ไม่ลืม : 25 มิถุนายน 2446 วันเกิด จอร์จ ออร์เวลล์ ผู้แต่ง ‘1984’
https://www.matichon.co.th/book/news_4047781
ไม่ลืม : 25 มิถุนายน 2446 วันเกิด จอร์จ ออร์เวลล์ ผู้แต่ง ‘1984’
จอร์จ ออร์เวลล์ เกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1903 ตรงกับ พ.ศ.2446 เป็นบุตรชายของข้าราชการกรมฝิ่นในอาณานิคมอังกฤษ เข้าเรียนที่วิทยาลัยอีตัน ทำให้มองเห็นความแตกต่างทางชนชั้น ต่อมา ตัดสินใจเดินทางไปยังพม่าเพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นตำรวจ ยิ่งทำให้เห็นถึงความอยุติธรรม กระทั่งลาออกใน ค.ศ.1927 หลังป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเดินทางกลับอังกฤษ และประกอบอาชีพเป็น ‘
นักเขียน’ ในปีถัดมา โดยใช้ปากกาเป็นอาวุธต่อสู้กับระบอบเผด็จการ
นวนิยายเรื่อง
‘1984’ (Nineteen Eighty-Four) ได้รับการตีพิมพ์ในวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.1949 ตรงกับ พ.ศ.2492 มีเนื้อหาแสดงด้านตรงข้ามของสังคมแบบยูโทเปีย โดยมีการเสียดสีการปกครองแบบอำนาจนิยม และเตือนภัยคุกคามของนาซี
วรรคทองของเรื่องซึ่งเป็นที่จดจำของคนทั้งโลก คือ
‘Big Brother is Watching You’
ระหว่างเขียนนวนิยายดังกล่าว
จอร์จ ออร์เวล ล้มป่วยอยู่ในโรงพยาบาล และเสียชีวิตด้วยวัณโรคเมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ.1951 เพียง 2 ปีหลัง ‘1984’ ออกสู่สายตาโลก
นวนิยายเรื่องนี้ ยังมีบทบาทในการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ในการเมืองร่วมสมัยของไทย โดยนักกิจกรรมที่ต่อต้านการรัฐประหาร เคยนำไป ‘
ยืนอ่าน’ พร้อมรับประทานแซนด์วิช ในจุดต่างๆ อาทิ สกายวอล์ก แยกปทุมวัน, หน้าสถานทูตสหรัฐ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการ เมื่อพ.ศ.2557 ก่อนโดนรวบตัวดำเนินดคี
หลังจากนั้น ยังคงมีผู้ใช้นวนิยายเรื่องดังกล่าวในการแสดงออกทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในแฟลชม็อบคนรุ่นใหม่ในพ.ศ.2563 รวมถึงในกิจกรรม ‘
ยืนหยุดขัง’ หน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนิน ซึ่งจัดโดยกลุ่มพลเมืองโต้กลับ
จาตุรนต์ ย้ำต้องรักษา ‘ความหวัง’ คนไทย แก้กติกาไม่ ปชต. ถ้าทำไม่ได้ ลูกหลานหมดอนาคต
https://www.matichon.co.th/politics/news_4047699
จาตุรนต์ ย้ำต้องรักษา ‘ความหวัง’ คนไทย แก้กติกาไม่ ปชต. ถ้าทำไม่ได้ ลูกหลานหมดอนาคต
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา สถาบัน
ปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับ วิทยาลัยนานาชาติ
ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดเสวนา “
เราจะรักษาชัยชนะก้าวแรกของประชาชน (และก้าวต่อๆ ไป) ไว้ได้อย่างไร”
ในตอนหนึ่ง นาย
จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในแง่ประชาชนล้มเผด็จการ เมื่อเทียบเคียงเหตุการณ์ในเวลาต่อๆ มาจะพบว่า 14 ตุลาคม เป็นชัยชนะร่วมกันของหลายฝ่ายที่ไม่พอใจทรราช
ต่อมา กระแสสังคมนิยมเข้ามาในประเทศไทย ชนชั้นนำและเผด็จการผนึกกำลังต่อต้านขบวนการนักศึกษา นำมาซึ่งเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 และรัฐประหารในเวลาต่อมา
สำหรับเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ เป็นการร่วมกันของหลายฝ่ายที่ไม่พอใจ จปร.5 ที่มีอำนาจ นำโดยชนชั้นนำในกองทัพ ชนชั้นนำในฝ่ายอนุรักษนิยม ร่วมกับพลังประชาชนและสื่อมวลชน ล้มรัฐบาล พล.อ.
สุจินดา คราประยูร ลงไป แต่ก็ยังไม่ได้สร้างระบบที่ถาวร อย่างไรก็ตาม ในแง่ดีคือนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ และมีการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 ซึ่งมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยโดยประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด และใช้รัฐธรรมนูญเต็มรูปแบบในปี 2544
ต่อมา เกิดปรากฏการณ์ “
ประชาธิปไตยกินได้” คือพรรคการเมืองเสนอนโยบาย ประชาชนเลือกพรรคการเมืองไปเป็นรัฐบาล ประชาชนได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง และมีความรู้สึกว่าการเลือกตั้งมีประโยชน์ต่อชีวิตเขาจริงๆ ในแง่ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาได้ฝังรากลึกในความรู้สึกของคนไทย
ต่อมา เกิด รัฐประหารปี 2549 เป็นรัฐประหารเสียของคือ ยึดรัฐธรรมนูญแล้วยุบพรรคการเมือง ปลดนายกฯได้ตามใจ เมื่อ การเลือกตั้งปี 2554 เสียของ คือยังได้รัฐบาลที่คณะรัฐประหารไม่ถูกใจ
นาย
จาตุรนต์กล่าวว่า รัฐประหารปี 2549 และ 2557 หากเทียบเคียงสิ่งที่คณะราษฎรต้องการคือมีรัฐธรรมนูญ กล่าวคือทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายสูงสุด อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎร เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากในประเทศนี้คือคณะรัฐประหารใช้กลไกระบอบประชาธิปไตย 3 อย่างคือ รัฐธรรมนูญ ประชามติ และ การเลือกตั้ง ใช้สิ่งที่อารยประเทศมองว่าเป็นเรื่องของประชาธิปไตย แต่มันถูกใช้ให้บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยใช้อย่างไม่ถูกต้องตามกติกาและทำให้ได้กติกาที่พิกลพิการ โดยใช้ประชามติที่เป็นการโกง
ต่อมามีการเลือกตั้งที่มี ส.ว.250 คน รวมทั้งมีองค์กรอิสระต่างๆ ศาลรัฐธรรมนูญที่พร้อมจะจัดการกับพรรคการเมืองที่จะเป็นรัฐบาล การรัฐประหารปี 2557 ทำให้ประเทศย้อนหลังมาก นำไปสู่การปกครองแบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดถึง 5 ปี ยังคงปัญหามาจนทุกวันนี้คือ ส.ว.250 คน
นาย
จาตุรนต์กล่าวอีกว่า เราจะรักษาชัยชนะอย่างไร ที่พูดมาไม่ใช่ชัยชนะเลย ประเทศนี้ยังมีปัญหากับความไม่เป็นประชาธิปไตยที่ใหญ่มาก ชัยชนะก้าวที่สำคัญคือ 20 ปีอย่างน้อยมานี้ประชาชนตื่นตัวอย่างกว้างขวางกว่าและลึกกว่ามากในยุคสมัยใดๆ ในเรื่องอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เรามีชัยชนะจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาที่ประชาชนได้แสดงออกถึงการไม่ยอมรับพวกที่มาจากการยึดอำนาจ ซึ่งเป็นชัยชนะความก้าวหน้าที่สำคัญ แต่อยู่ในภายใต้กติกาที่หมายความว่า 313 เสียงนี้ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองในพรรคอื่น หรือ ส.ว.250 ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก เพราะดูจากการเคลื่อนไหวของฝ่ายที่ไม่ต้องการให้เกิดการตั้งรัฐบาลโดยที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
“
จะรักษาชัยชนะนี้อย่างไร ในขั้นแรกจะตั้งรัฐบาลประชาธิไตยได้อย่างไร ทำอย่างไรไม่ให้เกิดการสลับขั้วย้ายข้าง มีของวิเศษที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ส.ว. อยู่ได้แค่อีกปีเดียว เมื่อ ส.ว.หมดอำนาจ 313 เสียงตั้งรัฐบาลได้แน่นอน ถ้าไม่สลับขั้วไปเสียก่อน
“
สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือรักษาศักยภาพความเข้าใจของประชาชนไทย ความหวังของประชาชนไทยเอาไว้ เรื่องใหญ่กว่านั้นคือการแก้กติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งยากมาก เพราะเขียนรัฐธรรมนูญไว้แบบที่ไม่ให้ใครแก้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ประเทศไทยก็ล้าหลัง ลูกหลานไม่มีอนาคตกันหมดทั้งประเทศ คนไทยจะยอมทำไม ในเมื่อตอนเลือกตั้งก็แสดงออกมาแล้ว 313 เสียง ถ้าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเป็นเอกภาพ องค์กรต่างๆ ที่ต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยไปในทางเดียวกัน รักษาพลังประชาชนไว้ และมีทิศทางร่วมกันก้าวไปสู่การทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย สิ่งที่ต้องทำคือ ตระหนักว่าปัญหาใหญ่เหลือเกิน ความไม่เป็นประชาธิปไตยถูกสร้างไว้แบบเข้มแข็งมาก แต่ต้องช่วยกันฝ่าไปให้ได้ ใช้เวลาและความพยายาม” นายจาตุรนต์กล่าว
นักธุรกิจพันล้าน ขอหนุ่มสาวเปลี่ยนประเทศ ยันคนไทยไม่โง่ กล่าวหากันยาก ฝาก รบ.ใหม่ดึงโลกมองไทย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4047737
นักธุรกิจพันล้าน ขอหนุ่มสาวเปลี่ยนประเทศ ยันคนไทยไม่โง่ กล่าวหากันยาก ฝาก รบ.ใหม่ดึงโลกมองไทย
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน นาย
ประทีป วัชรโชคเกษม นักธุรกิจชื่อดัง รองประธานสหสมาคมตระกูลแซ่แห่งประเทศไทย อดีตที่ปรึกษาประธานรัฐสภา แสดงความเห็นในประเด็นตำแหน่ง ประธานสภา ระหว่าง พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กับ พรรคเพื่อไทย (พท.) ว่าการที่ประเด็นดังกล่าวยังไม่ลงตัวนั้น แม้จะส่งตัวแทนไปก็มีปัญหาทั้ง 2 ฝ่าย หากไปโหวตในสภาจะแพ้ทั้ง 2 พรรค เพราะการเมืองแบ่งเป็น 3 ก๊ก เมื่อเพื่อไทยและก้าวไกลแย่งกันก๊ก 188 เสียงชนะแน่นอน การเมืองเปลี่ยนแปลงทันที
“
ถ้า 2 พรรคแตกแยก คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้เป็นนายกฯตามความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถึงทหารออกมาก็แพ้ จะมีทหารหนุ่มเข้ากับพรรคก้าวไกล
“
ประเทศไทยเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงแล้ว วันนี้ประชาชนตกทุกข์ได้ยากเต็มประเทศ ต้องการให้คนหนุ่มสาวมาเปลี่ยนแปลงพัฒนา การไปกล่าวหาพวกเขา คนไทยรู้หมด คนไทยไม่โง่ ชาติไม่ใช่จะขายกันง่ายๆ ให้คนรุ่นใหม่เขาจัดการ แก้ทุจริตคอร์รัปชั่น ทำให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางของคนทั่วโลกที่อยากมาอยู่อาศัย ด้านอาหาร การแพทย์ ความปลอดภัย ที่อยู่อาศัยชั้นดี เป็นเขตเซฟตี้โซน” นาย
ประทีปกล่าว
ธปท.เผยดอกเบี้ยไทยต่ำที่สุดในอาเซียน เชื่อท่องเที่ยวดันศก.โต หวั่นนโยบายค่าจ้างดันเงินเฟ้อสูง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4047604
ธปท.เผยดอกเบี้ยไทยต่ำที่สุดในอาเซียน เชื่อท่องเที่ยวดันศก.โต หวั่นนโยบายค่าจ้างดันเงินเฟ้อสูง
นาย
เมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยระหว่างเป็นวิทยากร เสวนาย่อยเรื่อง ภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศไทย ภายในงานการประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลก ครั้งที่ 16 ว่า ปัจจุบันประเทศไทยค่อนข้างโชคดีที่อัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในอาเซียน ถือว่าเป็นประโยชน์กับการลงทุน ซึ่งในส่วนของนโยบายทางการเงินคงไม่ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว และแรงเหมือนกับประเทศ อื่นๆ สำหรับแนวโน้มการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะมาจากการท่องเที่ยว และการบริโภค โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ปานกลาง และผู้ที่มีรายได้สูง เนื่องจากไม่ได้บริโภค หรือไม่มีการใช้จ่ายในช่วงโควิด-19 ตอนนี้เริ่มมาใช้กันมากขึ้น มีซื้อสินค้าคงทนมากขึ้น
นาย
เมธี กล่าวอีกว่า ส่วนการส่งออกคาดว่าชะลอตัวลง ซึ่งมองว่าทั้งปี 2566 อาจติดลบแต่ไม่มาก ซึ่งต้องจับตาดูเศรษฐกิจโลกว่าเป็นอย่างไร จะได้รับผลกระทบจากนโยบายทางการเงินหรือไม่ รวมถึงต้องติดตามเรื่องปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ที่ปัจจุบันยังคาดเดาได้ยากว่าจะกระทบกับการค้าโลก ในช่วงที่เหลือของปี 2566 และในอนาคต ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง แต่ยังห่วงว่าถ้าการท่องเที่ยวเข้ามาเยอะ จะเข้ามาช่วยกระตุ้นความต้องการในประเทศเพิ่มขึ้นด้วยหรือไม่ ซึ่งสวนทางกับจำนวนแรงงานในภาคบริการที่ยังหายาก
“
ความผันผวนของตลาดการเงินโลก ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงิน หรือตลาดทุน จะมีความผันผวนสูงขึ้น ที่ผ่านมา ธปท. มีการควบคุมไม่ให้เกิดความผันผวนที่สูงเกินไป พร้อมสร้างเครื่องมือต่างๆ ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสามารถป้องกันความเสี่ยงได้มากขึ้น ในราคาที่ถูกลง แต่หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างรวดเร็ว จะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อมากขึ้นทันที” นาย
เมธี กล่าว
นาย
เมธี กล่าวว่า นอกจากนี้ ต้องติดตามนโยบายใหม่ของรัฐบาลชุดใหม่ ที่จะออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีผลต่อเรื่องการขาดดุลงบประมาณ และความยั่งยืนทางการคลัง รวมถึงเรื่องเงินเฟ้อในระยะยาวด้วย ทั้งนี้ ในเรื่องของพัฒนาระบบทางเรื่องการเงิน ในอนาคตไทยจะมีการร่วมมือกับธนาคารกลางของจีน ธนาคารกลางของฮ่องกง และธนาคารกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งเป็นเรื่อง ธปท. จะดำเนินการต่อไป
JJNY : 5in1 วันเกิดผู้แต่ง‘1984’│จาตุรนต์ย้ำต้องรักษา ความหวัง│นักธุรกิจพันล.ฝากรบ.│ธปท.หวั่นนโยบายค่าจ้าง│รัสเซียไม่ตอบ
https://www.matichon.co.th/book/news_4047781
ไม่ลืม : 25 มิถุนายน 2446 วันเกิด จอร์จ ออร์เวลล์ ผู้แต่ง ‘1984’
จอร์จ ออร์เวลล์ เกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1903 ตรงกับ พ.ศ.2446 เป็นบุตรชายของข้าราชการกรมฝิ่นในอาณานิคมอังกฤษ เข้าเรียนที่วิทยาลัยอีตัน ทำให้มองเห็นความแตกต่างทางชนชั้น ต่อมา ตัดสินใจเดินทางไปยังพม่าเพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นตำรวจ ยิ่งทำให้เห็นถึงความอยุติธรรม กระทั่งลาออกใน ค.ศ.1927 หลังป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเดินทางกลับอังกฤษ และประกอบอาชีพเป็น ‘นักเขียน’ ในปีถัดมา โดยใช้ปากกาเป็นอาวุธต่อสู้กับระบอบเผด็จการ
นวนิยายเรื่อง ‘1984’ (Nineteen Eighty-Four) ได้รับการตีพิมพ์ในวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.1949 ตรงกับ พ.ศ.2492 มีเนื้อหาแสดงด้านตรงข้ามของสังคมแบบยูโทเปีย โดยมีการเสียดสีการปกครองแบบอำนาจนิยม และเตือนภัยคุกคามของนาซี
วรรคทองของเรื่องซึ่งเป็นที่จดจำของคนทั้งโลก คือ ‘Big Brother is Watching You’
ระหว่างเขียนนวนิยายดังกล่าว จอร์จ ออร์เวล ล้มป่วยอยู่ในโรงพยาบาล และเสียชีวิตด้วยวัณโรคเมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ.1951 เพียง 2 ปีหลัง ‘1984’ ออกสู่สายตาโลก
นวนิยายเรื่องนี้ ยังมีบทบาทในการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ในการเมืองร่วมสมัยของไทย โดยนักกิจกรรมที่ต่อต้านการรัฐประหาร เคยนำไป ‘ยืนอ่าน’ พร้อมรับประทานแซนด์วิช ในจุดต่างๆ อาทิ สกายวอล์ก แยกปทุมวัน, หน้าสถานทูตสหรัฐ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการ เมื่อพ.ศ.2557 ก่อนโดนรวบตัวดำเนินดคี
หลังจากนั้น ยังคงมีผู้ใช้นวนิยายเรื่องดังกล่าวในการแสดงออกทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในแฟลชม็อบคนรุ่นใหม่ในพ.ศ.2563 รวมถึงในกิจกรรม ‘ยืนหยุดขัง’ หน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนิน ซึ่งจัดโดยกลุ่มพลเมืองโต้กลับ
จาตุรนต์ ย้ำต้องรักษา ‘ความหวัง’ คนไทย แก้กติกาไม่ ปชต. ถ้าทำไม่ได้ ลูกหลานหมดอนาคต
https://www.matichon.co.th/politics/news_4047699
จาตุรนต์ ย้ำต้องรักษา ‘ความหวัง’ คนไทย แก้กติกาไม่ ปชต. ถ้าทำไม่ได้ ลูกหลานหมดอนาคต
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา สถาบันปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดเสวนา “เราจะรักษาชัยชนะก้าวแรกของประชาชน (และก้าวต่อๆ ไป) ไว้ได้อย่างไร”
ในตอนหนึ่ง นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในแง่ประชาชนล้มเผด็จการ เมื่อเทียบเคียงเหตุการณ์ในเวลาต่อๆ มาจะพบว่า 14 ตุลาคม เป็นชัยชนะร่วมกันของหลายฝ่ายที่ไม่พอใจทรราช
ต่อมา กระแสสังคมนิยมเข้ามาในประเทศไทย ชนชั้นนำและเผด็จการผนึกกำลังต่อต้านขบวนการนักศึกษา นำมาซึ่งเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 และรัฐประหารในเวลาต่อมา
สำหรับเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ เป็นการร่วมกันของหลายฝ่ายที่ไม่พอใจ จปร.5 ที่มีอำนาจ นำโดยชนชั้นนำในกองทัพ ชนชั้นนำในฝ่ายอนุรักษนิยม ร่วมกับพลังประชาชนและสื่อมวลชน ล้มรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ลงไป แต่ก็ยังไม่ได้สร้างระบบที่ถาวร อย่างไรก็ตาม ในแง่ดีคือนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ และมีการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 ซึ่งมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยโดยประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด และใช้รัฐธรรมนูญเต็มรูปแบบในปี 2544
ต่อมา เกิดปรากฏการณ์ “ประชาธิปไตยกินได้” คือพรรคการเมืองเสนอนโยบาย ประชาชนเลือกพรรคการเมืองไปเป็นรัฐบาล ประชาชนได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง และมีความรู้สึกว่าการเลือกตั้งมีประโยชน์ต่อชีวิตเขาจริงๆ ในแง่ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาได้ฝังรากลึกในความรู้สึกของคนไทย
ต่อมา เกิด รัฐประหารปี 2549 เป็นรัฐประหารเสียของคือ ยึดรัฐธรรมนูญแล้วยุบพรรคการเมือง ปลดนายกฯได้ตามใจ เมื่อ การเลือกตั้งปี 2554 เสียของ คือยังได้รัฐบาลที่คณะรัฐประหารไม่ถูกใจ
นายจาตุรนต์กล่าวว่า รัฐประหารปี 2549 และ 2557 หากเทียบเคียงสิ่งที่คณะราษฎรต้องการคือมีรัฐธรรมนูญ กล่าวคือทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายสูงสุด อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎร เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากในประเทศนี้คือคณะรัฐประหารใช้กลไกระบอบประชาธิปไตย 3 อย่างคือ รัฐธรรมนูญ ประชามติ และ การเลือกตั้ง ใช้สิ่งที่อารยประเทศมองว่าเป็นเรื่องของประชาธิปไตย แต่มันถูกใช้ให้บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยใช้อย่างไม่ถูกต้องตามกติกาและทำให้ได้กติกาที่พิกลพิการ โดยใช้ประชามติที่เป็นการโกง
ต่อมามีการเลือกตั้งที่มี ส.ว.250 คน รวมทั้งมีองค์กรอิสระต่างๆ ศาลรัฐธรรมนูญที่พร้อมจะจัดการกับพรรคการเมืองที่จะเป็นรัฐบาล การรัฐประหารปี 2557 ทำให้ประเทศย้อนหลังมาก นำไปสู่การปกครองแบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดถึง 5 ปี ยังคงปัญหามาจนทุกวันนี้คือ ส.ว.250 คน
นายจาตุรนต์กล่าวอีกว่า เราจะรักษาชัยชนะอย่างไร ที่พูดมาไม่ใช่ชัยชนะเลย ประเทศนี้ยังมีปัญหากับความไม่เป็นประชาธิปไตยที่ใหญ่มาก ชัยชนะก้าวที่สำคัญคือ 20 ปีอย่างน้อยมานี้ประชาชนตื่นตัวอย่างกว้างขวางกว่าและลึกกว่ามากในยุคสมัยใดๆ ในเรื่องอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เรามีชัยชนะจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาที่ประชาชนได้แสดงออกถึงการไม่ยอมรับพวกที่มาจากการยึดอำนาจ ซึ่งเป็นชัยชนะความก้าวหน้าที่สำคัญ แต่อยู่ในภายใต้กติกาที่หมายความว่า 313 เสียงนี้ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองในพรรคอื่น หรือ ส.ว.250 ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก เพราะดูจากการเคลื่อนไหวของฝ่ายที่ไม่ต้องการให้เกิดการตั้งรัฐบาลโดยที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
“จะรักษาชัยชนะนี้อย่างไร ในขั้นแรกจะตั้งรัฐบาลประชาธิไตยได้อย่างไร ทำอย่างไรไม่ให้เกิดการสลับขั้วย้ายข้าง มีของวิเศษที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ส.ว. อยู่ได้แค่อีกปีเดียว เมื่อ ส.ว.หมดอำนาจ 313 เสียงตั้งรัฐบาลได้แน่นอน ถ้าไม่สลับขั้วไปเสียก่อน
“สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือรักษาศักยภาพความเข้าใจของประชาชนไทย ความหวังของประชาชนไทยเอาไว้ เรื่องใหญ่กว่านั้นคือการแก้กติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งยากมาก เพราะเขียนรัฐธรรมนูญไว้แบบที่ไม่ให้ใครแก้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ประเทศไทยก็ล้าหลัง ลูกหลานไม่มีอนาคตกันหมดทั้งประเทศ คนไทยจะยอมทำไม ในเมื่อตอนเลือกตั้งก็แสดงออกมาแล้ว 313 เสียง ถ้าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเป็นเอกภาพ องค์กรต่างๆ ที่ต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยไปในทางเดียวกัน รักษาพลังประชาชนไว้ และมีทิศทางร่วมกันก้าวไปสู่การทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย สิ่งที่ต้องทำคือ ตระหนักว่าปัญหาใหญ่เหลือเกิน ความไม่เป็นประชาธิปไตยถูกสร้างไว้แบบเข้มแข็งมาก แต่ต้องช่วยกันฝ่าไปให้ได้ ใช้เวลาและความพยายาม” นายจาตุรนต์กล่าว
นักธุรกิจพันล้าน ขอหนุ่มสาวเปลี่ยนประเทศ ยันคนไทยไม่โง่ กล่าวหากันยาก ฝาก รบ.ใหม่ดึงโลกมองไทย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4047737
นักธุรกิจพันล้าน ขอหนุ่มสาวเปลี่ยนประเทศ ยันคนไทยไม่โง่ กล่าวหากันยาก ฝาก รบ.ใหม่ดึงโลกมองไทย
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน นายประทีป วัชรโชคเกษม นักธุรกิจชื่อดัง รองประธานสหสมาคมตระกูลแซ่แห่งประเทศไทย อดีตที่ปรึกษาประธานรัฐสภา แสดงความเห็นในประเด็นตำแหน่ง ประธานสภา ระหว่าง พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กับ พรรคเพื่อไทย (พท.) ว่าการที่ประเด็นดังกล่าวยังไม่ลงตัวนั้น แม้จะส่งตัวแทนไปก็มีปัญหาทั้ง 2 ฝ่าย หากไปโหวตในสภาจะแพ้ทั้ง 2 พรรค เพราะการเมืองแบ่งเป็น 3 ก๊ก เมื่อเพื่อไทยและก้าวไกลแย่งกันก๊ก 188 เสียงชนะแน่นอน การเมืองเปลี่ยนแปลงทันที
“ถ้า 2 พรรคแตกแยก คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้เป็นนายกฯตามความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถึงทหารออกมาก็แพ้ จะมีทหารหนุ่มเข้ากับพรรคก้าวไกล
“ประเทศไทยเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงแล้ว วันนี้ประชาชนตกทุกข์ได้ยากเต็มประเทศ ต้องการให้คนหนุ่มสาวมาเปลี่ยนแปลงพัฒนา การไปกล่าวหาพวกเขา คนไทยรู้หมด คนไทยไม่โง่ ชาติไม่ใช่จะขายกันง่ายๆ ให้คนรุ่นใหม่เขาจัดการ แก้ทุจริตคอร์รัปชั่น ทำให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางของคนทั่วโลกที่อยากมาอยู่อาศัย ด้านอาหาร การแพทย์ ความปลอดภัย ที่อยู่อาศัยชั้นดี เป็นเขตเซฟตี้โซน” นายประทีปกล่าว
ธปท.เผยดอกเบี้ยไทยต่ำที่สุดในอาเซียน เชื่อท่องเที่ยวดันศก.โต หวั่นนโยบายค่าจ้างดันเงินเฟ้อสูง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4047604
ธปท.เผยดอกเบี้ยไทยต่ำที่สุดในอาเซียน เชื่อท่องเที่ยวดันศก.โต หวั่นนโยบายค่าจ้างดันเงินเฟ้อสูง
นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยระหว่างเป็นวิทยากร เสวนาย่อยเรื่อง ภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศไทย ภายในงานการประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลก ครั้งที่ 16 ว่า ปัจจุบันประเทศไทยค่อนข้างโชคดีที่อัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในอาเซียน ถือว่าเป็นประโยชน์กับการลงทุน ซึ่งในส่วนของนโยบายทางการเงินคงไม่ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว และแรงเหมือนกับประเทศ อื่นๆ สำหรับแนวโน้มการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะมาจากการท่องเที่ยว และการบริโภค โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ปานกลาง และผู้ที่มีรายได้สูง เนื่องจากไม่ได้บริโภค หรือไม่มีการใช้จ่ายในช่วงโควิด-19 ตอนนี้เริ่มมาใช้กันมากขึ้น มีซื้อสินค้าคงทนมากขึ้น
นายเมธี กล่าวอีกว่า ส่วนการส่งออกคาดว่าชะลอตัวลง ซึ่งมองว่าทั้งปี 2566 อาจติดลบแต่ไม่มาก ซึ่งต้องจับตาดูเศรษฐกิจโลกว่าเป็นอย่างไร จะได้รับผลกระทบจากนโยบายทางการเงินหรือไม่ รวมถึงต้องติดตามเรื่องปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ที่ปัจจุบันยังคาดเดาได้ยากว่าจะกระทบกับการค้าโลก ในช่วงที่เหลือของปี 2566 และในอนาคต ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง แต่ยังห่วงว่าถ้าการท่องเที่ยวเข้ามาเยอะ จะเข้ามาช่วยกระตุ้นความต้องการในประเทศเพิ่มขึ้นด้วยหรือไม่ ซึ่งสวนทางกับจำนวนแรงงานในภาคบริการที่ยังหายาก
“ความผันผวนของตลาดการเงินโลก ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงิน หรือตลาดทุน จะมีความผันผวนสูงขึ้น ที่ผ่านมา ธปท. มีการควบคุมไม่ให้เกิดความผันผวนที่สูงเกินไป พร้อมสร้างเครื่องมือต่างๆ ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสามารถป้องกันความเสี่ยงได้มากขึ้น ในราคาที่ถูกลง แต่หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างรวดเร็ว จะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อมากขึ้นทันที” นายเมธี กล่าว
นายเมธี กล่าวว่า นอกจากนี้ ต้องติดตามนโยบายใหม่ของรัฐบาลชุดใหม่ ที่จะออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีผลต่อเรื่องการขาดดุลงบประมาณ และความยั่งยืนทางการคลัง รวมถึงเรื่องเงินเฟ้อในระยะยาวด้วย ทั้งนี้ ในเรื่องของพัฒนาระบบทางเรื่องการเงิน ในอนาคตไทยจะมีการร่วมมือกับธนาคารกลางของจีน ธนาคารกลางของฮ่องกง และธนาคารกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งเป็นเรื่อง ธปท. จะดำเนินการต่อไป