หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์มาในช่วงเดือน มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ BLC ก็ไม่เคยกลับขึ้นไปยืนเหนือราคา IPO ที่ 10.50 บาท ได้อีกเลย เพื่อน ๆ นักลงทุนเคยคิดกันหรือไม่...แล้วทำไมมันจึงเป็นแบบนั้น?
หลายคนต่างความคิด บางคนบอกว่าขาย IPO แพงเกิน บางคนบอกผลประกอบการอาจจะไม่ดี บางคนบอกหุ้นไม่มี Growth หรือบางคนบอกตลาดหลักทรัพย์บรรยากาศไม่เป็นใจ ฯลฯ ผมคิดว่าประเด็นต่างๆ ที่เพื่อน ๆ นักลงทุนคิดนั้น ก็มีส่วนในการที่ทำให้ราคาหุ้นหลุดราคาจองด้วยกันทั้งสิ้น
O.K. งั้นเราลองมามองด้านอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากเรื่องราคากันสักหน่อยดีไหมครับ ...
จริง ๆ แล้วอุตสาหกรรมยา ก็เป็นออุตสาหกรรมที่ไม่ได้มีการเติบโตอะไรมากมายอยู่แล้ว คือโตอยู่ระหว่าง 5 - 7% เท่านั้นเองครับ (ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ คาดมูลค่าการจำหน่ายยาจะเติบโตเฉลี่ย 5-6% ต่อปี สำหรับปี 2566-2568 ) เพราะฉะนั้นใครคิดว่าหุ้น BLC ไม่ใช่หุ้น Growth ผมก็คิดว่าเขาคิดถูกนะ แต่ถูกเพียงครึ่งเดียวครับ
เพราะถึงแม้ว่าอุตสาหกรรมยาจะเติบโตไม่มาก แต่หากบริษัทนั้น ๆ เป็นผู้นำในธุรกิจ และมีการขยายการผลิตให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงขยายช่องทางการจำหน่ายให้มากขึ้นกว่าเดิม ผมก็คาดว่าบริษัทนั้น ๆ ก็อาจจะสามารถโตได้มากกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมจริงไหมครับ
ทีนี้เราลองหันมาดูข้อดีข้อเสียของอุตสาหกรรมนี้ดูบ้างเป็นไง!
ธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตยาก็มีข้อเสียหลายข้อที่ต้องพิจารณาดูครับ หนึ่ง คือต้องใช้เงินลงทุนในการทำ R&D ค่อยข้างมาก สอง ระยะเวลาในการทำการวิจัยก็ใช้เวลานานเช่นเดียวกัน คืออย่างน้อยก็ต้องมี 3-5 ปี กว่าจะรู้ว่ายาที่ทำ R&D นั้นได้ผลอย่างที่คาดหวังหรือไม่ ผมว่าที่มันต้องใช้เวลานานเพราะมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชีวิตมนุษย์ ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลล่ะครับ
แต่โลกนี้ก็ไม่มีอะไรด้านเดียวหรอกครับ มีข้อเสียแล้ว มันก็น่าจะมีข้อดีกันบ้างสิ งั้นลองมาดูข้อดีของธุรกิจยากันบ้างครับ
ข้อดีของธุรกิจยานี้ก็คือ แม้ว่าจะต้องใช้งบลงทุนในการทำวิจัยมาก อีกทั้งยังเสียเวลานานในการทำวิจัยอีกต่างหาก แต่หากบริษัทสามารถคิดค้นยาได้เพียงหนึ่งตัว และยาตัวนั้นได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ด้วยแล้ว บริษัทก็จะมีรายได้จากยาตัวนั้นเป็นกอบเป็นกำ หรือกินกันยาว ๆ ไปจนกว่าจะหมดลิขสิทธิ์กันเลยครับ
และหากพิจารณาบริบทของประเทศไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือ Aging Society ก็ยิ่งทำให้ธุรกิจยานี้มีความน่าสนใจมากขึ้นครับ
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นภาพกว้าง ๆ ของธุรกิจผลิตยา หากจะวิเคราะห์ให้ละเอียดขึ้นคงต้องไปดูงบการเงินกันต่อ ซึ่งคงต้องตามกันเป็นไตรมาส ๆ ไป ส่วนงบ Q2-66 จะเป็นอย่างไรอีกเดือนกว่า ๆ ก็จะได้รู้แล้วครับ ถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันใหม่ว่าควรจะลงทุนหุ้นยาตัวนี้หรือไม่ครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
ดช.จุ่น
BLC หุ้นยา ที่(อาจจะ)เกินเยียวยา!
หลายคนต่างความคิด บางคนบอกว่าขาย IPO แพงเกิน บางคนบอกผลประกอบการอาจจะไม่ดี บางคนบอกหุ้นไม่มี Growth หรือบางคนบอกตลาดหลักทรัพย์บรรยากาศไม่เป็นใจ ฯลฯ ผมคิดว่าประเด็นต่างๆ ที่เพื่อน ๆ นักลงทุนคิดนั้น ก็มีส่วนในการที่ทำให้ราคาหุ้นหลุดราคาจองด้วยกันทั้งสิ้น
O.K. งั้นเราลองมามองด้านอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากเรื่องราคากันสักหน่อยดีไหมครับ ...
จริง ๆ แล้วอุตสาหกรรมยา ก็เป็นออุตสาหกรรมที่ไม่ได้มีการเติบโตอะไรมากมายอยู่แล้ว คือโตอยู่ระหว่าง 5 - 7% เท่านั้นเองครับ (ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ คาดมูลค่าการจำหน่ายยาจะเติบโตเฉลี่ย 5-6% ต่อปี สำหรับปี 2566-2568 ) เพราะฉะนั้นใครคิดว่าหุ้น BLC ไม่ใช่หุ้น Growth ผมก็คิดว่าเขาคิดถูกนะ แต่ถูกเพียงครึ่งเดียวครับ
เพราะถึงแม้ว่าอุตสาหกรรมยาจะเติบโตไม่มาก แต่หากบริษัทนั้น ๆ เป็นผู้นำในธุรกิจ และมีการขยายการผลิตให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงขยายช่องทางการจำหน่ายให้มากขึ้นกว่าเดิม ผมก็คาดว่าบริษัทนั้น ๆ ก็อาจจะสามารถโตได้มากกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมจริงไหมครับ
ทีนี้เราลองหันมาดูข้อดีข้อเสียของอุตสาหกรรมนี้ดูบ้างเป็นไง!
ธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตยาก็มีข้อเสียหลายข้อที่ต้องพิจารณาดูครับ หนึ่ง คือต้องใช้เงินลงทุนในการทำ R&D ค่อยข้างมาก สอง ระยะเวลาในการทำการวิจัยก็ใช้เวลานานเช่นเดียวกัน คืออย่างน้อยก็ต้องมี 3-5 ปี กว่าจะรู้ว่ายาที่ทำ R&D นั้นได้ผลอย่างที่คาดหวังหรือไม่ ผมว่าที่มันต้องใช้เวลานานเพราะมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชีวิตมนุษย์ ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลล่ะครับ
แต่โลกนี้ก็ไม่มีอะไรด้านเดียวหรอกครับ มีข้อเสียแล้ว มันก็น่าจะมีข้อดีกันบ้างสิ งั้นลองมาดูข้อดีของธุรกิจยากันบ้างครับ
ข้อดีของธุรกิจยานี้ก็คือ แม้ว่าจะต้องใช้งบลงทุนในการทำวิจัยมาก อีกทั้งยังเสียเวลานานในการทำวิจัยอีกต่างหาก แต่หากบริษัทสามารถคิดค้นยาได้เพียงหนึ่งตัว และยาตัวนั้นได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ด้วยแล้ว บริษัทก็จะมีรายได้จากยาตัวนั้นเป็นกอบเป็นกำ หรือกินกันยาว ๆ ไปจนกว่าจะหมดลิขสิทธิ์กันเลยครับ
และหากพิจารณาบริบทของประเทศไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือ Aging Society ก็ยิ่งทำให้ธุรกิจยานี้มีความน่าสนใจมากขึ้นครับ
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นภาพกว้าง ๆ ของธุรกิจผลิตยา หากจะวิเคราะห์ให้ละเอียดขึ้นคงต้องไปดูงบการเงินกันต่อ ซึ่งคงต้องตามกันเป็นไตรมาส ๆ ไป ส่วนงบ Q2-66 จะเป็นอย่างไรอีกเดือนกว่า ๆ ก็จะได้รู้แล้วครับ ถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันใหม่ว่าควรจะลงทุนหุ้นยาตัวนี้หรือไม่ครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
ดช.จุ่น