รักพิทักษ์ใจ (9)

กระทู้สนทนา



Chalun Ch

 
             บทที่ 9 วิกฤตที่มาพร้อมกับโอกาส

"แพมแกเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายเหรอทำไมวันนี่ยังไม่ไปทำงาน สายแล้วนะลูก" คุณแม่เคาะประตูห้องของฉันเรียกรัว ๆ "แพมได้ยินแม่เรียกมั้ย ทำไมไม่ไปทำงาน" คงเพราะคุณแม่เห็นว่าฉันไม่ไปทำงานเช่นทุกวันท่านก็เลยสงสัยและมาเคาะเรียก

ลังเลว่าจะตอบคุณแม่ว่าอย่างไรดีสำหรับเรื่องนี้ และสุดท้ายก็ได้คำตอบว่าไม่ควรโกหก จึงลุกไปเปิดประตูให้ เมื่อคุณแม่เห็นสภาพของฉันก็ตกใจ จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงล่ะก็ฉันเล่นนอนร้องไห้ทั้งคืน ตาคงจะบวมเป่งหน้าดู ถ้าไม่เผลอเอาใจไปฝากไว้กับผู้ชายคนนั้นฉันคงไม่เจ็บหนักขนาดนี้ แต่จะโทษเขาเลยก็ไม่ใช่ เพราะเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย

'ฉันเองที่แอบรักเองเจ็บเองและสุดท้ายก็โง่เองที่หลงเชื่อใจคนร้าย' ก็สมควรแล้ว

"แม่" ฉันกอดคุณแม่ร้องไห้ไม่มีคำใด ๆ จะพูด โชคดีที่คุณพ่อออกไปทำงานตั้งแต่เช้าไม่เจอฉันอยู่ในสภาพนี้ ไม่อย่างนั้นได้นั่งสอบสวนกันทั้งวันแน่ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วที่ฉันไม่เคยมีความลับกับคุณแม่เลย มีปัญหาอะไรเราคุยกันได้ทุกเรื่องเสมอ และเรื่องนี้ก็เช่นกัน ฉันไม่คิดจะปิดบังคุณแม่เลยสักนิด

"แกเป็นอะไรร้องไห้ทำไม... ใครทำอะไรหนูลูก" เสียงของคุณแม่อ่อนลง พร้อมโอบกอดฉันแน่นอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุด "เป็นอะไรไหนเล่าให้แม่ฟังซิ ใครทำอะไรลูกแม่ ร้องไห้ทำไม"

"แพมไม่ผ่านการทดลองงาน เขาไม่จ้างแพมต่อแล้วแม่" นี่ล่ะคือความจริงที่ฉันบอก ถึงจะไม่ทั้งหมดแต่มันก็เป็นความจริงเกินครึ่ง

"หนูรู้ได้ยังไงว่าไม่ผ่าน" คุณแม่ยังกอดปลอบประโลมฉันไม่ยอมปล่อยมือ และลูบผมของฉันเบา ๆ

"แพมรู้... แพมไปสัมภาษณ์นักธุรกิจคนหนึ่ง แล้วแพมไม่มีความละเอียดรอบคอบทำให้เขาไม่พอใจ ที่สำคัญคืออนาคตของแพมผ่านไม่ผ่านงานอยู่ที่ปลายปากกาของเขา ในเมื่อแพมทำให้เขาเสียเวลาและไม่พอใจ เขาก็เลยไม่ยอมเซ็นให้แพมผ่านการฝึกงานภาคสนาม" ฉันร้องไห้ในอ้อมกอดของคุณแม่ราวจะขาดใจ

แยกไม่ออกเลยว่าที่ร้องไห้หนักแบบนี้มาตลอดทั้งคืนเป็นเพราะฉันเสียใจที่ไม่ผ่านการฝึกงานหรือเสียใจที่โดนพี่ซันหลอกใช้กันแน่

คุณแม่กอดฉันไม่ยอมปล่อย "ไม่เป็นไรนะแพม...ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร หางานใหม่ก็ได้ลูก งานนี้มันคงไม่เหมาะกับหนู" คุณแม่ผู้ไม่เคยต่อว่าหรือซ้ำเติมฉันเลย "แต่ทำไมหนูไม่ลองไปทำงานก่อนล่ะ เผื่อบางทีเขาอาจเปลี่ยนใจให้หนูผ่านก็ได้นะ อย่างน้อยก็ทำให้ครบเดือนเหลืออีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนแล้ว"

ฉันส่ายหน้า "แพมไม่อยากไปแล้วแม่ แพมไม่อยากไปแล้ว..." ฉันร้องไห้ออกมาอีก เพราะคาดหวังเอาไว้มากเมื่อผิดหวังมันก็ไม่อยากรับอะไรอีกเลย ถึงไปก็ใช่ว่าจะผ่านเพราะคนใจร้ายคนนั้นพูดออกมาชัดเจนแล้วทุกอย่าง

"ไม่เป็นไรไม่ไปก็ไม่ไป"

"แม่คะ..." ฉันผละตัวออกจากอ้อมกอดของคุณแม่ "แพมไม่อยากหาสมัครงานอีกแล้ว แพมขอเรียนต่อป.โท ได้มั้ย แพมพอมีรายได้ค่ะ แพมเขียนนิยายขาย รายได้พอสำหรับค่าใช่จ่ายต่อเดือน แต่ค่าเทอมคงต้องขอพ่อกับแม่ก่อน" ฉันขออนุญาตคุณแม่

คุณแม่ผงกศีรษะอนุญาต "ได้สิลูก เรียนต่อก่อนก็ดีค่อยหางานทำก็ยังทัน"
.....



ฉันกลับเข้ามาในห้องของตนเอง กะจะไม่ร้องไห้ให้กับคนพรรค์นั้นอีกแล้ว ส่วนความตั้งใจที่อยากเป็นนักเขียนก็ยังแน่วแน่อยู่ จริง ๆ งานนั้นอาจไม่เหมาะกับฉันอย่างที่คุณแม่บอกก็ได้ บางทีงานทางด้านวรรณกรรมงานเขียนอาจจะเหมาะกับฉันมากกว่า เพราะพอฉันได้ลองเขียนนิยายแล้วมันคล้ายว่าเหมือนได้ค้นพบความสามารถที่แท้จริงของตนเอง ฉันรักมันและชอบที่จะทำไม่เคยเบื่อ

ก่อนหน้าฉันลองนำนิยายเรื่อง ทาสรักอสูรจอมโหด ไปลงขายออนไลน์เป็นรายตอน ผลปรากฏว่ายอดอ่านทล่มทลาย มีนักอ่านจำนวนมากสนใจเรื่องนี้และยอมซื้อเหรียญตามที่ฉันตั้งราคาเอาไว้ นั่นแหละทำให้ฉันพอมีรายได้เสริมโดยไม่เดือดร้อนเงินในกระเป๋าของคุณพ่อกับคุณแม่เลย อีกมุมหนึ่งก็เอาไปลงในเว็บบอร์ดด้วย เพราะฐานแฟนคลับทางนี้ก็เยอะเหมือนกัน

ความเสียใจที่เกิดขึ้นในตอนนี้มองอีกด้านก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจากที่ฉันสมองตื้อตันคิดพล็อตบทต่อไปไม่ออกอีกทั้งยังนึกไม่ออกเลยว่าจะให้เรื่องนี้จบลงเช่นไร 'นางเอกผู้น่าสงสารกับอสูรใจร้าย'

อสูรยังไงก็คืออสูร สัญชาตญาณของอสูรจะต้องร้ายกาจ แม้กระทั่งเรื่องของหัวใจอสูรก็ไม่เคยปราณีใคร

จินตนาการในสมองเริ่มหลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับสายน้ำตกที่หล่นลงมาจากเทือกเขาสูง ฉันปาดน้ำตาออกจากดวงตาให้หมด เมื่อน้ำตาแห้งตาก็สว่างขึ้น มองเห็นอะไรเป็นอะไรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากนั้นฉันก็ปั่นต้นฉบับต่อจนสามารถจบบริบูรณ์ได้แม้นิยายรักเรื่องนี้จะไม่จบลงแบบแฮปปี้ตามที่มันควรจะเป็นก็ตาม จบแบบนี้มันก็เหมาะสมที่สุดแล้ว แม้ฉันจะจบแบบนั้นก็ไม่ทำให้ฐานแฟนคลับหายไปหรือลดน้อยลงกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นเพราะเรียกคะแนนสงสารให้กับนางเอกได้ ทาสรักอสูรจอมโหด

สุดท้ายแล้วหญิงสาวกับ...อสูรร้ายกาจก็ไม่มีทางกลับมาพบเจอกันอีก สุดท้าย...สักวันคงพบกันสุดที่รัก.... จบบริบูรณ์

ฉันปิดจบเรื่องนี้ลงได้อย่างสมบูรณ์แบบและนำไปลงในเว็บบอร์ด อีกทั้งลงขายรายตอนด้วย จะว่าไปในวิกฤตที่เราเผชิญอยู่มันก็ยังมีอะไรดี ๆ ที่เป็นโอกาสมอบให้เรา เช่นงานเขียนเรื่องนี้อย่างไรล่ะ คงไม่ต้องขอบคุณเขาหรอก 'คนใจร้าย'
.....



เรื่องที่ฉันลาออกจากงานพี่แซนกับพี่เนยอีกทั้งไอ้เต้ยก็รู้เรื่อง ทุกคนเข้าใจฉันดีและไม่ยอมพูดหว่านล้อมอะไรอีก ทุกคนเคารพและชินชากับการตัดสินใจของฉันเสมอ นอกจากเรื่องงานแล้วทุกคนยังเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในตัวของฉันด้วยนั่นคือ 'พี่ซัน' ทุกคนดูออกว่าฉันเลิกสนใจและเลิกเข้าหาพี่ซันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนเหลือเกินที่ฉันแทบจะวิ่งเข้าสิงร่างผู้ชายใจร้ายคนนั้นทุกคราวที่เจอกัน

'แพมพี่ถามอะไรหน่อยสิ แกอย่าโกหกพี่นะ พี่รักแกเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง และพี่ก็ดีใจถ้าแกจะเข้ามาเป็นสะใภ้ของครอบครัวพี่' พี่แซนถามฉันเมื่อเห็นการเปลี่ยนไปที่เกิดขึ้นของฉันที่มีต่อพี่ชายของตัวเอง

'พูดมาเลยเถอะคุณพี่ แพมจะตอบทุกคำถาม' ฉันก็ยังทำเป็นร่าเริงเสมอ ความจริงฉันไม่เคยเศร้าหรอก ฉันเศร้าแค่วันนั้นวันเดียวล่ะ

'แกไม่ต้องทำมาเป็นร่าเริงกลบเกลื่อนหรอกแพมพี่รู้ว่าแกเศร้า...เรื่องที่พี่จะถามก็เกี่ยวกับพี่ซันล่ะ' ฉันว่าแล้วยังไงก็ไม่พ้นเรื่องนี้หรอก เรื่องสำคัญของพี่แซนที่เกี่ยวกับตัวฉัน

'ค่ะ พี่แซนอยากรู้อะไร'

'พี่อยากรู้ว่าทำไมอยู่ดี ๆ แกถึงเลิกสนใจพี่ซัน ทั้งที่เมื่อก่อนแกปลื้มเขาจะตาย เกิดอะไรขึ้น เล่าให้พี่ฟังได้มั้ย แล้วอี่ตาพี่ชายพี่ก็เปลี่ยนไปด้วยอีกคน พี่ไม่กล้าถามเขาพี่เลยมาถามเอากับแกดีกว่า แกบอกความจริงพี่ได้มั้ย เผื่อพี่จะได้ช่วยได้ไง' ฟังจากพี่แซนพูดฉันก็อยากรู้นะว่าผู้ชายคนนั้นเขาจะเปลี่ยนอะไรไป เปลี่ยนไปทำไม ในเมื่อเขาไม่มีอะไรเสียหายแต่ฉันสิ เสียทั้งครึ่งทั้งร่องทั้งความรู้สึก แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ไม่อยากพูดหรือเอ่ยถึงเลย

'ถ้าแพมบอกว่าแพมมีคนมาจีบล่ะ ก็เลยเลิกสนใจพี่ซัน พี่แซนจะเชื่อมั้ย' ฉันลองเชิง

'ไม่! ถ้าแกมีคนมาจีบจริงแกจะลาออกจากงานทำไม...พี่รู้ว่าก่อนที่แกจะลาออกแกไปสัมภาษณ์พี่ซัน แกต้องทำข่าวเรื่องชีวิตของเขาเพื่อจะผ่านการทดลองงานภาคสนาม พอแกไปสัมภาษณ์ครั้งที่สองกลับมาแกก็ลาออก สรุปเรื่องของแกกับพี่ซันมันเกิดอะไรขึ้น ถ้าแกเห็นพี่เป็นพี่สาวที่นับถือกันมานานเล่าความจริงทั้งหมดให้พี่ฟัง พี่ซันทำอะไรแก'

ฉันใคร่ครวญอยู่นานสองนานก่อนจะตัดสินใจเล่าความจริงให้พี่แซนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และพี่แซนก็ปรี๊ดมากที่โดนพี่ชายสั่งให้ฉันจับตามองตัวเองกับมาร์คัสทุกฝีก้าว ทว่าสุดท้ายฉันก็พลาดเพราะพี่แซนกับมาร์คัสกำลังจะมีลูกด้วยกัน เดือนหน้ามาร์คัสก็จะมารับพี่แซนไปอยู่ที่อังกฤษด้วยกันและไปแต่งงานกันที่นู่น พวกฉันสามคนที่เหลือจึงอดไปร่วมงานแต่งด้วยเลย แต่ไม่เป็นไรพวกเราอวยพรทางไกลก็ได้

'แพมแกก็เชื่อพี่ซันและทำตามคำสั่งเขาได้เนอะ ทำไมแกไม่คิดบ้างว่าเขาต้องมีอะไรมากกว่านั้นถึงใช้แก ถึงคอยบงการสั่งนู่นสั่งนี่แกอยู่เรื่อย ทั้งที่คนอย่างพี่ซันถ้าเขาจะตามสืบใครสักคน คนของเขาที่เก่ง ๆ มีมากมายจะเรียกใช้ เขาคงไม่มาใช้เด็กอย่างแกหรอก' พี่แซนว่า จะไปรู้เหรอบางทีเขาคงอยากแกล้งฉัน เกลียดฉัน ไม่พอใจที่ฉันหลอกให้ขับรถพาอ้อมกรุงเทพฯ วันนั้นก็ได้

'ไม่รู้ล่ะ แพมไม่อยากเจอเขาแล้ว ไม่ปลื้ม ไม่ชอบเขาแล้ว พี่แซนอย่าพูดถึงเขาได้มั้ยคะ' ความจริงฉันลืมเขาไม่ได้หรอก แต่ฉันก็ต้องหาทางรักษาเยียวยาใจตัวเอง

เรื่องนี้พี่สาวทางสังคมของฉันก็ไม่เคยเก็บความลับได้ ทำให้พี่เนยกับไอ้เต้ยรู้เรื่องนี้ด้วย ทั้งสองคนโทรมาถามฉัน และฉันก็ต้องเล่าตั้งแต่ต้นจนจบให้ทั้งสองคนฟังอีก
......


ทุกวันทุกคืนฉันต้องเอาพระธรรมเข้าสู้เพื่อให้จิตใจของตัวเองสงบลง ไม่วอกแวกคิดถึงผู้ชายคนนั้น และจะได้มีสมาธิเขียนนิยาย สวดมนต์ก่อนนอนเพื่อให้ลืมหน้าเขา เพื่อให้ลืมสิ่งที่เขาทำไว้กับฉัน ไหนจะเรื่องที่ฉันเกือบโดนชิงทรัพย์ที่สะพานลอยอีก ทั้งหมดก็มาจากเขาทั้งนั้น ฉันจึงเอาพระธรรมเข้าระงับความทุกข์ใจทั้งหมด

ตอนเช้าตื่นไปตักบาตรทุกเช้าเพื่อให้ใจเป็นสุขลืมความเศร้า อีกทั้งแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ซึ่งฉันก็แผ่ให้เขานั้นล่ะให้หมดเวรหมดกรรมต่อกันให้ลืมเขาได้เร็ววันเร็วคืนและอย่าให้กลับมาเจอกันอีกเลย

ฉันทำแบบนี้เป็นเวลานับได้ก็ราว ๆ สองปีเศษ สองปีเศษกับการทำบุญแผ่เมตตาให้เขา เหมือนผลบุญหนุนส่งฉันกับพี่ซันเราไม่ได้เจอกันอีกเลย อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ฉันไม่ได้เจอเพราะพี่แซนไม่ได้อยู่ที่ไทยแล้ว รายนั้นไปอยู่กับสามีที่อังกฤษ ฉันจึงไม่ได้ไปที่บ้านนั้นอีกเลย เราห่างหายกันไปราวกับไม่มีตัวตนและไม่เคยรู้จักกัน

ระหว่างนี้ฉันไม่ได้หาสมัครงานที่ไหนอีก เรียนต่อและเขียนนิยายขายเป็นหลัก ฉันหันมายึดอาชีพเป็นนักเขียนเต็มตัว หลังจากที่นิยายเรื่องแรกที่เขียนไปก็ปังปุริเย่เลย ไม่รู้ว่าเขียนดี พล็อตดี สำนวนดี หรือทำบุญมาเยอะกันแน่ ที่นิยายเรื่อง ทาสรักอสูรจอมโหด มีการติดต่อขอตีพิมพ์จากสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง พิมพ์ขายออกสู่ท้องตลาดมียอดขายถึงไม่ถล่มทลายแต่ก็ถือว่าขายดี เป็นนิยายที่วางอยู่ในเบสเซลเลอร์อีกหนึ่งเรื่องสำหรับนักอ่าน

ฉันรู้ว่าที่นิยายของฉันได้รับการแนะนำกับสำนักพิมพ์มาจากใคร จากพี่เนยอย่างไรล่ะ พี่เนยเคยพูดเอาไว้ตอนไปเที่ยวเกาะกูดว่าถ้าบุษบันเขียนจบเขาจะลองแนะนำสำนักพิมพ์ให้มาทาบทาม แล้วพี่เนยก็ทำจริงอย่างว่า ฉันต้องขอบคุณพี่เนยมาก ๆ ที่ให้โอกาสกับบุษบันนักเขียนหน้าใหม่ แต่ฉันจะให้พี่เนยหรือใครรู้ไม่ได้ว่าบุษบันแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่แล้วก็ไม่รอดหูตาเฉี่ยวของไอ้เต้ยอยู่ดี

'นังแพมแกว่านิยายเรื่องนี้มันแหม่ง ๆ มั้ยวะ' วันหนึ่งไอเต้ยส่งหนังสือนิยายเรื่องหนึ่งมาคุยกับฉัน แต่พอดูแล้วก็ตกใจเพราะนั่นมันนิยายของฉันเอง

'ทำไม... นิยายเขาก็ออกจะสนุกนะ ฉันก็อ่าน ถูกจริตวัยรุ่นวุ่นรักออก แต่แค่จบไม่สวยเท่าไหร่ นางเอกผิดหวัง พระเอกเลือดเย็น แล้วมันแหม่งตรงไหนล่ะเต้ย แกสายวายแกไม่ใช่สายชายหญิงแกไม่เข้าใจหรอก' ฉันตอบแบบไม่ยี่หระ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

'ไอ้ที่ว่าแหม่งน่ะก็ตรงพล็อตเรื่องไงแพม ทำไมพล็อตเรื่องมันคล้ายเรื่องของแกกับพี่ซันจังวะ ฉันอ่านแล้วสะกิดใจเลยนะ เรื่องนี้มันแกกับพี่ซันชัด ๆ ไหนจะตอนจบนั่นก็อีก มันเป็นจุดจบของแกกับพี่ซันเลย'

'บังเอิญเฉย ๆ ปะแก บางทีเรื่องราวของฉันกับอี่ตาลุงนั่นอาจจะไปดลใจนักเขียนเขาก็ได้นะ' ฉันยังแก้ตัวแถหน้าด้าน ๆ เรื่องอะไรจะยอมถูกต้อนให้จนมุมล่ะ

'ไม่ต้องมาแก้ตัว บุษบันคือแกใช่มั้ย! นังแพมแกบอกความจริงมาเดี๋ยวนี้เลย ต่อให้เรื่องของแกกับพี่ซันมันจะไปคล้ายชีวิตของใครก็ตาม แต่มันก็มีจุดบอดบางจุดที่มันทำให้ชี้ชัดว่าเป็นแกกับพี่ซัน พระเอกชื่อเซนงี้มันซันชัด ๆ นางเอกชื่อพาฝันงี้ก็ชื่อจริงของแกไงนังแพมพาขวัญ แกคือบุษบันใช่มั้ย บอกความจริงกับฉันมาเดี๋ยวนี้' ไอ้เต้ยคาดคั้น ไม่รู้เลยว่าพี่เนยที่เป็นอีกคนที่ตามอ่านเรื่องนี้จะสงสัยอย่างที่ไอ้เต้ยสงสัยหรือเปล่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่