...ช่วงที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมได้เร่งรัดการขยายโครงข่ายระบบรางให้เป็น "ทางคู่" ทั้งประเทศ โดยในระยะเร่งด่วน 4 เส้นทาง ระยะทาง 613 กิโลเมตร จะแล้วเสร็จตามแผนภายในปี 2566 นี้
สำหรับทางสายใหม่
(1) สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงบ้านไผ่ - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม ระยะทาง 355 กิโลเมตร จะเปิดให้บริการในปี 2569
(2) สายเหนือ ช่วงเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ระยะทาง 322 กิโลเมตร จะแล้วเสร็จในปี 2571 ส่วนทางคู่อีก 7 เส้นทางในระยะต่อไป ระยะทางรวม 1,479 กิโลเมตร ก็อยู่ระหว่างขออนุมัติโครงการ ซึ่งผมคาดหวังว่าหากเราเดินหน้าได้ตามแผน ก็จะช่วยเสริมประสิทธิภาพระบบรางของไทย ให้เชื่อถือได้ สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น รองรับขบวนรถเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว ทำความเร็วสูงสุดได้เฉลี่ย 100-120 กม./ชม. จากเดิมเพียง 50 กม./ชม. สำหรับขบวนรถสินค้าก็จะเร็วขึ้น 2 เท่าตัวเช่นกัน คือ จากความเร็วเฉลี่ยสูงสุด 29 กม./ชม. เป็น 60 กม./ชม. ลดเวลาการเดินทาง และตรงต่อเวลามากขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และเป็นทางเลือกที่ดีให้กับประชาชนในอนาคตด้วย
จากการไปตรวจติดตามการสร้างเส้นทางในจุดที่เป็นไฮไลท์ ของทั้งรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง ทั้งทางยกระดับและการเจาะอุโมงค์ ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและเครื่องจักรกลที่ทันสมัย ทำให้ผมมั่นใจว่าเราได้รับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีกับประเทศจีน อย่างใกล้ชิด โดยสามารถที่จะต่อยอดได้เองในอนาคต ซึ่งจะทำให้การทำงานในระยะต่อไปนั้น เป็นไปอย่างรวดเร็วและพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น โดยจะมีการผลิตบุคลากรในประเทศ ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบขนส่งทางราง และรถไฟความเร็วสูง ทั้งการก่อสร้างราง-ทางยกระดับ-อุโมงค์ การควบคุมระบบเดินรถ และการซ่อมบำรุงต่างๆ อีกด้วย
ทั้งนี้ ภาพอนาคตที่ผมเห็น คือ ประเทศไทยของเราจะมีระบบขนส่งมวลชนที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งถนน ราง เรือ และสนามบิน ที่ตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน-ผู้ประกอบการ รวมทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยกระดับความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของไทยให้โดดเด่นในเวทีโลก ส่งเสริมการสร้างรายได้ สร้างโอกาสและอนาคตที่ดีกว่าเดิมด้วยครับ
นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha
https://www.facebook.com/prayutofficial
ลูงตู่เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นภาพอนาคตความเจริญของพี่น้องประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน-ผู้ประกอบการ รวมทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
สำหรับทางสายใหม่
(1) สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงบ้านไผ่ - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม ระยะทาง 355 กิโลเมตร จะเปิดให้บริการในปี 2569
(2) สายเหนือ ช่วงเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ระยะทาง 322 กิโลเมตร จะแล้วเสร็จในปี 2571 ส่วนทางคู่อีก 7 เส้นทางในระยะต่อไป ระยะทางรวม 1,479 กิโลเมตร ก็อยู่ระหว่างขออนุมัติโครงการ ซึ่งผมคาดหวังว่าหากเราเดินหน้าได้ตามแผน ก็จะช่วยเสริมประสิทธิภาพระบบรางของไทย ให้เชื่อถือได้ สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น รองรับขบวนรถเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว ทำความเร็วสูงสุดได้เฉลี่ย 100-120 กม./ชม. จากเดิมเพียง 50 กม./ชม. สำหรับขบวนรถสินค้าก็จะเร็วขึ้น 2 เท่าตัวเช่นกัน คือ จากความเร็วเฉลี่ยสูงสุด 29 กม./ชม. เป็น 60 กม./ชม. ลดเวลาการเดินทาง และตรงต่อเวลามากขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และเป็นทางเลือกที่ดีให้กับประชาชนในอนาคตด้วย
จากการไปตรวจติดตามการสร้างเส้นทางในจุดที่เป็นไฮไลท์ ของทั้งรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง ทั้งทางยกระดับและการเจาะอุโมงค์ ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและเครื่องจักรกลที่ทันสมัย ทำให้ผมมั่นใจว่าเราได้รับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีกับประเทศจีน อย่างใกล้ชิด โดยสามารถที่จะต่อยอดได้เองในอนาคต ซึ่งจะทำให้การทำงานในระยะต่อไปนั้น เป็นไปอย่างรวดเร็วและพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น โดยจะมีการผลิตบุคลากรในประเทศ ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบขนส่งทางราง และรถไฟความเร็วสูง ทั้งการก่อสร้างราง-ทางยกระดับ-อุโมงค์ การควบคุมระบบเดินรถ และการซ่อมบำรุงต่างๆ อีกด้วย
ทั้งนี้ ภาพอนาคตที่ผมเห็น คือ ประเทศไทยของเราจะมีระบบขนส่งมวลชนที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งถนน ราง เรือ และสนามบิน ที่ตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน-ผู้ประกอบการ รวมทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยกระดับความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของไทยให้โดดเด่นในเวทีโลก ส่งเสริมการสร้างรายได้ สร้างโอกาสและอนาคตที่ดีกว่าเดิมด้วยครับ
นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha https://www.facebook.com/prayutofficial