Barbie (Greta Gerwig)

คิดไม่ออกว่าถ้า Barbie ไม่ได้ทำโดยเกรต้า เกอร์วิก หนังจะออกมาเป็นยังไง อาจไม่ได้มาโทนนี้ก็ได้

เมื่อหนังมาอยู่ในมือเกรต้า เกอร์วิก ที่ผ่านการทำหนังมาสองเรื่องและโดดเด่นมากทั้งสองเรื่อง ได้ชิงออสการ์ Best Picture ทั้งสองเรื่อง และผมก็ชอบหนังทั้งสองเรื่องก่อนหน้าคือ Lady Bird และ Little Women มากๆๆๆ

เมื่อมีข่าวออกว่าโปรเจ็คงานกำกับเรื่องที่สามของเกรต้าคือ Barbie บอกตรงๆ แอบเซอร์ไพรส์ เฮ้ย...เกรต้าจะทำบาร์บี้เป็นแบบไหน จะมาแบบการ์ตูนจ๋าเหมือนหนังการ์ตูนขนาดยาวของบาร์บี้รึเปล่า

แต่ Barbie ของเกรต้า เกอร์วิก เมื่อดูจบแล้ว บอกตรงๆ ว่าไม่ธรรมดาเลย

ผมเข้าขั้นชอบมาก (แม้จะมีบางบริบทในหนังที่เข้าไม่ถึงก็ตาม เชื่อว่าคนที่คุ้นเคยกับตุ๊กตาบาร์บี้น่าจะอินกว่า) แต่สารที่สื่อ มันจับใจ มากๆ

ภาพภายนอก Barbie ของเกรต้า ฉาบความเป็นการ์ตูน สีชมพูหวานแหววแห่งโลก Barbieland แม้แต่การแสดงใดๆ ของนักแสดงก็ดูมีความเป็นการ์ตู๊น การ์ตูน แต่ๆๆ เปลือกสีชมพูที่หวานแหววนั้น ลองปลอกเข้าไปถึงชั้นในลึกๆ นี่ไม่หวานเลยนะ หนังมีอัตลักษณ์ มีตัวตน และตั้งคำถามถึง Sterotype ของเพศสภาพในความเป็นหญิง ชาย ได้อย่างแยบยล

ในมุมของ บาร์บี้แลนด์ ผู้หญิงอย่างบาร์บี้ ที่มีหลากหลาย (ตามรุ่นต่างๆ ของตุ๊กตา) เป็นใหญ่ ในขณะที่เคน ตุ๊กตาที่สร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นแค่แฟนหนุ่มของบาร์บี้ แทบจะถูกวางบทให้เป็นได้แค่นั้น แต่หนังยังพาคนดูมาที่โลกของความเป็นจริง ที่บทบาทกลับกันเลย โลกที่ชายเป็นใหญ่ มีความเป็นปิตาธิปไตยสูง แม้แต่ใน Mattel บริษัทผู้ผลิตบาร์บี้ แม้จะเริ่มต้นจากผู้หญิงแต่สุดท้ายก็กุมบังเหียนโดยผู้บริหารชายอยู่ดี

มุมเรื่องเพศ บทบาท ถูกใส่เป็นหัวใจหลักในหนัง คู่ไปกับความเป็นมนุษย์โดยเนื้อแท้ๆ ของตัว Typical Barbie (มาร์โก ร็อบบี้) และ เคน (ไรอัน กอสลิ่ง) ที่ถูกแทรกมาในหนัง ควบคู่ไปกับมุมมองเรื่องการเมือง เรื่องของอำนาจนิยม ที่ผสมผสานจนทำให้ Barbie ของเกรต้า เกอร์วิก มีคุณค่าและไม่ธรรมดาอย่างที่เข้าใจ

นอกจากเกรต้า เกอร์วิกจะกำกับ เธอยังเขียนบทเหมือนเคย แต่คราวนี้ผนึกเอาคู่ชีวิต โนอาร์ บอมแบค เข้ามาเขียนด้วย ซึ่งมันมีมุมทั้งจิกกัดทั้งในความปิตาธิปไตย การกดทับ รวมถึงจิกกัด Mattel เจ้าของบาร์บี้ (รวมถึงเป็นหนึ่งในคนสร้างหนังเรื่องนี้ด้วย) ต้องปรบมือให้สตูดิโอ ที่กล้าปล่อยให้หนัง Barbie ออกมาเป็นแบบนี้ ชื่นชมที่เชื่อมือเกรต้า เกอร์วิค ทำให้งาหนังเรื่องที่สามที่เธอกำกับ ...มันเหนือชั้น มันยกระดับโลกของบาร์บี้ ให้ไม่ธรรมดา และเป็นหนังที่พูดถึงแก่นของความเป็นมนุษย์ได้อย่างเข้าใจจริงๆ

สารภาพ ผมร้องไห้ใน Montage สำคัญมากในช่วงจบ เกรต้า เก่งจัง ที่ทำหนังตุ๊กตาบาร์บี้ และทำให้เราร้องไห้ไปกับหนังได้

ส่วนตัว ...ตอนนี้มองข้ามช็อตไปแล้ว มองไกลไปถึงเทศกาลแจกรางวัลต่างๆ เชื่อเลยว่าหนังได้ชิงสาขาบทค่อนข้างแน่ๆ และดีไม่ดี เกรต้า เกอร์วิก อาจนำหนังเรื่องที่สามที่เธอกำกับเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม อีกครั้งก็เป็นได้

ชอบมากๆๆ

#Barbie #เอ้อระเหยลอยลม

ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/urrahoei/