รีวิวไม่สปอย Barbie "นี่เเหละคือชีวิต คือมนุษย์ คือธรรมชาติ"



เชื่อว่าหลายคนดูบาร์บี้ผ่านตามาบ้างแล้วและคงเทใจให้หนังเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย แต่คาดว่าหนังเรื่องคงไม่เหมาะกับทุกวัยขนาดนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กประถม แน่นอนว่าพ่อแม่จะต้องเข้าไปให้คำปรึกษาลูกอีกทีในการดูหนังเรื่องนี้  เพราะมันแฝงไปด้วยปรัชญา  การเมืองและสิทธิเสรีภาพของสตรีต่างๆ ถูกอัดแน่นไว้ในบทของหนังเรื่องนี้อย่างมาก หากคุณเป็นคนที่มองหาหนังตลกคลายเครียดขอบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ทำให้คุณผ่อนคลายขนาดนั้น  แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำมันจะทำให้คุณได้ขบคิดถึงชีวิตและสิ่งต่างๆที่ผ่านมาว่าตัวคุณนั้นได้มีตัวตนในสิ่งที่คุณเป็นจริงๆหรือยัง ถ้าพร้อมจะฟัง รีวิวกันแล้วเรามาเริ่มกันเลย

เรื่องย่อ
บาร์บี้พิมพ์นิยมตัวหนึ่งตื่นเช้าขึ้นมาในวันเดิมๆแต่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในดินแดนของบาร์บี้  ที่ทำให้ตัวเธอจะต้องออกตามหาว่าความจริงว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากอะไร  จนทำให้เธอได้ค้นพบอะไรบางอย่าง ที่จะปลี่ยนความคิดของเธอจากเดิมออกไปโดยสิ้นเชิง

บทภาพยนตร์


ผมชื่นชมบทของเรื่องบาร์บี้เป็นอย่างมาก เพราะตัวบทหนังนั้นไกล่เกลี่ยบทของตัวละครได้อย่างลงตัว  แถมยังสอดแทรกประเด็นต่างๆในสังคมไว้ได้อย่างมาก  ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะบ่นว่ามันถูกยัดเยียดมาเยอะมากก็ตามแต่สำหรับผมแล้วในหนังประมาณ 2 ชั่วโมง ผมถือว่ามันเลือกเส้นทางนำเสนอได้ถูกแล้ว   เพราะประเด็นในหนังนั้นเยอะมากเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปิตาธิปไตย(สังคมชายเป็นใหญ่) สิทธิของผู้หญิงในการแสดงออกต่างๆ หรือแม้แต่กระทั่งชีวิตของเรานั้นต้องการจะเป็นใครหรือเป็นอะไรในสังคมที่พยายามยัดเยียดให้คุณเป็นในสิ่งที่สังคมต้องการ  เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้ไม่ได้ขายความสนุกความเฮฮาหรือความกาวเพื่อความบันเทิงให้ทุกคนมีความสุขเพียงอย่างเดียว  ฉะนั้นใครที่ไม่ใช่สายโฟกัสกับบทสนทนาจะหาความสนุกจากหนังเรื่องนี้ไม่ได้มาก  เพราะหน้าหนังเรื่องนี้ถึงจะสีชมพูแต่ในความสนุกนั้นมันจิกกัดสังคมได้อย่างถึงพริกถึงขิง

ความหมายของตุ๊กตาบาร์บี้ต่อสังคมในโลกของบาร์บี้


อันที่จริงหนังมีการบอกกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าตุ๊กตาบาร์บี้นั้นถูกสร้างมาเพื่อสิ่งใดและเพื่ออะไร   ซึ่งผมมองว่าในจุดๆนี้หนังพยายามนำเสนอให้เห็นว่าความฝันของเด็กผู้หญิงนั้นมีได้แค่ในความฝัน  โดยใช้ตุ๊กตาเป็นเครื่องมือทดแทนในโลกของความเป็นจริง  เพราะความจริงนั้นผู้หญิงจะเป็นอะไรทุกอย่างไม่ได้ตามต้องการในสังคมที่อาจจะเรียกได้ว่าผู้ชายก็ยังเป็นใหญ่อยู่วันยังค่ำ  ตุ๊กตาบาร์บี้จึงถูกสร้างมาเพื่อสานฝันให้ผู้หญิงได้สามารถฝันในจินตนาการของตนเองได้โดยผ่านตุ๊กตาบาร์บี้ที่มีหลายเชื้อชาติ  หลายอาชีพ  และหลายสถานะ  เป็นการทดแทนอาชีพบางอาชีพที่ผู้หญิงก็อาจเป็นไม่ได้หรืออาจจะเป็นได้แต่เป็นยากยิ่งกว่าผู้ชายเป็น  ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าในโลกของบาร์บี้นั้นผู้หญิงจะเป็นใหญ่มากกว่าตัวละครของผู้ชายอย่างเคนเป็นต้น

ประเด็นความเท่าเทียมกันของสตรีต่อสังคม



ในหนังจะมีการพูดถึงความเท่าเทียมกันของผู้หญิงและผู้ชายเยอะมาก  มันอาจจะไม่ได้บอกแบบตรงๆแต่มันผ่านการบ่นของตัวละครในเรื่องในการสื่อถึงสังคมที่พยายามสร้างผู้หญิงให้เป็นไปอย่างพิมพ์นิยมเหมือนบาร์บี้ตัวเอกที่เรียกตัวเองว่าเป็นบาร์บี้พิมพ์นิยมนั่นแหละครับ   มันจึงสะท้อนให้เห็นว่าการเป็นผู้หญิงในสังคมมีความยากลำบากในการปรับตัวการวางตัวให้เหมาะสม  หรือแม้กระทั่งอิสระในการใช้ความคิดต่างๆต้องถูกจำกัดด้วยคำว่าความเหมาะสมหรือเเค่เพราะว่าเกิดมาเป็นเพศหญิงตั้งเป็นกุลสตรีที่ดี

ประเด็นเรื่องปิตาธิปไตย(ชายเป็นใหญ่)



แน่นอนว่าบาร์บี้อาจจะเป็นหนังที่ค่อนไปทางเพศหญิงซะส่วนใหญ่  แต่มันก็ครอบคลุมไปยันถึงเพศชายด้วยในเรื่องของความเป็นปิตาธิปไตย มันไม่ได้จะชูโรงในเรื่องของสิทธิสตรีมากจนเกินไป  แต่มันยังไปแตะในเรื่องของความเป็นเพศชายเป็นใหญ่ซึ่งมันเหมือนการสะท้อนกลับไปยังสังคมในโลกของความเป็นจริงที่ผู้ชายเป็นใหญ่มากกว่าผู้หญิง  แต่ในสังคมบาร์บี้นั้นผู้หญิงจะเป็นใหญ่มากกว่าผู้ชาย มันเป็นมุมมองย้อนกลับกันไปมา  ให้ผู้ชมคิดแล้วมองในมุมมองได้สองแบบว่า  ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขึ้นมาครองความเป็นใหญ่นั้นอีกฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกเป็นเช่นไร  เมื่ออีกฝ่ายถูกให้เป็นอันดับที่สองตลอดเวลาเเละอีกฝ่ายเป็นอันดับที่หนึ่งเสมอ

ประเด็นทางด้านการเมือง


อันนี้ผมอยากให้หลายๆคนได้ดูจริงๆ  เพราะมันมีการเล่นประเด็นทางด้านการเมืองในเรื่องการโหวตรัฐบาลซึ่งมันช่างตรงกับประเทศไทยในช่วงนี้โดยแท้ หลายคนอาจจะตลกที่ทำไมมันช่างเหมือนกับสถานการณ์บ้านเมืองของเราเสียจริง  และหนังมันก็ตลกร้ายพอสมควรในการจิกกัดเรื่องการโหวตนายกรัฐมนตรีในดินแดนของบาร์บี้ ในการหลอกล่ออีกฝ่ายให้เขวไปด้วยวิธีต่างๆนาๆ ที่เอาจริตของผู้หญิงในปัจจุบันที่ใช้ๆกัน ใส่ลงไปในนั้นด้วย 555555

ความเปลี่ยนแปลงไปของวัย เเละอารมณ์ 



จริงๆเรื่องนี้ถือว่าเป็นแก่นหลักของเรื่องบาร์บี้เลยครับ เพราะนี่เป็นแก่นของเรื่องที่บาร์บี้พยายามใช้ในการดำเนินเรื่อง  เนื่องจากบาร์บี้ในหนังจะถูกเซ็ตให้มีความเชื่อมโยงกับเจ้าของ เพราะฉะนั้นเจ้าของเป็นอะไรบาร์บี้ก็จะเป็นไปตามที่เจ้าของเป็น บาร์บี้จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของอารมณ์ของมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปในตลอดช่วงวัย  โดยที่ไม่มีอะไรคงอยู่ถาวรเหมือนเดิม เหมือนกับความรู้สึกว่าเราเล่นของเล่นนั้นไม่สนุกเหมือนเดิม ทั้งที่ของเล่นมันก็ยังคงอยู่ของมันเหมือนเดิม เเต่ความรู้สึกเรามันเปลี่ยนเเปลงไปจนกระทบของเล่นนั้นขึ้นมา

นี่แหละคือชีวิตคือสัจธรรมของความเป็นมนุษย์



ผมชอบช่วงท้ายของบาร์บี้มากมันบอกเล่าถึงความเป็นมนุษย์ได้อย่างไม่ต้องใช้คำอธิบายใดๆ  โดยใช้งานภาพและเสียงเพลงเข้ามาอธิบายแทนซึ่งมันค่อนข้างอิมแพคมากเพราะมันทำให้เราได้ตระหนักรู้อะไรบางอย่างว่าก็นี่แหละคือชีวิต ก็นี่แหละคือความเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบในทุกวันแบบบาร์บี้ที่ตื่นนอนมาแล้วชีวิตจะมีความสุขได้ในทุกๆวัน เพราะว่าชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะวินาทีที่ดำเนินไป  โดยที่ไม่มีอะไรคงทนถาวรและเหมือนเดิมได้ ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปเสมอมันอยู่ที่ว่าเราจะรับมือกับมันอย่างไรและจะเรียนรู้อะไรจากการเปลี่ยนแปลงนั้น

งานภาพและโปรดักชั่น

หากใครกำลังคิดว่าเรื่องบาร์บี้นี้ต้องใช้ CG ทำทั้งหมดแน่ๆผมต้องขอบอกว่าคุณคิดผิดแล้วครับ เพราะโลกบาร์บี้ที่คุณเห็นนั้นหากคุณไปดูเบื้องหลังจริงๆผู้กำกับรังสรรค์งานสร้างโดยใช้ Studio ในการสร้างโลกของบาร์บี้ขึ้นมาจริงๆไม่ว่าจะเป็นบ้านรถหรือแม้แต่ฉากหลังไกลๆที่คุณเห็นล้วนใช้การสร้างฉากขึ้นมาประกอบทั้งสิ้น CG อาจจะเข้ามามีส่วนบ้างนิดๆหน่อยๆแต่ให้คุณรู้ไว้ว่าส่วนใหญ่คือการสร้างขึ้นมาจริงๆโดยที่ใช้มือคนทำทั้งหมด  ผมจึงนับได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถเข้าชิงรางวัลด้านงานสร้างได้เลย 

ส่วนงานเพลงผมชอบเพลงตอนช่วงท้ายเรื่องมาก  ผมว่างานเพลงในเรื่องนี้ใส่เข้ามาได้ค่อนข้างตรงจังหวะและสื่ออารมณ์ได้ดีพอสมควรมันทำให้รู้สึกว่า อ่อนโยน แต่ก็แอบเหงา  และก็ทบทวนตัวเองไปในตัว จริงๆก็หาฟังได้แล้วนะใน YouTube ถ้าชอบก็ตามไปฟังกันเยอะๆนะครับผมว่าเพลงมีคุณภาพมากจริงๆ

ผมเเปะลิงค์บอกบุญไว้ให้ก็ได้ 55555
เบื้องหลัง 
https://www.youtube.com/watch?v=f3xSZ4Lfpuk

เพลง
https://www.youtube.com/watch?v=cW8VLC9nnTo

ตัวละคร 


มาร์โก ร็อบบี รับบท บาร์บี้ 

ตัวเด่นคงพ้นจากอะไรไปไม่ได้นอกจากบาร์บี้นางเอกของเรื่อง  นางเอกเปรียบเสมือนคนที่ไม่รู้จักการใช้ชีวิตตอนแรกและเจอกับเปลี่ยนแปลงเรียนรู้จากสิ่งๆนั้นจนทำให้ตัวเองรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆคืออะไร  มันก็เหมือนกับชีวิตของคนเราที่บางทีก็หลงอยู่ในความสุขหลงอยู่ในค่านิยมต่างๆที่สังคมประเคนให้ว่าตัวตนของตัวเองจะต้องเป็นอะไร  เหมือนที่นางเอกเป็นตุ๊กตาบาร์บี้พิมพ์นิยมที่ถูกวางหมากมาเรียบร้อยแล้วว่าตัวเองจะต้องสวย รวย  หรือดูดีตลอดเวลา ซึ่งนักแสดงตีโจทย์ตัวละครบาร์บี้ได้แตกและแสดงได้เก่งมาก เพราะเอาเข้าจริงมันเป็นการแสดงที่มีไดอะล็อกขึ้นลงสุดของอารมณ์พอสมควรมันจะมีทั้งเรื่องของการเศร้า  และอยู่ดีๆก็ไล่ระดับไปมีความสุขอีกรอบ จริงๆก็แอบเหมือนคนเป็นไบโพล่าอยูไม่น้อย 5555555


ไรอัน กอสลิง รับบท เคน

ตัวละครต่อมาคือเคนที่สาวๆ หลายคนคงแอบแซ่บกับหุ่นกล้ามล่ำ ซึ่งทุกตัวละครชายมันก็ชื่อเคนเเทบทั้งหมดนั่นเเหละ เลือกเลยจะชอบเคนไหน 55555  แต่จะบอกว่ามิติของตัวละครเคนถือว่าเป็นตัวละครที่มีอะไรให้ผมคิดมากพอสมควร  เป็นตัวละครที่บ่งบอกได้ถึงความกดดันบางอย่างของสังคมที่ในบาร์บี้แลนด์กดทับตัวเคนไว้ให้เป็นได้แค่ตัวที่เสริมให้บาร์บี้มีความโดดเด่นหรือทำให้ตัวบาร์บี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นแค่นั้น  แล้วเคนก็จะไม่มีบทบาทหรืออะไรนอกจากนั้นเเล้ว มันทำให้เคนเกิดความคิดบางอย่างในตอนหลุดเข้ามาในโลกของความเป็นจริง เเละมาเห็นว่าจริงๆตัวเองเป็นอะไรได้มากกว่านั้นเยอะมาก เเต่เรียนรู้ไม่มากพอจนทำให้นำความคิดผิดๆเข้าไปในยังดินเเดนบาร์บี้เเลนด์

ส่วนตัวละครอื่นๆก็แสดงได้ดีไม่ติดขัด  คือเอาจริงๆเรื่องบาร์บี้มันค่อนข้างกาวพอสมควรคือการแสดงจะค่อนข้าง Over acting หน่อยๆเหมือนกับเวลาเราเล่นของเล่นแล้วเราก็จินตนาการให้มันดูมีความเพ้อฝันดูมีความเป็นการ์ตูน  นั่นแหละคือการแสดงของนักแสดงในเรื่องทั้งหมด  ซึ่งตรงนี้ผมว่าหลายคนอาจจะชอบหรือไม่ชอบ  ผมก็ต้องบอกก่อนว่าให้เราถอดสมองสักนิดไปดู  เเละคิดว่าผู้กำกับตั้งใจให้การแสดงมันออกมาเป็นแบบนั้น  ไม่อย่างนั้นหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังที่ซีเรียสมากเพราะบทของหนังก็ค่อนข้างหนักพอสมควร  แล้วการมีการแสดง Over acting เข้ามาจึงทำให้หนังดูความขบขันและดูมีความเบาสมองมากขึ้น

สรุป


บาร์บี้คือหนังที่ดีมากอีกเรื่องหนึ่งในปีนี้ และค่อนข้างที่จะมีลุ้นรางวัลออสการ์ได้ไม่สาขาใดก็สาขาหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นด้านงานภาพ งานบทและการสื่อความหมายของปรัชญา  โดยที่เอามาเล่าให้เข้าใจง่ายขึ้น มีการสอดแทรกประเด็นทางด้านสังคม สิทธิสตรี ความเป็นปิตาธิปไตยและความหมายของการใช้ชีวิต  ผมว่าหนังเรื่องนี้คุณต้องเข้าไปดูในโรงสักครั้ง  ชอบไม่ชอบยังไงอย่างน้อยผมว่ามันก็สามารถทำให้คุณได้อะไรบางอย่างกลับมาไม่มากก็น้อยครับ

“เธอเป็นอะไรก็ได้ที่ใจอยากจะเป็น โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร”

ฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

**** คิดเห็นยังไงก็ร่วมเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ ขออย่างหนึ่งถ้าจะสปอยของให้ใส่ลิงค์สปอยไว้ด้วย เพื่อเอาไว้สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่