📛📛📛
เป็นหนังที่ผมชั่งใจอยู่นานมากกว่าจะตัดสินใจว่าจะดู เพราะด้วยหนึ่งคือ ผมไม่ชอบหนังแนววิทยาศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ เอามากๆ เพราะผมเรียนห่วยแตกกับวิชาพวกนี้ ก็มีอคติไปแล้วว่า จะดูรู้เรื่องไหม สองคือหนังมันสามชั่วโมงกว่าๆ เลยนะ ถ้ามันไม่สนุกจะยังไงดี เพราะปกติถ้าผมเริ่มแล้วผมก็ต้องดูให้จบ มันเลยทำให้ผมมีความคิดสองจิตสองใจที่จะดูหนังเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ทำให้อยากดูคือ Christopher Nolan และ ดาราฝีมือดีมากมายคับจอนี่แหละ


📛📛📛
หนัง Oppenheimer ดัดแปลงมาจากหนังสือ American Prometheus: The Triumph and Tragedy of J. Robert Oppenheimer ของ ไค เบิร์ด (Kai Bird) และ มาร์ติน เจ. เชอร์วิน (Martin J. Sherwin) ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตและผลงานของ เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ ผู้คิดค้นระเบิดปรมาณูในโครงการแมนแฮตตัน (Manhattan Project) ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเมื่อโครงการสำเร็จ เขากลับเป็นคนที่ต้องโดนรัฐบาลกำจัดทิ้ง จากวีรบุรุษ สู่ผู้ต้องหา


📛📛📛
ว่ากันด้วยเรื่องราวที่ไม่น่าจะมีอะไรใช่ไหม และหนังก็เล่าช่วงแรกแบบเนิบๆ ตลอดเวลา เป็นชีวิตวัยหนุ่มของ J. Robert Oppenheimer ก่อนจะได้เข้ามาทำหน้าที่ในกองทัพ หลังจากนั้น หนังก็จะพูดถึงโครงการพัฒนาปรมาณูของเขาตั้งแต่เริ่มจนสำเร็จ ในช่วงที่หนังเริ่มค่อยๆ ปูพรมเรื่องราวให้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยทฤษฎี ฟิสิกส์ เคมี อะไรเยอะแยะมากมาย ซึ่งผมไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่หนังกลับข้มข้นขึ้นจนทำให้ผมต้องติดตามมันแบบดูข้ามไม่ได้เลย


📛📛📛
ในระหว่างการทดลองที่เข้มข้น หนังก็ใส่ดราม่าชีวิตส่วนตัวของ J. Robert Oppenheimer เข้ามาเพื่อให้มีอรรถรสเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความรัก เรื่องราวความเป็นลัทธินิยม เรื่องราวครอบครัว หรือแม้แต่เรื่องราวความขัดแย้งทางการเมือง ถูกใส่เข้ามาผสมกันให้หนังมันมีรสชาติที่กลมกล่อมมากขึ้นไม่ได้มีแค่มิติเดียว แต่กลับมาหลากหลายมิติให้คนดูติดตามได้อย่างเหนือชั้น


📛📛📛
และสิ่งที่ผมอยากเห็น นั่นคือการที่หนังมีดาราชื่อดังฝีมือเยี่ยมยอดมากมายเข้ามาอยู่ในหนังในบทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวพระเอกอย่าง Cillian Murphy, Emily Blunt ในบทภรรยา, Matt Damon, Jason Clarke โดยเฉพาะ Robert Downey Jr. ที่ทำให้เราลืมภาพลักษณ์ของ Ironman ไปเลย แต่คนที่ปังกระแทกตามากที่สุด สำหรับผมยกให้ Florence Pugh ครับ ทุ่มทุนทั้งตัวเลยทีเดียว และทุกคนก็มีบทบาทในแต่ละพาร์ทของหนังแบบไม่มีคนไหนที่ด้อยไปกว่ากัน


📛📛📛
ช่วงท้ายจะเป็นดราม่าการเมืองซะส่วนใหญ่ ซึ่งหนังก็ทำซีนอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ยิ่งตัวละครที่ออกมาในช่วงนี้ เป็นตัวละครที่เรียกวา่ต้องเล่นกับความตึงเครียดของหนังให้ออกมาได้แบบตึงมากที่สุด ซึ่งในช่วงท้ายนี่ผมว่าเป็นช่วงที่ดีมากๆ ของหนังเลย เพราะอย่างที่บอก ผมไม่ค่อยรู้เรื่องทฤษฎีอะไรสักเท่าไหร่ แต่ตอนท้ายมันคืออารมณ์และการเมือง การหักหลังกันแท้ๆ ซึ่งเข้มข้มมากจนละสายตาไม่ได้


📛📛📛
อย่างที่บอกว่า ถึงแม้ผมจะดูแบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างในช่วงต้นที่เป็นการทดลองปรมาณู แต่หนังก็ทำให้ผมติดอยู่กับมันได้ตลอดสามชั่วโมงกว่าๆ ด้วยอารมณ์ ความเข้มข้น และอย่างยิ่งเซอร์ไพรส์จากเหล่าดาราที่ขนกันมา มันทำให้ความสุดยอดของหนังเรื่องนี้มีอยู่เต็มเปี่ยม แต่อย่าลืม Florence Pugh นะ อิอิ

ชอบอ่านรีวิวหนัง แวะมาพูดคุยกันได้นะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai