รู้ว่าเป็นโรคร้ายในวันที่สายเกินไป [มะเร็ง...]

สวัสดีค่ะ  ขออนุญาตแบ่งปันเรื่องราวอาการป่วยของคุณป้า 

     คุณป้า อายุ 63 ปี  เริ่มมีอาการท้องอืด แน่นท้อง มีถ่ายเป็นเลือดปนเล็กน้อย  ตั้งแต่อายุ 35 ปี 
ได้ไปพบแพทย์ รพ.รัฐแห่งหนึ่งใน กทม. แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นกระเพราะอาหารเป็นแผลและให้ยามาทานก็ดีขึ้น
     อาการโดยรวมที่เป็นเกือบ 30 ปี คือ ร่างกายปกติ แข็งแรงดี  ไม่ปวดท้อง  แต่ท้องอืดง่าย 
จะทานอาหารพวกกะทิ นม(ยกเว้นนมเปรี้ยว) ซอสมะเขือเทศ ของหมักดอง ไม่ค่อยได้
แต่ถ้าป้ามีอาการท้องอืด แน่น ก็จะซื้อยาจากร้านขายยาแถวบ้านมาทานให้รู้สึกดีขึ้น ซึ่งทานมาตลอด

     - ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในแต่ละปีป้าจะป่วยหนักถึงกับนอนซมเป็นสัปดาห์ แล้วก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม
แต่เริ่มมีอาการเหมือนกรดไหลย้อน แน่นท้อง ท้องอืดบ่อยขึ้น ความดัน-ไขมันสูง
ไปพบแพทย์ที่คลินิก(สถานพยาบาลปฐมภูมิตามสิทธิ) ได้ยาลดความดันและลดไขมันมาทาน และไปตามแพทย์นัดทุกเดือน

     - ต้นปี 66  เริ่มเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ทานอาหารได้น้อยลง แต่ป้าไม่ยอมไปพบแพทย์ที่ รพ. คิดว่าตนเองป่วยเหมือนทุกที
แต่ไปพบแพทย์ที่คลินิกตามนัดและแจ้งเกี่ยวกับอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น
แพทย์ตรวจแล้วคิดว่ามีอาการเสี่ยงเป็นโรคไต ให้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำและดื่มน้ำจำกัด

     - เดือน พ.ค.66  ยังเดินเองได้แต่เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด 10 กก. และอุจจาระแข็งเป็นเม็ดๆปนเลือด  จึงยอมไปตรวจที่ รพ.รัฐแห่งหนึ่งใน กทม. 
ส่งพบแพทย์ทั่วไป สั่งเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ อุจจาระ และเอ็กซเรย์ = ผลออกมาค่าไขมัน-ค่าตับไม่ดี เลือดจาง อุจจาระมีผลเลือดเป็นบวก
แพทย์สงสัยว่าเป็น มะเร็งลำไส้ จึงส่งต่อแพทย์อายุรกรรม และสั่งเจาะเลือดและอัลตร้าซาวด์เพิ่ม ได้คิวนัดเดือน มิ.ย.66

     - เดือน มิ.ย.66  พบแพทย์อายุรกรรม ตอนนี้ต้องนั่งรถเข็นแล้ว มีอาการหนักกว่าเดิม และท้องเริ่มโตขึ้น ทำให้อึดอัด ไม่สบายตัว  
ตรวจเลือดและอัลตร้าซาวด์ = ผลเลือดแย่ลงกว่าเดิม ค่าอื่นที่เคยปกติก็ผิดปกติ  และอัลตร้าซาวด์เจอก้อนไขมันกระจายที่ตับเยอะมาก
แพทย์สงสัยว่าเป็น มะเร็ง ความเห็นตรงกับแพทย์ทั่วไป แต่ก็ตรวจ CT และส่องกล้องเพิ่ม ให้แน่ใจว่า เป็นจริงหรือไม่ เป็นที่ส่วนไหน ถึงไหนแล้ว
จึงได้คิวนัดมาทำในเดือน ก.ค.66   และสั่งยาแก้ท้องอืด แน่น ช่วยย่อย วิตามินบำรุงให้ทาน

     - ต้นเดือน ก.ค.66  ท้องโตขึ้นมากกว่าเดิม ผอมลงมาก  เริ่มเพ้อ ทานอาหารไม่ได้และอาหารเสริมก็ดื่มได้น้อยลง
อาการไม่ดีจึงพาไปห้องฉุกเฉิน แพทย์สั่งตรวจเลือดและเอ็กซเรย์ = ผลแย่กว่าเดิม จึงให้น้ำเกลือ ยา และให้ดื่มโพแทสเซียม ก็รู้สึกดีขึ้น
นอนดูอาการ 1 คืน แพทย์ให้กลับบ้านได้ และให้มาทำ CT ตามนัดเหมือนเดิม

     - กลางเดือน ก.ค.66  มาทำ CT ตามหมอนัด  ตอนนี้ป้าแทบเดินไม่ไหวแล้ว ลุกทีขาสั่น หงุดหงิด เพ้อบ่อย
ตับโตดันท้องดันซี่โครงจนแน่น ทานได้น้อยลงเรื่อยๆ ทานอะไรนิดหน่อยก็แน่น ดื่มอาหารเสริมก็น้อยลงไปอีก

     - ปลายเดือน ก.ค.66  เตรียมตัวก่อนมาส่องกล้อง 3 วัน  ทานได้เฉพาะอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้มปลา ซึ่งป้าทานได้น้อยอยู่แล้ว แทบไม่ต้องเตรียมตัว
1 วันก่อนส่องกล้อง ให้มานอน รพ. และงดอาหาร ให้ดื่มเฉพาะน้ำผลไม้ที่ไม่มีสี ซึ่งป้ายอมดื่มไป 1 กล่อง

     - วันส่องกล้อง  ส่องช่วงบ่ายกลับมาได้น้ำเกลือ อยู่ในหอผู้ป่วยงดเยี่ยม แต่โทรหาป้าพอมีแรงคุยได้อยู่  แต่ทานอาหารไม่ได้เลย 

     - วันต่อมา  แพทย์โทรมาแจ้งอาการของป้าคร่าวๆ มาว่าหนักมาก ขอให้นอนดูอาการต่อที่ รพ.ก่อน และเรียกญาติมาฟังผลร่วมกันในวันถัดไป
วันนี้ป้าได้โทรมาบอกว่า “อยากกลับบ้าน มารับป้ากลับบ้าน ป้าไม่ไหวแล้ว” (ซึ่งเป็นน้ำเสียงที่ทรมานจิตใจมากๆ)

     - วันฟังผล แพทย์แจ้งว่าเป็น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีผลไปถึงตับ รักษาไม่ได้แล้ว จะอยู่ได้กี่วันตอบไม่ได้ แล้วแต่อาการของผู้ป่วย
อยากให้ญาติปรึกษากันว่า ถ้าถึงตอนนั้นอยากให้เข้าสู่กระบวนการช่วยชีวิตหรือไม่?
          1) เข้าสู่กระบวนการช่วยชีวิต อาจจะมีเจาะคอ เจาะท้อง มีปั๊มหัวใจ ถือว่าทรมาน ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกตัว/ไม่รู้สึกตัว
          2) รักษาตามอาการ วิธีนี้ผู้ป่วยจะทรมานน้อยกว่า เพื่อให้จากไปอย่างสงบ   ซึ่งจะอยู่ รพ.ต่อ หรือจะพากลับบ้านก็ได้
ญาติตัดสินในเลือก ข้อ 2) ซึ่งก็ตรงกับความคิดของป้าที่เคยบอกไว้ว่าถ้าป่วยไม่อยากโดนเจาะอะไรทั้งนั้น
และขออนุญาตพาป้ากลับบ้านอย่างป้าต้องการ  ซึ่งแพทย์อนุญาตให้ป้ากลับพรุ่งนี้ หลังจากคุยเสร็จก็ให้ไปเยี่ยมป้าได้
ป้าดูดีใจหลังจากไม่เจอใครเลยมา 3 วัน และจะได้กลับบ้าน  แต่ดูป้าเหนื่อยมาก ไม่มีแรง จะพูดแต่ละคำต้องใช้พลังมาก

     - วันพาป้ากลับบ้าน เจ้าหน้าที่จัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย นั่งรออยู่บนเตียง  ยังพอมีแรงยกมือลาพยาบาล จึงพาป้านั่งรถเข็นกลับ
ช่วงบ่ายกลับมาถึงบ้าน ก็ได้ความร่วมมือและน้ำใจของคนในชุมชนและญาติๆหาเตียงและถังออกซิเจนมาให้ใช้
ช่วงเย็นยังพอรับรู้พยักหน้าตอบรับได้บ้าง  ตกดึกเริ่มมีแน่นท้องหนักมาก ร้องโอดโอย ดิ้นเป็นพักๆ ทั้งคืนจนถึงเช้า

     - วันสุดท้าย วันนี้ป้าหลับอย่างเดียว พอจะกระดิกนิ้วตอบรับได้บ้าง จนถึงวาระสุดท้ายในตอนเย็น ป้าได้จากไปอย่างที่สงบที่บ้าน
โดยที่ได้กลับมานอนบ้านแค่ 1 คืน แต่อย่างน้อยป้าก็ได้เจอญาติๆทุกคนและได้กลับบ้านอย่างที่ต้องการ...

รวมระเวลาที่เริ่มมีอาการจนถึงวันที่จากไป ไม่ถึง 6 เดือน
และระยะเวลาที่รู้แน่ชัดว่าเป็น มะเร็งลำไส้ใหญ่ จนถึงวันที่จากไป เพียงแค่ 4 วันเท่านั้น
ซึ่งเร็วมากๆไม่มีใครตั้งตัวทัน และป้าเองก็ไม่เคยคิดว่าตนเองจะจากไป คิดว่าถ้าเป็นจริงก็จะรักษาตัวและสู้กันไป

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
 
 
สุดท้าย... อยากให้ทุกคนสังเกตตนเองและคนใกล้ชิดถึงอาการผิดปกติ
บางทีอาการที่คิดว่าเล็กน้อย อาจจะไม่เล็กน้อยก็ได้  ถ้ามีอาการไม่ดีควรจะพบแพทย์ตรวจให้ละเอียดดีที่สุด

ท่านใดที่มีญาติป่วยอยู่   กำลังใจ การดูแลเอาใจใส่ และความอดทน สำคัญมากจริงๆ

ท่านใดที่ป่วยอยู่ ขอให้กลับมาแข็งแรงเร็วๆ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และทำให้ร่างกายสดใสเสมอนะคะ

 
---------- ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจบ ----------
ผ่านมากว่า 1 เดือนแล้วที่ป้าจากไป ทำใจอยู่นานแล้วว่าจะเล่าเรื่องนี้ดีไหม แต่อยากเก็บเรื่องไว้ระลึกถึงคุณป้า
หวังว่าเรื่องราวของคุณป้าจะเป็นธรรมทานและประโยชน์สำหรับทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ  
---------- ขอให้ทุกท่านไม่สายเกินไป ----------

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่