เจนเคยเป็นเนื้องอกในสมองเมื่อ 2 ปีครึ่ง ที่ผ่านมา เลยอยากมาแชร์เรื่องราว เผื่อเป็นประโยชน์ค่ะ จริงๆเคยลงแล้ว แต่อยู่ในหัวเรื่องมะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่ตัวเองเป็น ซึ่งคนที่ต้องการหาข้อมูลตรงนี้ คงจะไม่เห็น เลยขอมาลงให้ตรง
วเรื่องไว้ตรงนี้นะคะ
- ตั้งแต่ประมาณเดือน เมษา 63 เจนก็เริ่มมีอาการมึนหัว เวียนหัว สลับกันไป แรกๆเจนก็ซื้อยามาทานเองค่ะ เพราะเป็นช่วงโควิดระบาดหนักเจนก็ซื้อยาตามที่เคยไปหาหมอ แล้วคุณหมอจ่ายมา เพราะช่วงก่อนเป็นมะเร็ง เจนก็เวียนหัว บ้านหมุน ไป 2 รอบ ไปหาหมอ ทานยาแล้วก็หายรอบนี้เจนเลยซื้อเอง ทานไปก็ดีขึ้นค่ะ แต่เจนก็กลับมามึน เวียนหัวอีกเจนก็คิดว่า เพราะเราทานวีแกนเลยขาดสารอาหารรึเปล่า เรียกว่า ถ้าเป็นอะไรจะสงสัยเรื่องการทานวีแกนไว้ก่อนเลย แล้วพอดีได้ไปหาคุณหมอกระเพาะปัสสาวะ เพื่อติดตามมะเร็ง คุณหมอ ( ไม่ใช่คุณหมอดุษฎีนะคะ เป็นคุณหมอผู้หญิงมาแทนคุณหมอดุษฎี เพราะเป็นช่วงโควิด คุณหมอสลับกันออกตรวจ ) ก็บอกว่า ค่าเลือดดูเลือดจาง เลยจ่ายธาตุเหล็กกับโฟลิกมาให้ทาน หลังจากทานแล้ว อาการมึนหัวก็ดีขึ้นค่ะ เจนก็เลยคิดว่า เราคงทานไม่ถึง ก็พยายามไปปรับอาหาร แต่การทานธาตุเหล็กนั่นแหละค่ะ ทำให้เจนกระเพาะอักเสบ เป็นกรดไหลย้อนรุนแรงจนต้องไปส่องกล้อง ( คุณหมอที่เจนไปหาเรื่องโรคกระเพาะบอกเจนค่ะ ) เจนเลยหยุดทาน และก็หันไปทานงาดำแทน แต่ไม่นานอาการมึนหัวก็กลับมาอีก คราวนี้ ไปได้ข้อมูลมาอีกค่ะ ว่าน่าจะเป็นเพราะเจนทานน้ำสกัดย่านางต่อเนื่องกันนานเกินไป เจนก็เลยหยุดทานอาการก็ดีขึ้น แต่สุดท้ายอาการนี้ก็กลับมาอีก และเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จะมีอาการบีบหัวมากๆ โดยจะเป็นๆหายๆ จะเป็นตอนเจนคิดงาน เรียกว่า มีเคสงานให้คิดเมื่อไหร่ เจนจะบีบหัวจนทนไม่ไหว ต้องหยุดคิดงาน และทุกครั้งที่เจนขับรถกลับบ้าน พอขับไปได้ซักระยะ อาการจะมาเลยค่ะ แต่บางทีอาการก็มาไม่เป็นเวลา คือไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร จนในที่สุด ในเดือนตุลาคม63 เจนก็ไปหาหมอที่ รพ กรุงเทพคริสเตียน กะว่า คราวนี้จะให้คุณหมอส่ง MRI เลย เจนยังไม่ทันบอก คุณหมอก็ส่งเจน MRI เลยค่ะ สรุปว่า พบเนื้องอกในสมอง แต่เป็นเนื้อดีนะคะ พอเจนได้ฟังผล เจนก็โทรบอกพี่ชายเจน โทรไปร้องไห้ไป คือ ไม่ได้อยากร้องนะคะ แต่มันร้องเองเลยค่ะคงเพราะไม่ได้เตรียมใจ คือ คิดแต่ว่า ถ้าเป็นมะเร็งอีก ก็ทำใจ เข้าใจได้ว่า มะเร็งลุกลาม แต่พอหมอบอกว่า เนื้องอกอันนี้ เราเป็นมานานแล้ว ก็รู้สึกสะเทือนใจกับชีวิตตัวเองยังไงไม่รู้ค่ะ ..เนื้องอกอันนี้เป็นในบริเวณที่มีผลต่อ เส้นประสาทเส้นที่ 5 ความรู้สึกบนใบหน้า ให้เจนรีบผ่าออกอย่าปล่อยไว้นาน โดยการผ่าตัดจะผ่าเนื้องอกออกไม่หมด เพราะเนื้องอกอยู่ในตำแหน่งที่มีเส้นประสาทเยอะ ถ้าผ่าออกหมดจะอันตราย แต่เนื้องอกส่วนที่เหลือ กว่าจะมีอาการอีกทีก็กินเวลาเป็นสิบปี ถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันใหม่ โดยถ้าผ่าที่ รพ กรุงเทพคริสเตียน ก็ประมาณ500,000 บวกกลบ 20% ยังไม่รวมค่าห้อง ICU คุณหมอ (คุณหมอช่อเพียว) บอกว่า เจนจะไปผ่าที่ รพ จุฬาก็ได้แต่ไม่ใช่ว่า ใครๆจะผ่าได้นะเจนก็เลยให้คุณหมอแนะนำ ชื่อคุณหมอให้ค่ะ คุณหมอแนะนำ คุณหมอรุ่งศักดิ์ ศิวานุวัฒน์ คุณหมอบอกว่าเป็นลูกศิษย์ของคุณหมอเอง เจนก็เลยไปพบคุณหมอรุ่งศักดิ์ที่ รพ จุฬา โดยคุณหมอให้นักศึกษาแพทย์เป็นคนตรวจร่างกายเจนค่ะ ก็มีการตรวจโดยเอาสำลีปั่นแหลมๆมาจิ้มตา เอาฆ้อนมาตีหัวเข่า คือตรวจการสนองตอบของร่างกายอ่ะค่ะ ตรวจไปก็ไม่พบอะไรนะคะ ปกติหมด แล้วก็มีสอบถามอาการว่า สายตาเราเป็นยังไง มือสั่นมั๊ย จากนั้น ก็รายงานให้คุณหมอรุ่งศักดิ์ทราบ จากนั้นคุณหมอรุ่งศักดิ์ก็บอกว่า ต้องผ่าตัด แต่จะเอาเนื้องอกออกไม่หมดนะ แล้วก็ให้เจนทำนัดวันผ่า คุณหมอที่จัดตารางนัด บอกเจนว่า แล้วจะโทรมาแจ้ง คือ ไม่มีกำหนดวันผ่าค่ะ เจนก็งงสิคะ คุณหมอบอกว่า จะผ่าคนที่เป็นหนักก่อน เช่นปากเบี้ยว ตามองไม่เห็นแล้ว เพราะถ้านัดวันคุณไป ถ้ามีเคสด่วนเข้ามา เราก้จะต้องผ่าเคสเร่งด่วนก่อน คือระหว่างนี้ ถ้าเจนมีอาการบีบหัว ก็ให้ทานยาที่ให้มาไปก่อน ก็เป็นยาพวกกาบาเพนตินอ่ะค่ะ วันนั้นเจนกลับบ้านด้วยความรู้สึกเคว้งคว้างมาก ก็เลยปรึกษากับพี่ชายว่า เราจะไปพบคุณหมอรุ่งศักดิ์ที่ รพ เอกชนดีกว่า จะได้คุยกับคุณหมอมากกว่านี้ คุณหมอออกตรวจที่ รพ เซ็นหลุยส์ด้วยค่ะ แต่พอดีว่าที่ทำงานเจน มีน้องคนนึง เค้าเคยผ่าสมองเหมือนกัน เจนเลยโทรไปปรึกษาเค้า น้องบอกว่า น้องผ่ากับคุณหมอศรัณย์ นันทอารีค่ะ ผ่าที่ศิริราชเมื่อนานมาแล้ว คุณหมอศรัณย์ เป็นคุณหมอที่เคยรักษาในหลวง( รัชกาลที่ 9 ) เจนฟังแค่นั้นก็คิดในใจว่า คุณหมอศรัณย์ คงจะไม่มีคิวเหลือมาถึงเจนแน่ แต่น้องทิ้งท้ายว่า แต่คุณหมอศรัณออกตรวจที่ รพธนบุรี นะ เจนเลยลองโทรไปนัดดูค่ะ ปรากฏว่า ได้นัดเร็วมาก คือ คุณหมอออกตรวจพอดี ...คุณหมอก็ตรวจร่างกายเจน เหมือนที่นักศึกษาแพทย์ที่จุฬาตรวจเลยค่ะ แต่ตอนที่คุณหมอเอาสำลีปั่นจิ้มตาเจน ตาขวาเจนไม่กระพริบเลยค่ะ คุณหมอว่า ซีกขวาคุณเริ่มไม่รู้สึกแล้ว จากนั้นคุณหมอก็จับหน้า จับแก้มเจน คุณหมอว่า กล้ามเนื้อหน้าซีกขวาคุณเริ่มหดตัวแล้ว เจนบอกคุณหมอว่า ใช่เลยค่ะ มะวานเจนปวดหน้ามาก แล้วคุณแม่บ้านที่บ้านก็บอกว่า หน้าซีกขวาเจนมันเล็กกว่าซีกซ้าย เหมือนเจนไปร้อยไหมมาข้างนึง คุณหมอจะเป็นคนพูดเร็ว พูดกระชับนะคะ แต่ไม่ดุค่ะคุณหมอดูผล MRI แล้วก็บอกว่า เนื้องอกคุณอยู่ตำแหน่งไม่ดีเลย แถมกางปีกอีกต่างหาก แต่ถ้าปล่อยไว้ คุณก็จะเป็นอัมพาตซีกขวา และพิการในที่สุด คุณหมอถามถึงเรื่องมะเร็งด้วยว่า เป็นยังไงบ้าง ต้องขอพูดตรงๆว่า ถ้าเกิดคุณเป็นมะเร็งแล้วจะอยู่ได้อีกไม่เท่าไหร่ ก็ไม่ควรจะผ่าสมอง เจนก็เลยตอบไปว่า รักษาเรียบร้อยแล้วค่ะ..คุณหมอบอกว่า จะผ่าตัดเอาเนื้องอกออกให้หมดนะ คุณหมอพูดด้วยความมุ่งมั่นเลยค่ะเจนเลยถามถึงผลกระทบ คุณหมอว่า คุณก็อาจจะหน้าชาไปเป็นปี หรือตลอดไป... สรุป เจนก็เลยนัดผ่าตัดกับคุณหมอเลย คุณหมอนัดผ่าวันที่10/12/63 โดยจะต้องฉีดสี ดูเส้นเลือดในสมองก่อน เจนก็ไม่ทันได้ถามคุณหมอว่า ดูเส้นเลือดในสมองเพื่ออะไรนะคะ คิดว่า น่าจะดูการอุดตันของเส้นเลือด แต่จะเป็นคุณหมอผู้หญิงอีกท่านเป็นคนทำขั้นตอนนี้ ค่าฉีดสีดูเส้นเลือด 60,000 บาทค่ะ ส่วนค่าผ่าตัด คุณหมอบอกว่าประมาณ 400,000 บาท บวกลบ 20% คือรวมๆกันเหมือนจะถูกกว่ารพ กรุงเทพคริสเตียนนิดหน่อย แต่จริงๆก็ไม่รู้ว่า ถูกกว่ารึป่าวนะคะ แต่รู้สึกมั่นใจในตัวคุณหมออ่ะค่ะ เลยเลือกผ่าที่นี่ โดยคุณหมอจ่ายยาArcoxia มาให้ ถ้าบีบหัว ก็ให้ทานยาตัวนี้ไปก่อน ซึ่งเจนก็คุ้นๆ แต่ไม่แน่ใจว่าเจนแพ้ยาตัวนี้รึป่าว ก็เลยทานไปค่ะ ทานไปก็เหมือนไม่ได้ช่วยอะไร ยังรู้สึกมึนตึง ตั้งแต่เส้นที่คอถึงศีรษะเลยค่ะ …..ระหว่างที่รอผ่าตัดเจนได้ไปเข้าแคมป์มะเร็งของคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ ระยะเวลา 4 วัน3 คืน ราคา 9,000 บาท นอนห้องละคน เพราะเป็นช่วงโควิด คือ เกือบไม่ได้ไปเหมือนกัน เพราะบีบหัว ตึงไปหมด เหมือนพร้อมจะบ้านหมุนตลอดเวลา แถมไม่มีแรง แล้วน้ำหนักก็ขึ้นเร็วมากด้วย ( ซึ่งเจนมาคิดได้ตอนอยู่แคมป์ว่า เจนแพ้ยา Arcoxia น่ะเอง เพราะอาการเดียวกับที่เคยเป็น ) แต่เจนก็ฝืนไปทั้งๆที่มึนๆแบบนั้นแหละค่ะ ที่แคมป์ คุณหมอสันต์ก็จะบรรยายเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินที่มีผลต่อมะเร็ง สอนวิธีการวางความคิด ทำสมาธิ และการรับมือกับความเจ็บปวด ซึ่งเรื่องนี้เจนได้นำไปใช้ช่วงที่ฉีดสี และผ่าตัดด้วย ดีงามมากๆค่ะ นอกจากนั้นที่แคมป์ก็จะมีกิจกรรมมากมาย ได้แก่ การสาธิตวิธีการทำอาหารพืช แบบไม่ใช้น้ำมัน ไม่ใช้น้ำตาล ( ที่แคมป์จะทานอาหารพืช Plant Base ไม่ใช้น้ำมัน และน้ำตาลในการปรุงอาหาร แต่จะใช้ความหวานจากอินผลาลัมแทน ซึ่งอาหารที่แคมป์อร่อยมากๆเลยค่ะ ) , ฝึกการทรงตัว , โยคะ , ไทชิ, ได้ชมสวนมัลเบอรี่ แล้วยังได้เดินป่าด้วยนะคะ ( คุณหมอให้เดินป่าแบบเห็นตามที่มันเป็น ไม่ต้องไปคิดต่อยอด แต่พวกเราเดินชมป่า คุยกันตลอดทาง 555 ) อีกกิจกรรมนึงที่ดีมากๆ คือ การให้ทุกคนได้ออกไปเล่าเรื่องมะเร็งของตัวเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่มั๊ยคะว่า ชีวประวัติมะเร็งของเจนเนี่ย อยู่อันดับต้นๆเลย พูดเสร็จ มีพี่คนนึงเดินมายกนิ้วให้เลยค่ะซึ่งมันทำให้เรารู้สึกอบอุ่นมากๆ เรียกว่า จบแคมป์ Cancer Retreat CR.4 ลงด้วยอาการทางกายที่ทุเลาลง และจิตใจที่เบิกบาน อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ผิดกับวันก่อนเข้าแคมป์แบบสิ้นเชิง ต้องขอบคุณคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ และทีมงาน ที่จัดแคมป์ดีๆแบบนี้ ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่ร่วมแคมป์ CR.4 ทุกคนที่สร้างพลังงานดีๆ ขอบคุณพี่ชายสุดเลิฟ ที่ผลักดันให้ได้ไปแคมป์ แถมพาครอบครัวไปส่ง ไปรับที่แคมป์ด้วยนะคะ แคมป์อยู่สระบุรีค่ะ
9/12/63 ไปถึงโรงพยาบาลก็ตรวจเลือด เข้าห้องพัก ถึงห้องก็ตรวจโน่นนี่ ความดัน เมโมแกรม จนถึงเจาะสายน้ำเกลือ เพราะต้องอดข้าว อดน้ำถึง 5 โมงเย็น เพื่อฉีดสี ดูเส้นเลือดในสมอง ขั้นตอนการฉีดสี เจนอาจจะบอกไม่ได้ละเอียด หรือถูกต้องนัก เพราะภาพค่อนข้างลางเลือน จำได้แต่ความรู้สึก ถ้าผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วยนะคะ....คุณหมอก็จะเจาะแถวขาหนีบตรงกระดูกอุ้งเชิงกราน ซึ่งบริเวณตรงนี้จะเป็นเส้นเลือดใหญ่ คุณหมอจะฉีดสีอยู่หลายรอบค่ะ ทุกรอบ เหมือนทุกคนในห้องจะลุ้นมาก เจนนี่ลุ้นสุด ไม่สิ เรียกว่า หวาดผวาเลยดีกว่าหวาดผวา ตื่นเต้น เจ็บปวด เพราะมันเหมือนหน้า และหัวของเราจะระเบิดเลยค่ะ เกิดมาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่ไม่ทรมานนะคะ เพราะเจนใช้วิธีรับมือกับความเจ็บปวดที่ร่ำเรียนมาจากแคมป์คุณหมอสันต์ คือเป็นวิธีการแสกนร่างกาย ดูเวทนาตอนนั่งสมาธิอ่ะค่ะ โดยเจนจะรับรู้ และเข้าไปใจกลางความเจ็บปวดนั้นเลย เข้าไปอยู่กับความเจ็บปวด ไม่ต้องไปต่อยอด ให้รู้ว่าเจ็บแค่นั้น มันทำให้ความรู้สึกกลัวหายไป อยู่กับความรู้สึกนั้นๆ ด้วยการยอมรับ และเข้าใจ ในขณะเดียวกันก็ต้องผ่อนคลายร่างกายไปด้วย เพราะถ้าร่างกายไม่ผ่อนคลายนั่นหมายถึง เราแข็งขืน ไม่ยอมรับ ซึ่งการผ่อนคลายร่างกายบ่อยๆ ช่วยได้มากเลยค่ะ และพร้อมกันนี้ เจนก็ขอโทษ และขออโหสิกรรม กับเจ้ากรรมนายเวร ที่บันดาลให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นด้วยนะคะ....ขอบคุณคุณหมอที่มือเบามากๆ ขอบคุณคุณพยาบาลที่กดเส้นเลือดเพื่อให้เลือดหยุด หลังการฉีดสีเสร็จสิ้น กดอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง กดจนมือสั่น เลือดก็ยังซึม จนต้องไปตามคุณหมอมาดู ถึงกระนั้น คุณพยาบาลก็ยังยิ้มให้ตลอดพร้อมปลอบใจเป็นระยะ เสร็จเรียบร้อย คุณพยาบาลบอกว่า ไม่ให้พับขาข้างขวาที่คุณหมอเจาะเส้นเลือดใหญ่ ให้ยืดขาตรงตลอดไป 8 ชั่วโมง ไม่ให้นั่งด้วย เอนๆพอ เพราะเดี๋ยวเลือดออก เลยต้องมัดขาไว้กันเจนเผลอยกขา กะว่าฉีดสีเสร็จ จะออกมาลั้นลานั่งทานข้าวชมวิว จบเลย..ตกเย็น คุณหมอศรัณย์ ก็เข้ามาถามว่า คุณหนักกี่กิโล คุณผอมมากนะ ผ่าพรุ่งนี้ ต้องใช้ไขมันมาเสริมที่สมอง ปกติใช้ไขมันที่พุง แต่ของคุณไม่มี คงต้องใช้ที่สะโพกแทน จริงๆเจนมีพุงนะคะ มีพุงมาทั้งชีวิต ผอมก็ยังมีพุง ไมคุณหมอบอกว่าไม่มี 555 แต่น้องที่มาเยี่ยมบอกว่า อยากยกมือมาก เอาพุงนู๋ไปแทนได้มั๊ยคะ 555
10/12/63 ประมาณ 7 โมงกว่า คุณพยาบาลก็เข้ามาโกนหัวให้ ผ่าตัดประมาณ 9 โมง ออกมาประมาณบ่ายสามค่ะ ซึ่งเจนจำภาพช่วงนี้แทบไม่ได้เลยนะคะ จำได้อีกทีก็ตอนที่มาอยู่ห้อง ICU แล้ว หลังผ่าตัดนอนICU 3 คืน เนื่องจากสถานการณ์โควิด จึงงดเยี่ยม ใช้วีดีโอคอลแทน ซึ่งเจนก็ยังไม่มีแรงจะคุย ตาก็หนักมาก เพราะบวมไปหมด ทานอาหารไม่ค่อยได้ค่ะ คุณพยาบาลก็ช่วยป้อนนะคะ พยายามฝืนทานไป แต่ทานไม่ไหว อาเจียนออกมาหมดค่ะ น่าจะเพราะฤทธิ์มอร์ฟีน เลยคลื่นไส้มากๆและเจนก็ยังมีไข้ ยังปวดหัว แต่ก็ฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ
12/12/63 ออกจากห้อง ICU มาแบบเบลอๆค่ะ แต่ที่แน่ๆ คือ เจนเห็นภาพซ้อนค่ะ เป็นผลจากการผ่าตัด และเจนยังคงทานไม่ค่อยได้ คลื่นไส้มาก แล้วก็ยังไม่มีแรง ยังลุกไปไหนไม่ค่อยได้ค่ะ เจนจ้างคนมาดูแลเจนในช่วงนี้ด้วยนะคะ แล้วเจนก็เริ่มสั่งอาหาร Plant Base ของร้านต้นกล้าฟ้าใสมาทาน เพราะอาหารที่โรงพยาบาลจัดให้แบบวีแกน ไม่ใส่น้ำมันน้ำตาล ก็จะออกแนวข้าวต้ม ผักลวก ครัวโรงพยาบาลคงจะงงกับการกินของเจนพอควรเลยค่ะ
15/12/63 คุณหมอเข้ามาพร้อมยืนยันว่า ผลเนื้องอกเป็นผลดี ตอนนี้ก็อยู่ที่คนไข้ ต้องมี activity เยอะๆ อาการภาพซ้อนจะลดลงไปเองภายใน 1-2 เดือน ซึ่งอากา
เมื่อฉันเป็นเนื้องอกในสมอง
- ตั้งแต่ประมาณเดือน เมษา 63 เจนก็เริ่มมีอาการมึนหัว เวียนหัว สลับกันไป แรกๆเจนก็ซื้อยามาทานเองค่ะ เพราะเป็นช่วงโควิดระบาดหนักเจนก็ซื้อยาตามที่เคยไปหาหมอ แล้วคุณหมอจ่ายมา เพราะช่วงก่อนเป็นมะเร็ง เจนก็เวียนหัว บ้านหมุน ไป 2 รอบ ไปหาหมอ ทานยาแล้วก็หายรอบนี้เจนเลยซื้อเอง ทานไปก็ดีขึ้นค่ะ แต่เจนก็กลับมามึน เวียนหัวอีกเจนก็คิดว่า เพราะเราทานวีแกนเลยขาดสารอาหารรึเปล่า เรียกว่า ถ้าเป็นอะไรจะสงสัยเรื่องการทานวีแกนไว้ก่อนเลย แล้วพอดีได้ไปหาคุณหมอกระเพาะปัสสาวะ เพื่อติดตามมะเร็ง คุณหมอ ( ไม่ใช่คุณหมอดุษฎีนะคะ เป็นคุณหมอผู้หญิงมาแทนคุณหมอดุษฎี เพราะเป็นช่วงโควิด คุณหมอสลับกันออกตรวจ ) ก็บอกว่า ค่าเลือดดูเลือดจาง เลยจ่ายธาตุเหล็กกับโฟลิกมาให้ทาน หลังจากทานแล้ว อาการมึนหัวก็ดีขึ้นค่ะ เจนก็เลยคิดว่า เราคงทานไม่ถึง ก็พยายามไปปรับอาหาร แต่การทานธาตุเหล็กนั่นแหละค่ะ ทำให้เจนกระเพาะอักเสบ เป็นกรดไหลย้อนรุนแรงจนต้องไปส่องกล้อง ( คุณหมอที่เจนไปหาเรื่องโรคกระเพาะบอกเจนค่ะ ) เจนเลยหยุดทาน และก็หันไปทานงาดำแทน แต่ไม่นานอาการมึนหัวก็กลับมาอีก คราวนี้ ไปได้ข้อมูลมาอีกค่ะ ว่าน่าจะเป็นเพราะเจนทานน้ำสกัดย่านางต่อเนื่องกันนานเกินไป เจนก็เลยหยุดทานอาการก็ดีขึ้น แต่สุดท้ายอาการนี้ก็กลับมาอีก และเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จะมีอาการบีบหัวมากๆ โดยจะเป็นๆหายๆ จะเป็นตอนเจนคิดงาน เรียกว่า มีเคสงานให้คิดเมื่อไหร่ เจนจะบีบหัวจนทนไม่ไหว ต้องหยุดคิดงาน และทุกครั้งที่เจนขับรถกลับบ้าน พอขับไปได้ซักระยะ อาการจะมาเลยค่ะ แต่บางทีอาการก็มาไม่เป็นเวลา คือไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร จนในที่สุด ในเดือนตุลาคม63 เจนก็ไปหาหมอที่ รพ กรุงเทพคริสเตียน กะว่า คราวนี้จะให้คุณหมอส่ง MRI เลย เจนยังไม่ทันบอก คุณหมอก็ส่งเจน MRI เลยค่ะ สรุปว่า พบเนื้องอกในสมอง แต่เป็นเนื้อดีนะคะ พอเจนได้ฟังผล เจนก็โทรบอกพี่ชายเจน โทรไปร้องไห้ไป คือ ไม่ได้อยากร้องนะคะ แต่มันร้องเองเลยค่ะคงเพราะไม่ได้เตรียมใจ คือ คิดแต่ว่า ถ้าเป็นมะเร็งอีก ก็ทำใจ เข้าใจได้ว่า มะเร็งลุกลาม แต่พอหมอบอกว่า เนื้องอกอันนี้ เราเป็นมานานแล้ว ก็รู้สึกสะเทือนใจกับชีวิตตัวเองยังไงไม่รู้ค่ะ ..เนื้องอกอันนี้เป็นในบริเวณที่มีผลต่อ เส้นประสาทเส้นที่ 5 ความรู้สึกบนใบหน้า ให้เจนรีบผ่าออกอย่าปล่อยไว้นาน โดยการผ่าตัดจะผ่าเนื้องอกออกไม่หมด เพราะเนื้องอกอยู่ในตำแหน่งที่มีเส้นประสาทเยอะ ถ้าผ่าออกหมดจะอันตราย แต่เนื้องอกส่วนที่เหลือ กว่าจะมีอาการอีกทีก็กินเวลาเป็นสิบปี ถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันใหม่ โดยถ้าผ่าที่ รพ กรุงเทพคริสเตียน ก็ประมาณ500,000 บวกกลบ 20% ยังไม่รวมค่าห้อง ICU คุณหมอ (คุณหมอช่อเพียว) บอกว่า เจนจะไปผ่าที่ รพ จุฬาก็ได้แต่ไม่ใช่ว่า ใครๆจะผ่าได้นะเจนก็เลยให้คุณหมอแนะนำ ชื่อคุณหมอให้ค่ะ คุณหมอแนะนำ คุณหมอรุ่งศักดิ์ ศิวานุวัฒน์ คุณหมอบอกว่าเป็นลูกศิษย์ของคุณหมอเอง เจนก็เลยไปพบคุณหมอรุ่งศักดิ์ที่ รพ จุฬา โดยคุณหมอให้นักศึกษาแพทย์เป็นคนตรวจร่างกายเจนค่ะ ก็มีการตรวจโดยเอาสำลีปั่นแหลมๆมาจิ้มตา เอาฆ้อนมาตีหัวเข่า คือตรวจการสนองตอบของร่างกายอ่ะค่ะ ตรวจไปก็ไม่พบอะไรนะคะ ปกติหมด แล้วก็มีสอบถามอาการว่า สายตาเราเป็นยังไง มือสั่นมั๊ย จากนั้น ก็รายงานให้คุณหมอรุ่งศักดิ์ทราบ จากนั้นคุณหมอรุ่งศักดิ์ก็บอกว่า ต้องผ่าตัด แต่จะเอาเนื้องอกออกไม่หมดนะ แล้วก็ให้เจนทำนัดวันผ่า คุณหมอที่จัดตารางนัด บอกเจนว่า แล้วจะโทรมาแจ้ง คือ ไม่มีกำหนดวันผ่าค่ะ เจนก็งงสิคะ คุณหมอบอกว่า จะผ่าคนที่เป็นหนักก่อน เช่นปากเบี้ยว ตามองไม่เห็นแล้ว เพราะถ้านัดวันคุณไป ถ้ามีเคสด่วนเข้ามา เราก้จะต้องผ่าเคสเร่งด่วนก่อน คือระหว่างนี้ ถ้าเจนมีอาการบีบหัว ก็ให้ทานยาที่ให้มาไปก่อน ก็เป็นยาพวกกาบาเพนตินอ่ะค่ะ วันนั้นเจนกลับบ้านด้วยความรู้สึกเคว้งคว้างมาก ก็เลยปรึกษากับพี่ชายว่า เราจะไปพบคุณหมอรุ่งศักดิ์ที่ รพ เอกชนดีกว่า จะได้คุยกับคุณหมอมากกว่านี้ คุณหมอออกตรวจที่ รพ เซ็นหลุยส์ด้วยค่ะ แต่พอดีว่าที่ทำงานเจน มีน้องคนนึง เค้าเคยผ่าสมองเหมือนกัน เจนเลยโทรไปปรึกษาเค้า น้องบอกว่า น้องผ่ากับคุณหมอศรัณย์ นันทอารีค่ะ ผ่าที่ศิริราชเมื่อนานมาแล้ว คุณหมอศรัณย์ เป็นคุณหมอที่เคยรักษาในหลวง( รัชกาลที่ 9 ) เจนฟังแค่นั้นก็คิดในใจว่า คุณหมอศรัณย์ คงจะไม่มีคิวเหลือมาถึงเจนแน่ แต่น้องทิ้งท้ายว่า แต่คุณหมอศรัณออกตรวจที่ รพธนบุรี นะ เจนเลยลองโทรไปนัดดูค่ะ ปรากฏว่า ได้นัดเร็วมาก คือ คุณหมอออกตรวจพอดี ...คุณหมอก็ตรวจร่างกายเจน เหมือนที่นักศึกษาแพทย์ที่จุฬาตรวจเลยค่ะ แต่ตอนที่คุณหมอเอาสำลีปั่นจิ้มตาเจน ตาขวาเจนไม่กระพริบเลยค่ะ คุณหมอว่า ซีกขวาคุณเริ่มไม่รู้สึกแล้ว จากนั้นคุณหมอก็จับหน้า จับแก้มเจน คุณหมอว่า กล้ามเนื้อหน้าซีกขวาคุณเริ่มหดตัวแล้ว เจนบอกคุณหมอว่า ใช่เลยค่ะ มะวานเจนปวดหน้ามาก แล้วคุณแม่บ้านที่บ้านก็บอกว่า หน้าซีกขวาเจนมันเล็กกว่าซีกซ้าย เหมือนเจนไปร้อยไหมมาข้างนึง คุณหมอจะเป็นคนพูดเร็ว พูดกระชับนะคะ แต่ไม่ดุค่ะคุณหมอดูผล MRI แล้วก็บอกว่า เนื้องอกคุณอยู่ตำแหน่งไม่ดีเลย แถมกางปีกอีกต่างหาก แต่ถ้าปล่อยไว้ คุณก็จะเป็นอัมพาตซีกขวา และพิการในที่สุด คุณหมอถามถึงเรื่องมะเร็งด้วยว่า เป็นยังไงบ้าง ต้องขอพูดตรงๆว่า ถ้าเกิดคุณเป็นมะเร็งแล้วจะอยู่ได้อีกไม่เท่าไหร่ ก็ไม่ควรจะผ่าสมอง เจนก็เลยตอบไปว่า รักษาเรียบร้อยแล้วค่ะ..คุณหมอบอกว่า จะผ่าตัดเอาเนื้องอกออกให้หมดนะ คุณหมอพูดด้วยความมุ่งมั่นเลยค่ะเจนเลยถามถึงผลกระทบ คุณหมอว่า คุณก็อาจจะหน้าชาไปเป็นปี หรือตลอดไป... สรุป เจนก็เลยนัดผ่าตัดกับคุณหมอเลย คุณหมอนัดผ่าวันที่10/12/63 โดยจะต้องฉีดสี ดูเส้นเลือดในสมองก่อน เจนก็ไม่ทันได้ถามคุณหมอว่า ดูเส้นเลือดในสมองเพื่ออะไรนะคะ คิดว่า น่าจะดูการอุดตันของเส้นเลือด แต่จะเป็นคุณหมอผู้หญิงอีกท่านเป็นคนทำขั้นตอนนี้ ค่าฉีดสีดูเส้นเลือด 60,000 บาทค่ะ ส่วนค่าผ่าตัด คุณหมอบอกว่าประมาณ 400,000 บาท บวกลบ 20% คือรวมๆกันเหมือนจะถูกกว่ารพ กรุงเทพคริสเตียนนิดหน่อย แต่จริงๆก็ไม่รู้ว่า ถูกกว่ารึป่าวนะคะ แต่รู้สึกมั่นใจในตัวคุณหมออ่ะค่ะ เลยเลือกผ่าที่นี่ โดยคุณหมอจ่ายยาArcoxia มาให้ ถ้าบีบหัว ก็ให้ทานยาตัวนี้ไปก่อน ซึ่งเจนก็คุ้นๆ แต่ไม่แน่ใจว่าเจนแพ้ยาตัวนี้รึป่าว ก็เลยทานไปค่ะ ทานไปก็เหมือนไม่ได้ช่วยอะไร ยังรู้สึกมึนตึง ตั้งแต่เส้นที่คอถึงศีรษะเลยค่ะ …..ระหว่างที่รอผ่าตัดเจนได้ไปเข้าแคมป์มะเร็งของคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ ระยะเวลา 4 วัน3 คืน ราคา 9,000 บาท นอนห้องละคน เพราะเป็นช่วงโควิด คือ เกือบไม่ได้ไปเหมือนกัน เพราะบีบหัว ตึงไปหมด เหมือนพร้อมจะบ้านหมุนตลอดเวลา แถมไม่มีแรง แล้วน้ำหนักก็ขึ้นเร็วมากด้วย ( ซึ่งเจนมาคิดได้ตอนอยู่แคมป์ว่า เจนแพ้ยา Arcoxia น่ะเอง เพราะอาการเดียวกับที่เคยเป็น ) แต่เจนก็ฝืนไปทั้งๆที่มึนๆแบบนั้นแหละค่ะ ที่แคมป์ คุณหมอสันต์ก็จะบรรยายเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินที่มีผลต่อมะเร็ง สอนวิธีการวางความคิด ทำสมาธิ และการรับมือกับความเจ็บปวด ซึ่งเรื่องนี้เจนได้นำไปใช้ช่วงที่ฉีดสี และผ่าตัดด้วย ดีงามมากๆค่ะ นอกจากนั้นที่แคมป์ก็จะมีกิจกรรมมากมาย ได้แก่ การสาธิตวิธีการทำอาหารพืช แบบไม่ใช้น้ำมัน ไม่ใช้น้ำตาล ( ที่แคมป์จะทานอาหารพืช Plant Base ไม่ใช้น้ำมัน และน้ำตาลในการปรุงอาหาร แต่จะใช้ความหวานจากอินผลาลัมแทน ซึ่งอาหารที่แคมป์อร่อยมากๆเลยค่ะ ) , ฝึกการทรงตัว , โยคะ , ไทชิ, ได้ชมสวนมัลเบอรี่ แล้วยังได้เดินป่าด้วยนะคะ ( คุณหมอให้เดินป่าแบบเห็นตามที่มันเป็น ไม่ต้องไปคิดต่อยอด แต่พวกเราเดินชมป่า คุยกันตลอดทาง 555 ) อีกกิจกรรมนึงที่ดีมากๆ คือ การให้ทุกคนได้ออกไปเล่าเรื่องมะเร็งของตัวเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่มั๊ยคะว่า ชีวประวัติมะเร็งของเจนเนี่ย อยู่อันดับต้นๆเลย พูดเสร็จ มีพี่คนนึงเดินมายกนิ้วให้เลยค่ะซึ่งมันทำให้เรารู้สึกอบอุ่นมากๆ เรียกว่า จบแคมป์ Cancer Retreat CR.4 ลงด้วยอาการทางกายที่ทุเลาลง และจิตใจที่เบิกบาน อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ผิดกับวันก่อนเข้าแคมป์แบบสิ้นเชิง ต้องขอบคุณคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ และทีมงาน ที่จัดแคมป์ดีๆแบบนี้ ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่ร่วมแคมป์ CR.4 ทุกคนที่สร้างพลังงานดีๆ ขอบคุณพี่ชายสุดเลิฟ ที่ผลักดันให้ได้ไปแคมป์ แถมพาครอบครัวไปส่ง ไปรับที่แคมป์ด้วยนะคะ แคมป์อยู่สระบุรีค่ะ
9/12/63 ไปถึงโรงพยาบาลก็ตรวจเลือด เข้าห้องพัก ถึงห้องก็ตรวจโน่นนี่ ความดัน เมโมแกรม จนถึงเจาะสายน้ำเกลือ เพราะต้องอดข้าว อดน้ำถึง 5 โมงเย็น เพื่อฉีดสี ดูเส้นเลือดในสมอง ขั้นตอนการฉีดสี เจนอาจจะบอกไม่ได้ละเอียด หรือถูกต้องนัก เพราะภาพค่อนข้างลางเลือน จำได้แต่ความรู้สึก ถ้าผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วยนะคะ....คุณหมอก็จะเจาะแถวขาหนีบตรงกระดูกอุ้งเชิงกราน ซึ่งบริเวณตรงนี้จะเป็นเส้นเลือดใหญ่ คุณหมอจะฉีดสีอยู่หลายรอบค่ะ ทุกรอบ เหมือนทุกคนในห้องจะลุ้นมาก เจนนี่ลุ้นสุด ไม่สิ เรียกว่า หวาดผวาเลยดีกว่าหวาดผวา ตื่นเต้น เจ็บปวด เพราะมันเหมือนหน้า และหัวของเราจะระเบิดเลยค่ะ เกิดมาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่ไม่ทรมานนะคะ เพราะเจนใช้วิธีรับมือกับความเจ็บปวดที่ร่ำเรียนมาจากแคมป์คุณหมอสันต์ คือเป็นวิธีการแสกนร่างกาย ดูเวทนาตอนนั่งสมาธิอ่ะค่ะ โดยเจนจะรับรู้ และเข้าไปใจกลางความเจ็บปวดนั้นเลย เข้าไปอยู่กับความเจ็บปวด ไม่ต้องไปต่อยอด ให้รู้ว่าเจ็บแค่นั้น มันทำให้ความรู้สึกกลัวหายไป อยู่กับความรู้สึกนั้นๆ ด้วยการยอมรับ และเข้าใจ ในขณะเดียวกันก็ต้องผ่อนคลายร่างกายไปด้วย เพราะถ้าร่างกายไม่ผ่อนคลายนั่นหมายถึง เราแข็งขืน ไม่ยอมรับ ซึ่งการผ่อนคลายร่างกายบ่อยๆ ช่วยได้มากเลยค่ะ และพร้อมกันนี้ เจนก็ขอโทษ และขออโหสิกรรม กับเจ้ากรรมนายเวร ที่บันดาลให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นด้วยนะคะ....ขอบคุณคุณหมอที่มือเบามากๆ ขอบคุณคุณพยาบาลที่กดเส้นเลือดเพื่อให้เลือดหยุด หลังการฉีดสีเสร็จสิ้น กดอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง กดจนมือสั่น เลือดก็ยังซึม จนต้องไปตามคุณหมอมาดู ถึงกระนั้น คุณพยาบาลก็ยังยิ้มให้ตลอดพร้อมปลอบใจเป็นระยะ เสร็จเรียบร้อย คุณพยาบาลบอกว่า ไม่ให้พับขาข้างขวาที่คุณหมอเจาะเส้นเลือดใหญ่ ให้ยืดขาตรงตลอดไป 8 ชั่วโมง ไม่ให้นั่งด้วย เอนๆพอ เพราะเดี๋ยวเลือดออก เลยต้องมัดขาไว้กันเจนเผลอยกขา กะว่าฉีดสีเสร็จ จะออกมาลั้นลานั่งทานข้าวชมวิว จบเลย..ตกเย็น คุณหมอศรัณย์ ก็เข้ามาถามว่า คุณหนักกี่กิโล คุณผอมมากนะ ผ่าพรุ่งนี้ ต้องใช้ไขมันมาเสริมที่สมอง ปกติใช้ไขมันที่พุง แต่ของคุณไม่มี คงต้องใช้ที่สะโพกแทน จริงๆเจนมีพุงนะคะ มีพุงมาทั้งชีวิต ผอมก็ยังมีพุง ไมคุณหมอบอกว่าไม่มี 555 แต่น้องที่มาเยี่ยมบอกว่า อยากยกมือมาก เอาพุงนู๋ไปแทนได้มั๊ยคะ 555
10/12/63 ประมาณ 7 โมงกว่า คุณพยาบาลก็เข้ามาโกนหัวให้ ผ่าตัดประมาณ 9 โมง ออกมาประมาณบ่ายสามค่ะ ซึ่งเจนจำภาพช่วงนี้แทบไม่ได้เลยนะคะ จำได้อีกทีก็ตอนที่มาอยู่ห้อง ICU แล้ว หลังผ่าตัดนอนICU 3 คืน เนื่องจากสถานการณ์โควิด จึงงดเยี่ยม ใช้วีดีโอคอลแทน ซึ่งเจนก็ยังไม่มีแรงจะคุย ตาก็หนักมาก เพราะบวมไปหมด ทานอาหารไม่ค่อยได้ค่ะ คุณพยาบาลก็ช่วยป้อนนะคะ พยายามฝืนทานไป แต่ทานไม่ไหว อาเจียนออกมาหมดค่ะ น่าจะเพราะฤทธิ์มอร์ฟีน เลยคลื่นไส้มากๆและเจนก็ยังมีไข้ ยังปวดหัว แต่ก็ฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ
12/12/63 ออกจากห้อง ICU มาแบบเบลอๆค่ะ แต่ที่แน่ๆ คือ เจนเห็นภาพซ้อนค่ะ เป็นผลจากการผ่าตัด และเจนยังคงทานไม่ค่อยได้ คลื่นไส้มาก แล้วก็ยังไม่มีแรง ยังลุกไปไหนไม่ค่อยได้ค่ะ เจนจ้างคนมาดูแลเจนในช่วงนี้ด้วยนะคะ แล้วเจนก็เริ่มสั่งอาหาร Plant Base ของร้านต้นกล้าฟ้าใสมาทาน เพราะอาหารที่โรงพยาบาลจัดให้แบบวีแกน ไม่ใส่น้ำมันน้ำตาล ก็จะออกแนวข้าวต้ม ผักลวก ครัวโรงพยาบาลคงจะงงกับการกินของเจนพอควรเลยค่ะ
15/12/63 คุณหมอเข้ามาพร้อมยืนยันว่า ผลเนื้องอกเป็นผลดี ตอนนี้ก็อยู่ที่คนไข้ ต้องมี activity เยอะๆ อาการภาพซ้อนจะลดลงไปเองภายใน 1-2 เดือน ซึ่งอากา