ใครชอบบทพูดในเรื่องนี้บ้างครับ มีข้อความไหนบ้างที่ชอบแล้วคิดว่ามันสื่อถึงอะไร? ผมชอบหลายอันเลย ลองมาเรียบเรียงกันดูครับ
1. "Now I am become Death, the Destroyer of worlds" - บัดนี้ข้าคือความตาย คือผู้ทำลายล้าง
Quote นี้น่าจะพูดสองครั้ง ครั้งแรกตอนแปลภาษาสันสกฤต และตอนที่ทดลองระเบิดสำเร็จ อันที่เป็นภาษาสันสกฤตนั้นอยู่ใน ภควัทคีตา ที่พระกฤษณะได้ตรัสไว้ คำพูดนี้น่าจะสื่อถึงการที่พยายามจะ Playing gods อำนาจที่ไม่มนุษย์ไม่คู่ควรนั่นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด แต่ผมลอง หาความหายของประโยคนี้ดูในเชิงอื่นๆ พบว่ามีนักเขียนที่เชื่อว่า Oppenheimer นั้นชอบในลำนำของ ภควัทคีตา (ผมไม่เคยอ่านเลยใครรู้เรื่องขยายความให้หน่อย) บทที่พูดถึงความตายซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันคือการ Confirm ถึงหน้าที่ของตัวเองที่เชื่อว่าตัวข้าคือ ธรรมะ Dharma ให้เชื่อในพระเจ้า เหล่าทวยเทพย่างสุดใจ ในลำนำมีตอนที่ เจ้าชายอรชุน รู้สึกผิดไม่อยากฆ่าญาติพี่น้อง หรือมนุษย์ด้วยกันเอง แต่พระกฤษณะได้อวตารเป็นร่างเทพที่ทรงพลังพร้อมทั้งสอนเจ้าชายว่า ท่านเป็นนักรบ ท่านมีหน้าที่ที่ต้องทำ ท่านต้องไม่มานั่งเสียใจในสิ่งเหล่านี้ ในเรื่องการเช่นฆ่า ท่านต้องเชื่อว่าดวงวิญญาณเหล่านี้จะถูกปลดปล่อยแล้วกลับชาติไปเกิดในภพภูมิใหม่
2. ‘Prometheus stole fire from the Gods and gave it to humans and he was chained to a rock for eternity’ - โพรมิธีอุสขโมยไฟจากเหล่าทวยเทพและเอามันมาให้กับมนุษย์ ฉะนั้นเค้าจึงถูกลงทัณฑ์ด้วยการถูกล่ามโซ่อยู่กับหินจนชั่วกัลป์ชั่วกัลย์
คำโปรยนี้ผมว่าบางทีอาจจะเป็น แก่นของเรื่องเลย Oppenheimer ก็คือ โพรมิธีอุสนั่นเอง การไขความลับจักรวาล เอาไฟนรกมาให้กับมนุษย์ก็ต้องถูกประณามไล่ล่า ลงทัฑณ์ ไปตลอด เหมือนที่ในหนังพยายามจะสื่อถึงชะตากรรมของ Oppenheimer เป็น "American Prometheus"
3. 'You’re not just self-important, you’re actually important' - คุณเข้าใจว่าตัวเองนั้นสำคัญ แต่คุณนั้นสำคัญจริงๆ
Oppenheimer เป็นคนที่ซับซ้อน มีความขัดแย้งในตัวเอง คนที่คิดว่าตัวเองไม่สำคัญแต่จริงๆเเล้วสำคัญมากๆ คนที่ไม่แสดงความหิวแสงแต่แสงก็มาหา คนที่คิดว่าตนเองไม่สามารถคอนโทรลอะไรได้แต่จริงๆแล้วพอจะคอนโทรลได้ เช่นหลังจากผลิตระเบิดสำเร็จ เค้าก็คัดค้านการสร้าง Hbomb, มีแนวคิดถึงการคานอำนาจของนิวเคลียร์ หรือแบนมันได้ยิ่งดี(ในตอนหลัง) คือถ้าดูในเรื่องเหมือนแกจะไม่ได้สนใจว่าความลับจะรั่วไปที่รัสเซียเท่าไหร่ คล้ายเด็กเนิร์ดทั่วโลกแข่งกันทำโปรเจ็คนึง แล้วรู้สึกฟินถ้ามีเพื่อช่วยแก้โจทย์ได้ หรือแม้กระทั่งการก่อตั้ง GAC ที่แบนการสะสมอาวุธ ตลกร้ายอีกอย่างนึงคือตอนที่เด็กๆในลอส อลามอสเพิ่มจำนวนขึ้นแกบอกประมาณว่าแกจะห้ามคนเกิดไม่ได้หรอกน่ะมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเอง แต่ตัดภาพไป อ้าววว เมียท้อง 55555 ตัดภาพมาที่ Lewis Strauss ผู้พยายาม ถือมีดซ่อนตัวเองอยู่ในเงามืด แต่ก็หิวแสงยิ่งกว่าใคร หลงตัวเองคิดว่าตัวเองสำคัญ สุดท้ายความแค้นบังตา กลายเป็นตัวตลกในประวัติศาสตร์
4. สุดท้ายคือตอนจบ ตอนที่ไอนสไตน์หน้าเครียด ผมขอยกมาทั้งบทเลย - ไอน์สไตน์ไม่เพียงเป็นอัจฉริยะ แต่ยังเป็นเหมือนพระที่พ่วงมาด้วย wisdom
“
You all thought that I’d lost the ability to understand what I’d started”
“Now it’s your turn to deal with the consequences of your achievement.”
“They’ll pat you on the back, tell you all is forgiven.”
“Just remember, it won’t be for you,” “It will be for them.”
ไอน์สไตน์คือผู้มาก่อนกาลเป็นผู้คิดค้นทฤษฏีมีหรือที่เค้าจะจินตนาการไม่ออกถึงผลลัพธ์ ไอน์สไตน์ไม่สานต่อทฤษฏีตัวเองแล้วเอาไปทำเป็นอาวุธแต่เลือกอยู่อย่างสงบ ส่วน Oppenhiemer เมื่อเปิดกล่อง Pandora แล้วก็ต้องรับมันให้ได้ ไอนสไตน์บอกว่าเมื่อเค้าทรมานคุณถึงที่สุดเค้าก็จะให้อภัยคุณ แต่ให้จำไว้ว่าการให้อภัยนั้นไม่ใช่เพื่อคุณ แต่เพื่อตัวพวกเค้าเอง / ตรงนี้รู้สึกจิ๊ดเหมือนกับวลีไทย "เสร็จน่าฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล" จะด้วยความรู้สึกผิดในใจของการล่าแม่มด พอผ่านเป็นยุคสมัยใหม่ เจอความท้าทายใหม่ ศัตรูใหม่ๆ ความคิดเปลี่ยนกลับมารู้สึกว่าพวกที่เราเคยไล่ล่าเรากลับต้องการพวกเค้า การให้อภัยเพื่อจะหลอกใช้อีกครั้ง หรือจะเป็นแค่เพียงการให้อภัยเพื่อทำให้ตัวเองดูดี ให้รู้สึกผิดน้อยลงก็ตาม ทุกอย่างนั้นก็เพื่อตัวของพวกเค้าเอง
“When I came to you with those calculations,” “we thought we might start a chain reaction that might destroy the entire world.”
“What of it?” (ไอนสไนต์ถาม)
“I believe we did”
ผมโฟกัส คำว่า "Chain Reaction" คือปฏิกริยาลูกโซ่ แต่ไม่ใช่ในนัยยะของวิทยศาสตร์ แต่มันคือกลไกปกป้องตัวเองของมหาอำนาจที่เป็นแนวคิดที่เป็นปฏิกริยาลูกโซ่ แข่งกันสร้างอาวุธ แข่งกันส่งออกลัทธิความเชื่อ แข่งกันเป็นที่ 1 มันอาจะเป็นยุคปัจจุบันที่เราอยู่นี่แหละ
ในท้ายที่สุดฉากก็ตัดไปที่ Thermonuclear ward ที่ทำลายล้างโลกทั้งใบ ตรงนี้ผมขอยกคำแปลใน ภควัทคีตา
"If hundreds of thousands of suns rose up at once into the sky, they might resemble the effulgence of the Supreme Person in that universal form" - หากดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันนับพันดวง มันคงเปรียบประดุจดั่งรัศมีของผู้ที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาล
ท่อนนี้แด่ Oppenheimer "Father of Atomic Bomb" ชายผู้ที่คิดว่าตัวเองไม่สำคัญ
Referrence
https://www.vanityfair.com/hollywood/2023/07/oppenheimer-now-i-am-become-death-destroyer-of-worlds
https://www.vulture.com/article/oppenheimer-ending-explained-christopher-nolan.html
บทพูดใน Oppenheimer (Spoil)
1. "Now I am become Death, the Destroyer of worlds" - บัดนี้ข้าคือความตาย คือผู้ทำลายล้าง
Quote นี้น่าจะพูดสองครั้ง ครั้งแรกตอนแปลภาษาสันสกฤต และตอนที่ทดลองระเบิดสำเร็จ อันที่เป็นภาษาสันสกฤตนั้นอยู่ใน ภควัทคีตา ที่พระกฤษณะได้ตรัสไว้ คำพูดนี้น่าจะสื่อถึงการที่พยายามจะ Playing gods อำนาจที่ไม่มนุษย์ไม่คู่ควรนั่นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด แต่ผมลอง หาความหายของประโยคนี้ดูในเชิงอื่นๆ พบว่ามีนักเขียนที่เชื่อว่า Oppenheimer นั้นชอบในลำนำของ ภควัทคีตา (ผมไม่เคยอ่านเลยใครรู้เรื่องขยายความให้หน่อย) บทที่พูดถึงความตายซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันคือการ Confirm ถึงหน้าที่ของตัวเองที่เชื่อว่าตัวข้าคือ ธรรมะ Dharma ให้เชื่อในพระเจ้า เหล่าทวยเทพย่างสุดใจ ในลำนำมีตอนที่ เจ้าชายอรชุน รู้สึกผิดไม่อยากฆ่าญาติพี่น้อง หรือมนุษย์ด้วยกันเอง แต่พระกฤษณะได้อวตารเป็นร่างเทพที่ทรงพลังพร้อมทั้งสอนเจ้าชายว่า ท่านเป็นนักรบ ท่านมีหน้าที่ที่ต้องทำ ท่านต้องไม่มานั่งเสียใจในสิ่งเหล่านี้ ในเรื่องการเช่นฆ่า ท่านต้องเชื่อว่าดวงวิญญาณเหล่านี้จะถูกปลดปล่อยแล้วกลับชาติไปเกิดในภพภูมิใหม่
2. ‘Prometheus stole fire from the Gods and gave it to humans and he was chained to a rock for eternity’ - โพรมิธีอุสขโมยไฟจากเหล่าทวยเทพและเอามันมาให้กับมนุษย์ ฉะนั้นเค้าจึงถูกลงทัณฑ์ด้วยการถูกล่ามโซ่อยู่กับหินจนชั่วกัลป์ชั่วกัลย์
คำโปรยนี้ผมว่าบางทีอาจจะเป็น แก่นของเรื่องเลย Oppenheimer ก็คือ โพรมิธีอุสนั่นเอง การไขความลับจักรวาล เอาไฟนรกมาให้กับมนุษย์ก็ต้องถูกประณามไล่ล่า ลงทัฑณ์ ไปตลอด เหมือนที่ในหนังพยายามจะสื่อถึงชะตากรรมของ Oppenheimer เป็น "American Prometheus"
3. 'You’re not just self-important, you’re actually important' - คุณเข้าใจว่าตัวเองนั้นสำคัญ แต่คุณนั้นสำคัญจริงๆ
Oppenheimer เป็นคนที่ซับซ้อน มีความขัดแย้งในตัวเอง คนที่คิดว่าตัวเองไม่สำคัญแต่จริงๆเเล้วสำคัญมากๆ คนที่ไม่แสดงความหิวแสงแต่แสงก็มาหา คนที่คิดว่าตนเองไม่สามารถคอนโทรลอะไรได้แต่จริงๆแล้วพอจะคอนโทรลได้ เช่นหลังจากผลิตระเบิดสำเร็จ เค้าก็คัดค้านการสร้าง Hbomb, มีแนวคิดถึงการคานอำนาจของนิวเคลียร์ หรือแบนมันได้ยิ่งดี(ในตอนหลัง) คือถ้าดูในเรื่องเหมือนแกจะไม่ได้สนใจว่าความลับจะรั่วไปที่รัสเซียเท่าไหร่ คล้ายเด็กเนิร์ดทั่วโลกแข่งกันทำโปรเจ็คนึง แล้วรู้สึกฟินถ้ามีเพื่อช่วยแก้โจทย์ได้ หรือแม้กระทั่งการก่อตั้ง GAC ที่แบนการสะสมอาวุธ ตลกร้ายอีกอย่างนึงคือตอนที่เด็กๆในลอส อลามอสเพิ่มจำนวนขึ้นแกบอกประมาณว่าแกจะห้ามคนเกิดไม่ได้หรอกน่ะมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเอง แต่ตัดภาพไป อ้าววว เมียท้อง 55555 ตัดภาพมาที่ Lewis Strauss ผู้พยายาม ถือมีดซ่อนตัวเองอยู่ในเงามืด แต่ก็หิวแสงยิ่งกว่าใคร หลงตัวเองคิดว่าตัวเองสำคัญ สุดท้ายความแค้นบังตา กลายเป็นตัวตลกในประวัติศาสตร์
4. สุดท้ายคือตอนจบ ตอนที่ไอนสไตน์หน้าเครียด ผมขอยกมาทั้งบทเลย - ไอน์สไตน์ไม่เพียงเป็นอัจฉริยะ แต่ยังเป็นเหมือนพระที่พ่วงมาด้วย wisdom
“You all thought that I’d lost the ability to understand what I’d started”
“Now it’s your turn to deal with the consequences of your achievement.”
“They’ll pat you on the back, tell you all is forgiven.”
“Just remember, it won’t be for you,” “It will be for them.”
ไอน์สไตน์คือผู้มาก่อนกาลเป็นผู้คิดค้นทฤษฏีมีหรือที่เค้าจะจินตนาการไม่ออกถึงผลลัพธ์ ไอน์สไตน์ไม่สานต่อทฤษฏีตัวเองแล้วเอาไปทำเป็นอาวุธแต่เลือกอยู่อย่างสงบ ส่วน Oppenhiemer เมื่อเปิดกล่อง Pandora แล้วก็ต้องรับมันให้ได้ ไอนสไตน์บอกว่าเมื่อเค้าทรมานคุณถึงที่สุดเค้าก็จะให้อภัยคุณ แต่ให้จำไว้ว่าการให้อภัยนั้นไม่ใช่เพื่อคุณ แต่เพื่อตัวพวกเค้าเอง / ตรงนี้รู้สึกจิ๊ดเหมือนกับวลีไทย "เสร็จน่าฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล" จะด้วยความรู้สึกผิดในใจของการล่าแม่มด พอผ่านเป็นยุคสมัยใหม่ เจอความท้าทายใหม่ ศัตรูใหม่ๆ ความคิดเปลี่ยนกลับมารู้สึกว่าพวกที่เราเคยไล่ล่าเรากลับต้องการพวกเค้า การให้อภัยเพื่อจะหลอกใช้อีกครั้ง หรือจะเป็นแค่เพียงการให้อภัยเพื่อทำให้ตัวเองดูดี ให้รู้สึกผิดน้อยลงก็ตาม ทุกอย่างนั้นก็เพื่อตัวของพวกเค้าเอง
“When I came to you with those calculations,” “we thought we might start a chain reaction that might destroy the entire world.”
“What of it?” (ไอนสไนต์ถาม)
“I believe we did”
ผมโฟกัส คำว่า "Chain Reaction" คือปฏิกริยาลูกโซ่ แต่ไม่ใช่ในนัยยะของวิทยศาสตร์ แต่มันคือกลไกปกป้องตัวเองของมหาอำนาจที่เป็นแนวคิดที่เป็นปฏิกริยาลูกโซ่ แข่งกันสร้างอาวุธ แข่งกันส่งออกลัทธิความเชื่อ แข่งกันเป็นที่ 1 มันอาจะเป็นยุคปัจจุบันที่เราอยู่นี่แหละ
ในท้ายที่สุดฉากก็ตัดไปที่ Thermonuclear ward ที่ทำลายล้างโลกทั้งใบ ตรงนี้ผมขอยกคำแปลใน ภควัทคีตา
"If hundreds of thousands of suns rose up at once into the sky, they might resemble the effulgence of the Supreme Person in that universal form" - หากดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันนับพันดวง มันคงเปรียบประดุจดั่งรัศมีของผู้ที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาล
ท่อนนี้แด่ Oppenheimer "Father of Atomic Bomb" ชายผู้ที่คิดว่าตัวเองไม่สำคัญ
Referrence
https://www.vanityfair.com/hollywood/2023/07/oppenheimer-now-i-am-become-death-destroyer-of-worlds
https://www.vulture.com/article/oppenheimer-ending-explained-christopher-nolan.html