มุลนิธิ สืบ....บอกว่า..ภาษีที่ดิน คือ จุดเริ่มต้นของการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

จากก่อนหน้านี้ที่รัฐบาลได้ลดหย่อนการจัดเก็บ ‘ภาษีที่ดิน’ ลง 90 เปอร์เซ็นต์ เหลือจัดเก็บเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อช่วยลดภาระของผู้เสียภาษี
 ทว่าปัจจุบันเจ้าของที่ดินทุกคนจะต้องกลับมาเสียภาษีที่ดินเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ 
โดยที่ดินแต่ละประเภทจะเสียภาษีตามลักษณะการใช้ประโยชน์ต่างกัน เช่น 
เกษตรกรรม อัตราภาษีปัจจุบัน ตั้งแต่ 0.01-0.1 เปอร์เซ็นต์
 ที่ดินรกร้างว่างเปล่า อัตราภาษีปัจจุบัน ตั้งแต่ 0.3-0.7 เปอร์เซ็นต์...
 และหากปล่อยรกร้างเป็นเวลานานติดต่อกัน 3 ปี จะปรับอัตราภาษีที่ดินรกร้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีก 0.3 เปอร์เซ็นต์ ทุก 3 ปี แต่สูงสุดไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์....

แน่นอนว่าการเป็นการกระตุ้นให้ผู้ครอบครองที่ดินใช้ประโยชน์จากที่ดิน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพิ่มรายได้เข้ารัฐบาลนำไปสู่การพัฒนาประเทศ
.
แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นว่ากฎหมายนี้ยิ่งเอื้อประโยชน์ให้คนรวย จนเกิดบริษัทรับจ้างพัฒนาที่ดินรกร้าง เปลี่ยนพื้นที่รกร้างให้เป็นพื้นที่การเกษตร
 เห็นได้จากพื้นที่ต่าง ๆ มีการลงกล้วย ลงมะนาว กันยกใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
 กฎหมายตัวนี้จึงไม่สามารถทำตามได้ในสิ่งที่หวังไว้ หนำซ้ำตัวบทกฎหมายนี้ ยังไปซ้ำเติมทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง
 เนื่องจากการตีความหมายของคำว่า ‘ที่รกร้าง’ กลับสร้างปัญหาแก่พื้นที่ที่มีสภาพเป็นป่าอยู่แล้ว หรือกำลังฟื้นคืนสภาพ
 ต้องถูกแปรสภาพเป็นสวนกล้วย สวนมะนาว หรือสวนป่า เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจึงเป็นการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพครั้งใหญ่ ...........

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว พื้นที่รกร้าง ที่ถูกมองว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์ แท้จริงแล้วมันมีประโยชน์ในตัวของมันเอง
 เป็นแหล่งระบบนิเวศขนาดเล็กให้สัตว์นานาชนิด แหล่งดูดซับคาร์บอน 
ทั้งยังเป็น Ecology Corridor หรือสะพานระบบนิเวศ ที่เปิดทางให้พรรณไม้ท้องถิ่นได้กลับมาเจริญเติบโตได้ด้วยตนเองหรือผ่านการปลูกใหม่
 เพื่อคุ้มครองพันธุกรรมของพันธุ์พืชเหล่านี้จากการคุกคามของพืชต่างถิ่น
 ทั้งยังช่วยให้สัตว์บางชนิดอย่าง นกย้ายถิ่น นกอพยพ ได้มีที่พักที่หากิน ป้องกันการสูญพันธุ์อีกด้วย
.
หากมองในแง่ของเศรษฐกิจ พื้นที่เหล่านี้คงถือไม่ว่าไม่มีมูลค่าและเกิดประโยชน์ใด ๆ
 ผู้คนที่มีพื้นที่จึงต้องเข้ามาจัดการกับพื้นที่เหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี 
แต่ก็มีกลุ่มคนบางคนที่ยอมรักษาพื้นที่ตรงนี้ไว้ไม่ทำอะไร หากแต่ใช่ว่าทุกคนจะยอมเสียภาษีแพงๆ แบบนั้นได้ ในคือในแง่ของตัวเงิน
 แต่ในแง่สิ่งแวดล้อมนั้นพื้นที่เหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศและต่อตัวเรา โดยที่เราไม่ต้องเข้าไปทำอะไร หรือเสียเงินเพื่อลงทุนจัดการ
.
การปรับนิยามของคำว่า ‘ที่ดิน’ ให้มีข้อยกเว้นที่ดินบางพื้นที่ ที่ควรค่าเก็บไว้ไม่ควรแก่การพัฒนาควรเป็นที่ควรยกขึ้นมาพิจารณาก่อนพื้นที่เหล่านี้จะกลายเป็นเพียงสวนกล้วย สวนมะนาว
.
#มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
การแก้ไม่ใช่ยกเลิกภาษีที่ดิน

แต่เป็นจัดที่ดินอีกประเภท ให้ภาษีน้อย อาจจะเรียกที่ดินสีเขียวอะไรก็ว่าไป ถือว่าสร้าง O2 และ Carbon credit ให้ประเทศ อาจจะคิดภาษี maximum ที่ 0.5%
ความคิดเห็นที่ 7
จริง เห็นด้วย

กฏหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี่ตัวทำลายธรรมชาติของจริง

เล่นไปจัดให้พื้นที่ๆมีธรรมชาติเจริญงอกงาม ว่าเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าซะหมด จะไปเก็บภาษีเค้าในอัตราเต็มที่และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกปี เจ้าของที่(จะมีตังค์หรือไม่มี)ก็ต้องหาเงินเพื่อเอาไปทำการแผ้วถางพื้นที่ดังกล่าวจนเหี้ยนเตียนเพื่อเตรียมเป็นไร่เพาะปลูกพืชตามเงื่อนไขที่กำหนดเพื่อเลี่ยงภาษีที่แพงมากๆ

ที่ดินที่เคยมีธรรมชาติปกคลุม มีต้นไม้หลายชนิดขึ้นอยู่ให้สัตว์น้อยใหญ่ได้อาศัยก็ถูกตัดโค่น
สัตว์เมื่อถูกทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยมันไม่ได้ ความหลากหลายทางธรรมชาติก็มลายหายไป ยากจะฟื้นคืนกลับมาอีก

อีกทั้งการปลูกพืชซ้ำๆซากๆกัน ปลูกกันกว้างขวางเป็นจำนวนมาก ยังเสี่ยงต่อราคาผลผลิตตกต่ำ การเกิดโรคและศัตรูพืชระบาดอย่างรุนแรงด้วย

โดยรวมแล้วกฏหมายฉบับนี้ กระทบสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
เรียกว่าออกกฏหมายมาไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเลยก็ว่าได้
ความคิดเห็นที่ 4
จังหวัดผมเสียดายทีแปลงหนึ่งมากเลย
แต่ก่อน มีต้นยางนา ความสูงน่าจะอายุไม่ต่ำกว่า50ปี
ในแปลงมี ประมาณ 40-50ต้น ได้ บรรยากาศ ร่มรื่นมาก
ปีนี้ โดนตัดเกลียง เลย คาดว่าเดียวคงกลายเป็น สวนกล้วยกลางเมือง
ความคิดเห็นที่ 12
บางทีกฎหมายที่ออกมาโดนไม่รอบคอบมันก็ส่งผลกระทบต่อสังคม เช่นกรณีกัญชาเสรี ส่วนเรื่องภาษีที่ดินนี้ กลายเป็นว่าคนรวยกลับเสียภาษีลดลงอย่างที่อ.ชัชชาติออกมาพูดเรื่องการจัดเก็บภาษีได้น้อยลงในเขตกรุงเทพ ส่วนคนทั่วไปกลับมีรายจ่ายภาษีที่เยอะขึ้น หรือมีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงที่รกร้างของตัวเองไปปลูกพืชพันธุ์ที่ไม่ได้เป็นความตั้งใจปลูกจริงๆ เพื่อลดภาษี กลายเป็นผลผลิตต่างๆเช่นกล้วย ออกมาก็ล้นตลาดและไปกระทบต่อคนปลูกเดิมอีก และแน่นอนว่าระบบนิเวศน์จะเปลี่ยนไปจากเดิม
ความคิดเห็นที่ 25
ต้องทำแบบญี่ปุ่นซึ่งเขาก็ทำมานานแล้วตามกฏหมาย Cropland Act
ห้ามใช้ที่ดินเพื่อทำการเกษตรและใช้กฏหมายควบคุมอย่างเข้มงวด
ผู้ที่จะทำการเกษตรจะต้องเป็นเกษตรกร หรือบริษัทการเกษตรที่เป็นเจ้าของที่ดิน
ที่ลงทะเบียนอนุญาตกับคณะกรรมการเกษตรของเทศบาล
และต้องสังกัดสหกรณ์การเกษตร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่