251
เศษของพรรครวมไทยสร้างชาติเฉือนเอาชนะเศษของพรรคก้าวไกลไป 0.0041 ทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ปัดขึ้นจาก 2 เป็น 3 ส่วนพรรคก้าวไกลถูกปัดลงมาเหลือ 10
การเฉือนกันในหลักเศษจุดทศนิยมนี้ เป็นผลมาจากการลาออกของ ส.ส.ระยอง เขต 3
หากพรรคก้าวไกลมี ส.ส. 151 คน ตามเดิม จะคำนวณออกมาได้ 10.57 (เศษ 0.57) ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ จะคำนวณได้ 2.52 (เศษ 0.52) พรรคก้าวไกลก็จะได้ปัดเศษจาก 10 เป็น 11 และพรรครวมไทยสร้างชาติจะถูกปัดลงแทนเป็น 2
เอกสารภายบันทึกข้อความของกลุ่มงานกรรมาธิการที่นำเสนอต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 25 กรกฎาคม ซึ่งคำนวณจาก ส.ส.เต็ม 500 และ ส.ส.พรรคก้าวไกลรวม 151 คน ก็ยืนยันผลตามนี้ว่า พรรคก้าวไกลได้ประธาน กมธ. 11 คณะ
แต่เมื่อวันนี้ ส.ส.พรรคก้าวไกลเหลือ 150 คน และ ส.ส.ที่มีอยู่ในสภา เหลือ 499 คน พรรคก้าวไกลจึงถูกลดจำนวนประธานเหลือ 10 คณะ
นั่นหมายความว่า…
การลาออกของ ส.ส.ของพรรคก้าวไกล ส่งผลสะเทือนทำให้พรรคก้าวไกลต้องสูญเสียตำแหน่งประธานกรรมาธิการสามัญไปหนึ่งคณะ !!!
หากรอให้การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ระยอง เขต 3 แล้วเสร็จ และพรรคก้าวไกลชนะ ได้ ส.ส.กลับมา 151 คนตามเดิม สัดส่วนประธาน กมธ. ของพรรคก้าวไกลก็คืนกลับมาเป็น 11 คณะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อสักครู่นี้เอง พิเชษฐ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า
วันที่ 7 กันยายน มีการประชุมระหว่างพรรคการเมือง เพื่อจัดสรรตำแหน่งประธานกรรมาธิการตามสัดส่วนของแต่ละพรรค
วันที่ 12 กันยายน ให้แต่ละพรรคส่งรายชื่อ ส.ส. เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการใดบ้าง
วันที่ 13 กันยายน ที่ประชุมสภารับรองรายชื่อ ส.ส.ในแต่ละคณะกรรมาธิการ
วันที่ 14 กันยายน ประชุมคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละคณะ
เมื่อนักข่าวถามว่า จะรอการเลือกตั้งซ่อมระยอง เขต 3 ก่อนค่อยแบ่งสรรประธาน กมธ หรือไม่ เพราะพรรคก้าวไกลได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 กล่าวว่า คงไม่ทัน เราคงไม่รอการเลือกตั้งซ่อม ให้ดำเนินการไปก่อน แต่หากเลือกตั้งซ่อมเสร็จแล้ว พรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.กลับมา หากต้องแบ่งกันใหม่ ก็เป็นเรื่องของแต่ละพรรคจะไปเจรจากันผ่านวิปว่าจะให้พรรคไหนถอยอย่างไร
บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือ…
พรรคก้าวไกลจะได้ประธาน กมธ. 11 หรือ 10 คณะ จึงขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 10 กันยาฯนี้
แต่เท่านั้นยังไม่พอ ต่อให้ชนะ ได้กลับมา 151 คนตามเดิม ก็ต้องไปเจรจาผ่านวิปอีก ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะยอมถอย คืนตำแหน่งประธานกรรมาธิการให้พรรคก้าวไกล
เรื่องจะไม่สับสนอลหม่านและปวดหัวเลย หากพรรคก้าวไกลละเอียดรอบคอบ คำนวณสัดส่วนตัวเลขอยู่เสมอ
ณ วันที่ ส.ส.ลาออกจากตำแหน่ง พรรคได้มีการคำนวณเรื่องเหล่านี้หรือไม่?
หากประสงค์จะลาออกจริง จะกำหนดให้ลาออกหลังจากแบ่งสรรประธานกรรมาธิการแล้วเสร็จได้หรือไม่?
หรือว่าไม่ได้คิดคำนวณเรื่องอะไรเหล่านี้เลย?
เมื่อพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน การขับเคลื่อนบทบาทการทำงานในสภาผ่านตำแหน่งประธานกรรมาธิการจึงสำคัญมาก
การถูกลดจาก 11 เหลือ 10 ถือว่ากระทบกระเทือนอย่างมาก
เมื่อยิ่งรู้ว่า การลดจาก 11 เหลือ 10 เป็นผลจาก ส.ส.ลาออก 1 คน ก็ยิ่งน่าเสียดายเข้าไปอีก
เมื่อตำแหน่งประธาน กมธ.ของพรรคก้าวไกลที่หายไป กลายไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ก็ยิ่งน่าเจ็บใจ
https://www.facebook.com/PiyabutrOfficial/posts/917331326419593
ก้าวไกลจี้ มท.-ศธ.ถอดบทเรียนส่งเด็กนักเรียน 126 คนกลับพม่า
https://www.matichon.co.th/education/news_4155178
ก้าวไกลจี้ มท.-ศธ.ถอดบทเรียนส่งเด็กนักเรียน 126 คนกลับพม่า หวั่นความไม่ชัดเจนตั้ง 3 ข้อสังเกต สำรวจพบเด็กกว่า 20 คนกลับมาไทยแล้ว 7 คน
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2566 นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.ระบบบัญชีราชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ทางการไทยส่งเด็กนักเรียนไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรของโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง กลับประเทศพม่า ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ว่า ไม่ว่าเด็กกลุ่มนี้จะเข้าเมืองด้วยกระบวนการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ควรคำนึงถึงสิทธิการศึกษาของเด็กและควรถอดบทเรียนว่าหากมีเหตุการณ์หรือกรณีแบบนี้ และกรณีใดๆ เกิดขึ้นอีก ควรจัดการและหากระบวนการที่เหมาะสม เท่าที่ทราบขณะนี้เด็กหลายคนกลับไปเข้าเรียนในพื้นที่ในประเทศเพื่อนบ้านและมีบางรายย้อนกลับเข้ามาเรียนในประเทศไทยผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า มีข้อสังเกต 1.ในกรณีนี้อาจจะไม่สามารถยกขึ้นมาเป็นกรณีชี้กระบวนการว่าถูกหรือผิดได้ เพราะรัฐไทยยังไม่มีกระบวนการถอดบทเรียนว่าหากในสถานการณ์ที่จำเป็นและคำนึงถึงว่าสิทธิใดควรมาเหนือสิทธิใดๆ และควรมีวิธีการในการปฏิบัติอย่างไร เช่น สิทธิการศึกษาควรที่จะมาก่อนการโยกย้ายถิ่นฐาน ไม่ว่าจะเข้าเมืองมาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม หรือสิทธิที่อพยพมาหนีภัยสงครามเข้าเมืองนั้นๆ ควรที่จะเหนือการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า 2.ในกรณีนี้ส่งผลกระทบต่อในเชิงลบต่อการจัดการศึกษาเนื่องจากโรงเรียนทั่วประเทศไม่กล้าเปิดรับเด็กไร้สถานทางเบียน และหน่วยงาน คือกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก็มีความวิตกกังวลว่าจะเกิดกรณีนี้ขึ้นอีก ส่งผลกระทบต่อการดูและการจัดการศึกษาในกับเด็กจำนวนหนึ่ง ควรเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
3.ในกรณีการดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้อำนวยการโรงเรียนที่นำเด็กมาเรียน ยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนสอบสอนและยังไม่เห็นความคืบหน้าในการส่งสำนวนให้พนักงานอัยการว่ามีการส่งฟ้องหรือไม่ เพราะต้องดูข้อเท็จจริงและเจตนาประกอบสิ่งที่ผู้อำนวยการโรงเรียนกระทำนั้นเข้าข่ายเป็นเจตนาพาคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจริงหรือไม่ หรือมีความหวังดีต้องการให้การศึกษาแก่เด็กนักเรียน ซึ่งก็มีข้อเรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดี แต่กระบวนการยุติธรรมนั้นได้เดินหน้าไปแล้ว ซึ่งควรช่วยกันติดตามเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างความชัดเจนให้กับหน่วยงานปฏิบัติในพื้นที่ ในเมื่อรัฐมนตรี ศธ. ยืนยันเองว่าสิทธิการศึกษาควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับ ตามหลักการ Education for all ดังนั้นก็ไม่ควรจะมีประเด็นที่เป็นข้อจำกัดใดๆ และรัฐมนตรี ศธ.ควรที่จะมีนโยบาย หรือมีหนังสือสั่งการให้ทำความเข้าใจว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อในพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะจังหวัดที่อยู่ใกล้กับชายแดน” นายณัฐวุฒิกล่าว