ท้องผูกเรื้อรัง เรื่องเล็กที่ไม่ควรมองข้าม

ท้องผูกเรื้อรังเรื่องเล็กที่ไม่ควรมองข้าม การถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้ง ต่อ สัปดาห์ ถือว่า ท้องผูก
คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยใส่ใจ ท้องผูกเมื่อไหร่ คนไทยมักมีอาหารและผลไม้ ที่ช่วยได้
แต่ บางคน ก็ ใช้ตัวช่วยเป็นยา แต่ แนะนำว่า ไม่ควรใช้บ่อย
ปัญหาท้องผูกที่เรื้อรังเป็นเวลานาน แนะนำไม่ควร มองข้าม เพราะจะนำมา ซึ่งปัญหา สุขภาพต่างๆ ได้

วันนี้พี่หมอฝั่งธน..จะมาให้ความรู้  ท้องผูกเรื้อรัง เรื่องเล็กที่ไม่ควรมองข้าม question

ปัญหาท้องผูกเรื้อรัง นอกจากจะสร้างความหงุดหงิด อึดอัด น่ารำคาญแล้ว ท้องผูกยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอันตรายอีกหลายอย่าง 
เรามาดูกันว่า สาเหตุที่ทำให้ท้องผูกนั้นเกิดจากอะไร อาการท้องผูกเป็นยังไง มีวิธีแก้อย่างไร และท้องผูกก่อให้เกิดโรคอันตรายอะไรได้บ้าง



ภาวะท้องผูก มักเกิดขึ้นเมื่อลำไส้บีบตัวหรือเคลื่อนตัวช้าในระหว่างที่ย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
เมื่อมีของเสียตกค้างในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอุจจาระที่แห้ง แข็ง และมีขนาดใหญ่ขึ้นจนขับถ่ายลำบาก 

ภาวะท้องผูกเรื้อรัง เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุหลักๆ question
พฤติกรรมในชีวิตประจำวันอาจทำให้เกิดท้องผูกเรื้อรัง เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ดื่มน้ำน้อย 
รับประทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงอาหารแปรรูปที่มีไขมันและน้ำตาลปริมาณมาก 
ออกกำลังกายน้อยหรือไม่ออกเลย กลั้นอุจจาระบ่อยๆ
ยาบางประเภทอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเป็นอาการท้องผูกได้ เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า ยารักษาโรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ 
ยาลดความดันโลหิต ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของแคลเซียม หรืออะลูมิเนียม ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของมอร์ฟีน เป็นต้น
ภาวะเจ็บป่วยบางอย่างจะส่งผลให้มีอุจจาระตกค้างในลำไส้จนทำให้เกิดอาการท้องผูกเรื้อรัง เช่น เกิดแผลปริที่ขอบทวารหนัก 
ลำไส้อุดตัน มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
ภาวะที่ทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุลอาจทำให้เกิดปัญหาท้องผูกเรื้อรังได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคลำไส้แปรปรวน ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ 
หรือการตั้งครรภ์ เป็นต้น
การทำงานของลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หรือภาวะลำไส้เฉื่อย เป็นการที่ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวน้อยลงทำให้อุจจาระเคลื่อนลงมาช้ากว่าปกติ



อาการแบบไหนเข้าสู่ภาวะท้องผูกเรื้อรัง
การมีอุจจาระแข็ง ความถี่ในการขับถ่ายอุจจาระลดลงกว่าปกติ หรือน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
ใช้เวลานานในการเบ่งถ่าย มีความเจ็บปวดเวลาเบ่งถ่ายหรืออุจจาระมีเลือดปนออกมา
หลังถ่ายอุจจาระเรียบร้อยแล้วแต่ยังมีความรู้สึกถ่ายไม่หมดหรือถ่ายอุจจาระไม่สุด

การที่มีภาวะท้องผูกเรื้อรัง ส่งผล ให้มีอาการเครียด เบื่ออาหาร ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ปวดหัว ปวดหลัง 
และแสบร้อนบริเวณหน้าอกได้ รวมไปถึงการเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำทุกวันอาจส่งผลต่อร่างกาย ได้แก่
ส่งผลให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร หรือแผลปริรอบๆ ทวารหนักจากอุจจาระที่แห้งแข็งครูดหลอดเลือดจนฉีกขาดได้
ความดันในช่องทรวงอกเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยโรคหัวใจอาจเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้
ความดันในลูกตาสูงขึ้นซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดตาและหู แรงดันในช่องท้องสูงขึ้นจนเป็นสาเหตุของไส้เลื่อนได้
กล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ท้องผูกเรื้อรังอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
ท้องผูกเรื้อรังจนทำให้มีอาการของลำไส้อุดตัน

การป้องกันท้องผูกและการดูแลตนเองเบื้องต้น
รับประทานอาหารที่มีกากใยหรือไฟเบอร์สูง เช่น มะละกอสุก กล้วยสุก สับปะรด เมล็ดธัญพืช รำข้าวสาลี 
พร้อมทั้งดื่มน้ำให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย อย่างน้อย 5-2 ลิตรต่อวัน
การออกกำลังกายให้สม่ำเสมอและเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ จะช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการท้องอืดได้อีกด้วย
ไม่กลั้นอุจจาระ หากรู้สึกอยากถ่าย เนื่องจากอาจซ้ำเติมอาการท้องผูกให้เป็นมากขึ้น
ทำจิตใจให้สบาย ลดความเครียดและความวิตกกังวล ซึ่งส่งผลให้ทางเดินอาหารทำงานได้ดีตามปกติ
การใช้ยาระบาย โดยกลุ่มยาระบายที่มีความปลอดภัยสูง หากใช้อย่างถูกวิธี คือ กลุ่มไฟเบอร์ 
ช่วยในการเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้อุจจาระนุ่ม กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้อุจจาระเคลื่อนที่ผ่านลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น
แต่ต้องใช้เวลาในการออกฤทธิ์ และดื่มน้ำให้เพียงพอ เหมาะกับอาการท้องผูกไม่รุนแรง
ซึ่งยาระบายแต่ละชนิดจะมีกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกัน และบางชนิดไม่แนะนำให้ใช้ต่อเนื่อง
แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรเพื่อให้ได้รับตัวยาระบายที่เหมาะสม

*** หากมีอาการ ท้องผูกเรื้อรัง ร่วมกับมีลักษณะหรืออาการเตือนเหล่านี้ ได้แก่ มีอาการซีดจากขาดธาตุเหล็ก ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 50 ปี มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
ท้องผูกจนมีอาการของลำไส้อุดตัน ปวดท้องมาก อึดอัดแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือท้องผูกรบกวนมาก
รับประทานยาระบายแล้วไม่ได้ผล แนะนำให้คนไข้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมต่อไปค่ะ ***

ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=RYo21CTkXlE
https://www.youtube.com/watch?v=hljYp_F5_Ig

lovelove

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่