JJNY : รดต้นคอ! iLaw ล่าชื่อ│รมว.กต.สหรัฐร่วมยินดี นายกฯ ‘เศรษฐา’│เช่าซื้อหืดจับยอดขายรถไม่โต│เครื่องบินตกที่รัสเซีย

รดต้นคอ! iLaw ล่าชื่อเสนอ 'เขียน รธน.ใหม่' ครบ 5 หมื่นในพรุ่งนี้ 'ธนาธร' ขอแรงช่วยกัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4144376

 
รดต้นคอ! iLaw ล่าชื่อเสนอ ‘เขียน รธน.ใหม่’ ครบ 5 หมื่นชื่อภายในพรุ่งนี้ หลังกกต.ม่ายออนไลน์ ‘ธนาธร’ ขอแรงช่วยกัน
 
สืบเนื่องแคมเปญ “เขียนใหม่ทั้งฉบับ เลือกตั้ง 100%” #conforall ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รณรงค์โดย กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบไปด้วยหลายองค์กร อาทิ โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ (iLaw) เพื่อร่วมผลักดันการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเปิดตัวแคมเปญไปเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา
 
ตั้งเป้าหมายเชิญชวนประชาชนเข้าชื่อให้ครบ 50,000 ชื่อ เพื่อเสนอคำถามสำหรับการทำประชามติ ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยที่ผ่านมามีการตั้งบูธลงชื่อตามจุดต่างๆ ทั้งใน กทม. ปริมณฑล และภูมิภาค มากกว่า 100 แห่ง รวมถึงช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ http://conforall.com ซึ่งเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม มียอดผู้ร่วมลงรายชื่อแล้วกว่า 53,500 รายชื่อแล้วนั้น
 
ทว่าล่าสุด กกต. ระบุว่า ไม่สามารถนำรายชื่อที่รวบรวมผ่านช่องทางออนไลน์ ไปเสนอคำถามประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ จึงต้องขอแรงประชาชนร่วมกันลงรายชื่อใหม่อีกครั้งบนกระดาษ ตามจุดต่างๆ ที่มีการตั้งบูธ โดยมีระยะเวลาอีกเพียง 3 วันเท่านั้น หรือภายใน 25 สิงหาคมนี้
ล่าสุด เมื่อวันที่ วันที่ 24 สิงหาคม iLaw ได้อัพเดตยอดผู้ลงชื่อร่วมแคมเปญแล้ว ในเว็บไซต์ คือ 14,200++ ราย (ข้อมูลเมื่อเวลา 08.50 น.) ซึ่งเทียบกับเป้าที่ตั้งไว้คือ 50,000 ราย ยังเหลืออีกกว่า 35,800 ราย พร้อมระบุผ่านเฟซบุ๊กว่า
 
สรุปยอดรายชื่อ #conforall ที่ได้รับมาเพิ่มในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ตอนเช้า เปิดตู้ปณ.79 ได้รายชื่อที่ส่งทางไปรษณีย์ 3,000+
คนมาลงชื่อจากการตั้งโต๊ะหน้าหอศิลป์วันนี้ มีคนตั้งใจเดินทางมาลงชื่อโดยเฉพาะและมีคนที่เอารายชื่อที่เซ็นเสร็จมาให้รวมแล้ว 1,400++ (ทั้งที่ฝนตกหนัก)
คนเดินทางมามาลงชื่อที่ออฟฟิศ iLaw ลาดพร้าว 25 และส่งเอกสารทางมอไซค์มา 1,300+
 
รวมแล้วมีรายชื่อกระดาษในมือ 15,400+
 
ยังไม่รวมจุดต่างๆ ที่ตั้งโต๊ะโดยอาสาสมัครทั้งตามมหาวิทยาลัย ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ตลาด สถานีรถไฟฟ้าอีกมาก ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีเกินหมื่น และยังมีรายชื่อที่ทราบว่า รวบรวมเสร็จแล้วแต่ยังเดินทางมาไม่ถึงออฟฟิศไอลอว์อีกอย่างน้อย 3,000
ถ้าช่วยกันไปเรื่อยๆ อีกสองวัน เป็นไปได้ รอติดตามความคืบหน้ากันวันต่อวันนะ
 
ขณะที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คณะทำงานก้าวหน้า ก็ได้โพสต์คลิปผ่านทวิตเตอร์ พร้อมข้อความระบุว่า 
 
เชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคน ร่วมกับไอลอว์ ทำภารกิจด่วน! เข้าชื่อเพื่อเสนอคำถามประชามติร่างรธน. ต้องร่างใหม่ทั้งฉบับ และสมาชิกสภาร่างฯ ต้องเลือกตั้ง 100% ก่อนหน้านี้เคยมีการเข้าชื่อออนไลน์จนครบ 50,000 ชื่อ แต่ กกต. กลับบอกว่าทำออนไลน์ไม่ได้ เรามีเวลาถึง 20.00 น. วันที่ 25 สิงหาคมนี้
ช่วยกันครับ มาลงชื่อที่อาคารอนาคตใหม่ แค่สองนาที เพื่อก้าวแรกของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

https://www.facebook.com/iLawClub/posts/pfbid02sEAj6LtuD2m2FoA5e5MccBDu1HtffUTc9PKtVu5q7qUpuseY3oY8EL46qgLsNzmAl

https://twitter.com/Thanathorn_FWP/status/1694296980657410531


 
รมว.กต.สหรัฐร่วมยินดี นายกฯ ‘เศรษฐา’ พร้อมร่วมมือรัฐบาลใหม่ไทยใกล้ชิด
https://www.matichon.co.th/foreign/news_4144371

รมว.กต.สหรัฐร่วมยินดี นายกฯ ‘เศรษฐา’ พร้อมร่วมมือรัฐบาลใหม่ไทยใกล้ชิด
 
นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 23 สิงหาคม เรื่องการโหวดเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยความว่า
 
สหรัฐอเมริกาขอร่วมแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ที่ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย ในปีนี้เราเฉลิมฉลอง 190 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ทำให้การเป็นหุ้นส่วนระหว่างสหรัฐฯ-ไทย เป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกของสหรัฐฯ ในฐานะเพื่อนและพันธมิตร เราทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ปรับปรุงความมั่นคงในภูมิภาค เผชิญกับความท้าทายด้านสาธารณสุขระดับโลก และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนต่อผู้คนที่แน่นแฟ้นแข็งแกร่ง
 
เราตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับนายกรัฐมนตรีไทยบนพื้นฐานของแถลงการณ์ว่าด้วยความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ-ไทย ที่ได้มีการลงนามร่วมกันเมื่อปีที่ผ่านมา และเสริมสร้างความเข้มแข็งในการเป็นพันธมิตรที่ยั่งยืนระหว่างสหรัฐฯและไทยต่อไป เราจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยชุดใหม่เพื่อพัฒนาค่านิยมร่วมกันของเรา รวมถึงเพื่อผลักดันให้เกิดภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง เชื่อมโยงกัน สงบสุข และแข็งแกร่ง



เช่าซื้อหืดจับยอดขายรถไม่โต ปฏิเสธกู้พุ่ง-ลุ้นอีวีปลุกตลาด
https://www.prachachat.net/finance/news-1376418

ธุรกิจเช่าซื้อหืดจับ ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า-แบงก์เข้มสินเชื่อ กดยอดขายรถทั้งปีโตแค่ 0.7% ประมาณ 8.55 แสนคัน ประธานเช่าซื้อเผยสัญญาณแบงก์ปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มเป็น 20% หวังคุมหนี้เสีย “ลีสซิ่งกสิกรไทย” มองตลาดมีโอกาสโต 2% อานิสงส์เปิดรถรุ่นใหม่-ค่ายอีวีจ่อทำตลาดเพิ่ม 2-3 ราย
 
ยอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง
 
นายศรัณย์ ทองธรรมชาติ ประธานสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถช่วงที่เหลือของปีนี้ ประเมินอัตราการเติบโตน่าจะทรงตัวหรือขยายตัวไม่มาก สอดคล้องกับเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่น่าจะยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีการคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2566 จะอยู่ที่ 855,000 คัน เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้จากแนวโน้มดังกล่าว ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพราะตลาดยังคงมีปัจจัยเสี่ยงทำให้เห็นสัญญาณอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (reject) มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยจากเดิมอยู่ที่ 13-18% เพิ่มเป็น 15-20% ซึ่งความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินสอดคล้องกับตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) และตัวเลขสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) คือพบลูกหนี้มีการค้างชำระทยอยปรับเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
 
อย่างไรก็ดี จากความไม่แน่นอนและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ทำให้สถาบันการเงินจะเน้นกลุ่มลูกค้าเก่าประวัติการชำระหนี้ที่ดี และโฟกัสกลุ่มลูกค้าในบริษัทที่มีความมั่นคง หรือการเจาะกลุ่มอาชีพที่มีศักยภาพ เช่น หมอ หรืออาชีพที่อยู่ในเซ็กเตอร์ท่องเที่ยวที่มีการเติบโตสูง รวมถึงการทำตลาดเฉพาะกลุ่ม เฉพาะพื้นที่ เป็นต้น โดยจะมีการกระตุ้นยอดขายผ่านแคมเปญระยะสั้น เช่น การลดดอกเบี้ย หรือลดดาวน์ เพื่อจูงใจในกลุ่มที่มีศักยภาพ
ยอดขายรถชะลอตัว

จากเดิมเราคิดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้น แต่ผ่านมาในช่วงเดือน 7-8 สถานการณ์ยังไม่ดีมาก สินเชื่อชะลอตัวตามยอดขายรถยนต์ที่ชะลอ ตัวเลขหนี้ NPL และ SM ยังสูง ซึ่งไฟแนนซ์ต่าง ๆ พยายามบริหารความเสี่ยง ทำให้เราเห็นยอดรีเจ็กต์ทยอยเพิ่มขึ้นตามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ภาพการแข่งขันเรื่องแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขายยังคงเห็นอยู่ เพราะทุกคนยังต้องประคองธุรกิจ หลังยอดขายรถยนต์ในช่วง 6 เดือนแรกอยู่ที่ราว 406,131 คัน หรือลดลง 5.0%” ประธานสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยกล่าว

ด้าน นายธีรชาติ จิรจรัสพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์ยอดขายรถยนต์ในช่วง 7 เดือนแรกจะเห็นว่ามีอัตราการเติบโตติดลบ -6% มียอดขายอยู่ที่ 462,000 คัน
 
อย่างไรก็ดี ตลาดมีโอกาสกลับมาเป็นบวกได้ จากปัจจัยรถรุ่นใหม่ที่ออกสู่ตลาด และผู้ประกอบการรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ที่จะเข้ามาทำตลาดเพิ่มอีก 2-3 ราย จะช่วยหนุนให้ตลาดกลับมาบวกได้ 2% โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีความแข็งแรง ซื้อรถคันที่ 2 หรือ 3
ทั้งนี้ หากดูปริมาณการปล่อยสินเชื่อของลีสซิ่งกสิกรไทย ในช่วง 6 เดือนแรกมีอัตราการเติบโตถึง 6% สวนทางกับภาพรวมตลาด และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ระดับต่ำอยู่ที่ 1.6% ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาระบบเครดิตสกอริ่งที่มีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถอนุมัติสินเชื่อให้กับลูกค้าได้แม่นยำ ส่งผลดีต่อคุณภาพหนี้ รวมถึงการเป็นพาร์ตเนอร์กับอีวี ทำให้เติบโตไปพร้อมกับตลาด
 
แนวโน้มยอดการปฏิเสธสินเชื่อปรับเพิ่มขึ้นและลดลงตามความเข้มงวดในการคัดกรองลูกค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และปัจจัยแวดล้อมที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือน ความไม่แน่นอนต่าง ๆ

ปัจจัยความไม่แน่นอนรุมเร้า
 
นายชัชฤทธิ์ ตั้งเถกิงเกียรติ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าผลิตภัณฑ์ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่าง ๆ ทำให้ภาพรวมตลาดเช่าซื้อในช่วงที่เหลือของปี 2566 อาจจะไม่ได้ขยายตัวมากนัก
เพราะคนยังไม่มั่นใจในเรื่องของรายได้ และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้คนเลื่อนการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป ส่วนหนึ่งสะท้อนจากยอดรถกระบะที่ลดลงค่อนข้างมาก โดยมีการคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ปีนี้จะอยู่ที่ราว 8.4-8.6 แสนคัน
 
ทั้งนี้ ธนาคารได้ดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเปราะบาง เช่น ลูกค้ารายได้ไม่สูงมาก กลุ่มนี้อาจมีความจำเป็นต้องนำรายได้ไปใช้จ่ายในด้านอื่นก่อน จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
 
อย่างไรก็ดี ธนาคารยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินนโยบายการปล่อยสินเชื่อแบบ hard policy จนเกินไป ซึ่งจะพิจารณาตามความสามารถของลูกค้า และดูแลลูกค้าเก่าที่มีปัญหาอย่างใกล้ชิดผ่านมาตรการช่วยเหลือที่มีอยู่
 
สำหรับตัวเลขสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) คือกลุ่มที่ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน มีทิศทางเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 13-14% ถือว่าใกล้เคียงกับตลาด โดยธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้ (TDR) ตามอาการของลูกค้า ทำให้ตัวเลขหนี้เอ็นพีแอล ในช่วง 6 เดือนแรกอยู่ที่กว่า 1% ถือว่าค่อนข้างต่ำกว่าตลาด และอยู่ในวิสัยการบริหารจัดการได้ดี
 
ขณะที่สถานการณ์รถยึดเริ่มเห็นสัญญาณเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2566 มาจาก 2 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ 1.ลูกค้าออกจากโปรแกรมการช่วยเหลือและไปต่อไม่ไหว และ 2.ลูกค้าไม่ได้เป็นหนี้เสียแต่เอารถมาคืน เพราะเข้าใจผิดว่าคืนรถแล้วจบหนี้ โดยในส่วนของทีทีบีมียอดรถยึดเฉลี่ยเดือนละ 3,000 คัน กลับไปใกล้เคียงช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 จากช่วงโควิดยอดรถยึดอยู่ที่กว่า 2,000 คัน เนื่องจากมีมาตรการพักชำระหนี้
 
ตอนนี้มีหลายปัจจัยความไม่แน่นอน เราก็ต้องมีความระมัดระวัง พร้อมกับช่วยเหลือลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ช่วยลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ไปหลายหมื่นราย ส่วนสินเชื่อใหม่เราก็ดูตามความสามารถของลูกค้า หากรายได้ยังเปราะบาง เราอาจจะต้องดูเป็นพิเศษ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่