JJNY : พรสันต์อธิบาย ทำไม ‘ไม่กังวล’ ม.151│ผอ.สาธิต มธ.มอง ‘หยก’ │เศรษฐารับฟังข้อเสนอ 24 กลุ่ม│‘ศิธา’ โต้ ‘สาธิต’

พรสันต์ อธิบาย ทำไม ‘ไม่กังวล’ ม.151 เชื่อพิธา ‘ไม่ซ้ำรอยธนาธร’
https://www.matichon.co.th/politics/news_4037659
 
 
 
พรสันต์ อธิบาย ทำไม ‘ไม่กังวล’ ม.151 เชื่อพิธา ‘ไม่ซ้ำรอยธนาธร’

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผศ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์มติชนทีวี ในรายการ มีเรื่องมาเคลียร์ by ศิโรตม์ โดยในตอนหนึ่งกล่าวถึงประเด็นศาลรัฐธรรมนูญจะสามารถวิฉัยได้อย่างไร ในเมื่อศาลาอาญายังไม่ได้ตัดสิน

ผศ.ดร.พรสันต์กล่าวว่า ในทางรัฐธรรมนูญเรื่องของการตรวจสอบ หากเป็นกรณีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นทางหนึ่ง ส่วนการดำเนินคดีอาญา เอาความผิดและการลงโทษในทางอาญาก็จะเป็นอีกทางหนึ่ง ถ้าเราลองย้อนกลับไป อย่างกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และอดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในปี 2562 ที่ถูกร้องเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ส. ในการถือหุ้นในกิจการสื่อเช่นเดียวกัน สุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำวินิจฉัยบอกว่าคุณธนาธรผิดจริง หลังจากนั้น กกต.ไปดำเนินคดีตามมาตรา 151 เช่นเดียวกันเพื่อจะทำการลงโทษทางอาญา
 
บอกว่านี่ไงเพราะว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วบอกว่าคุณถือหุ้นผิดจริง เราเลยไปดำเนินคดีบอกว่า คุณรู้แล้วว่าคุณผิดนะแต่คุณไปลงสมัคร ฉะนั้นคุณก็ต้องโดนลงโทษในทางอาญา แต่สุดท้ายทางอัยการพิจารณาศาลไม่ฟ้อง” ผศ.ดร.พรสันต์กล่าว
 
ผศ.ดร.พรสันต์กล่าวว่า ลักษณะของการทำงานของระบบกฎหมายแบบนี้ เราก็จะพบว่ามันเป็นการฟังก์ชั่นคู่ขนานกัน ซึ่งมันแยกกลไกในการทำงานของมันได้ ดังนั้น กรณีนี้ถ้ามาเทียบเคียงอยู่กับกรณีของทางคุณพิธาก็อาจจะเป็นกรณีแบบนั้นได้

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสุดท้ายแล้ว มาตรา 151 กับกรณีของคุณพิธาน่าจะเป็นลักษณะของการกล่าวหาซึ่งนำไปสู่การเรียกร้องให้คุณพิธารับผิดได้ค่อนข้างยากพอสมควร เพราะมันต้องมีการพิสูจน์พยานหลักฐาน มีการตรวจสอบการตัดสินของศาลอาญา คดีอาญาต่างๆ ซึ่งค่อนข้างจะคุ้มครองสิทธิของประชาชนค่อนข้างเยอะ การตีความก็จะค่อนข้างเคร่งครัด มีพยานหลักฐานที่ต้องชัดเจนมากจริงๆ ฉะนั้นมาตรา 151 ผมกลับไม่ค่อยเห็นถึงความกังวลสักเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าเป็นกรณีของมาตรา 82 นั่นก็จะเป็นอีกประเด็นหนึ่งเพราะว่ามันอาจจะไปเชื่อมโยงกับผลในทางการเมืองได้ ในการเข้าไปโหวตในสภา” ผศ.ดร.พรสันต์กล่าว
  
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 


ผอ.สาธิต มธ.มอง ‘หยก’ อารยะขัดขืนกติกาไม่เป็นธรรม สู้เพื่อ น.ร.ทุกคน ไม่ใช่หวังย้ายโรงเรียน
https://www.matichon.co.th/education/news_4037534
 
ผอ.สาธิตธรรมศาสตร์ มอง ‘หยก’ อารยะขัดขืนกติกาไม่เป็นธรรม ขอให้เห็นความผิดปกติใน ‘กฎระเบียบ’ ไม่ใช่อยากย้ายโรงเรียน หวังสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงให้ ‘นักเรียนทุกคน’ งงคนกดดันให้รับมาเรียน ไหนบอกตัวเองเคารพกฎกติกาโรงเรียน?
 
จากกรณีที่ น.ส.ธนลภย์ หรือ หยก เยาวชนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง อายุ 15 ปี แต่งกายด้วยชุดไปรเวต ยืนยันจะเข้าเรียน ซึ่งหยกเดินเข้าประตูโรงเรียนโดยไม่ถูกขัดขวาง ทว่ามีตำรวจหญิงสังกัดอารักขาควบคุมฝูงชน หรือกองร้อยน้ำหวาน จำนวนมากเข้าไปในพื้นที่โรงเรียนด้วย
 
อย่างไรก็ดี ยังมีคนจำนวนหนึ่งเข้าใจการสื่อสารและตีความการแสดงออกของ “หยก” ผิดประเด็น โดยผลักไสให้ไปเรียน กศน.ที่ไม่ติดขัดเรื่องเครื่องแบบ รวมถึงชื่อของ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ถูกพาดพิง ด้วยเข้าใจว่า “ไม่มีเครื่องแบบ” ให้เสรีภาพแก่นักเรียน กระทั่งผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนสาธิต มธ.ออกมายืนยันว่า โรงเรียนนี้มีเครื่องแบบ
 
ล่าสุด อธิษฐาน์ คงทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุทางเฟซบุ๊กถึงการแสดงออกของ “หยก” เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา ความว่า 
 
เราคิดว่าประเด็นของ น้องหยก เขาไม่ได้อยากย้ายโรงเรียนนะ การย้ายโรงเรียนไม่ว่าจะไปที่ไหนๆ ไม่ได้จบปัญหานี้ เพราะกฎเดิมในระบบกระแสหลักไม่เปลี่ยนแปลง (จะยังคงมีนักเรียนอีกหลายคนที่ถูกทำโทษเรื่องการแต่งกาย ถูกทำให้อับอายหรือกดดัน) และประเด็นจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องการแต่งกาย หรือทรงผมด้วย (อย่าหลงประเด็นกันนะพวกเรา)
 
มันคือเรื่องของ การต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อเรียกร้องกติกาที่เป็นธรรมกับนักเรียนทุกคน (ถ้าเขาแค่อยากแต่งไปรเวตไปเรียนเพื่อตัวเองมันมีทางเลือกอื่นๆ ให้เขาทำได้โดยไม่ต้องเปลืองตัว ไม่ต้องถูกสังคมรุมประณามตัดสินได้อีกมากมาย)
 
เราคิดว่าน้องเขากำลังใช้การฝ่าฝืนกฎการแต่งกายเป็นเครื่องมือการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ในทางสันติวิธีเรียกว่า “อารยะขัดขืน” คือต่อสู้แบบดื้อเพ่งเพื่อต่อต้านกฎหมาย หรือกติกาที่ไม่เป็นธรรม เพื่อให้สังคมและผู้มีอำนาจหันมาฟัง หันมารับรู้และถกเถียงกันถึงความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ภายใต้กติกากฎระเบียบที่คนส่วนใหญ่คิดว่ามันปกติ และเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อร่วมกันสร้างกติกาใหม่ที่เป็นธรรมยิ่งกว่าเดิม (มีคนบอกว่าหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้หยกตัดสินใจออกมาเรียกร้อง คือข่าวที่น้องนักเรียนคนหนึ่งฆ่าตัวตายเพราะถูกบังคับให้ตัดผม)

แทนที่จะชี้นิ้วโทษเด็กอายุ 15 แล้วไล่เขาไปโรงเรียนอื่น หรือมาสั่ง มากดดันให้โรงเรียนอื่นรับน้องเข้ามา (เรายังงงๆ ว่าคนพวกนี้เขามีอำนาจอะไรที่มาสั่งให้โรงเรียนอื่นรับ หรือไม่รับใคร ไหนบอกตัวเองเคารพกฎกติกาโรงเรียน??)
 
ทำไมเราไม่เอะใจกับปัญหา แล้วหันมามองว่ามันมีความเป็นไปได้อื่นๆ อะไรได้อีกบ้างที่จะช่วยให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาที่ดี มีส่วนร่วมในการทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนได้จริงๆ
 
ท่าทีของน้องอาจจะดูแข็งกร้าวจี๊ดดใจ ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนปั่นป่วน เขย่าโลกแห่งความดีงามและความเชื่อว่าเด็กต้องเคารพและเชื่อฟังผู้ใหญ่ หลายคนมีความกลัวที่จินตนาการไปไกลว่าต่อไปเด็กๆ ทุกคนจะลุกขึ้นมาเรียกร้องทำตามใจตนเองไม่เคารพสิทธิคนอื่นไม่เคารพกติกาสังคม ฯลฯ มีความกลัว+ความโกรธอีกมายมายที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาจากเหตุการณ์นี้ และหลายสิ่งที่เรากลัวก็เป็นสิ่งที่เราคิดอนุมานเอาเองโดยไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ดราม่าจึงบังเกิด
 
เราเคยคุยกับครูที่ตั้งใจทำงานในระบบโรงเรียนรัฐหลายคน ครูหลายคนก็อึดอัดใจและมีความอิหยังวะกับระเบียบราชการ หรือธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่างที่ไม่ make sense และไม่เป็นธรรมกับครู (คือมันอาจจะดีในยุค 30-50 ปีก่อน แต่ตอนนี้มันอาจจะไม่ใช่แล้ว) แต่เขาก็ไม่กล้าพูด เพราะมันมีความเสี่ยงต่อหน้าที่การงานความมั่นคงหลายอย่างของชีวิต
 
แต่สำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างหยกเขากล้าที่จะแลกและไม่กลัวที่จะเสี่ยง (จำได้ว่าเราในวัยเท่าเขายังไม่กล้าขนาดนี้ ออกแนวเด็กดีเชื่องและเชื่อฟัง สมาทานกับสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกว่าดีจงทำตาม คือวันๆ ในวัยนั้นคิดแต่จะไปถึงโรงเรียนทันไหม ส่งการบ้านทันไหม จะสอบผ่านไหม เพื่อนจะคิดยังไง ครูจะด่าไหม จะได้เกรดดีไหม ไม่เคยรู้เรื่องโครงสร้างสังคมเรื่องความเป็นธรรมอะไรเลย เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เคยถูกพูดถึง หรือถูกตั้งคำถามในโรงเรียน)
 
ปล.นี่เพิ่งเรียนเรื่องทักษะวัฒนธรรมมา เขาชี้ให้เห็นอคติ/ความเชื่อของผู้คนว่ามันทำงานอัตโนมัติอย่างไร หลายครั้งคนคิดว่าสิ่งที่ตนคิดและอนุมานเอาคือ ความจริง+อคติที่มีอยู่เดิม (ทั้งด้านบวกด้านลบ) ทำให้ยิ่งปักใจเชื่อสุดๆ และตัวเราเองในฐานะคนทำงานต้องตระหนักรู้ตัว เราเองก็มีอคติไม่ต่างจากคนอื่นแต่ขอให้ทันตัวเอง อย่าปักใจเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองคิดถูกต้องที่สุด ก็ถือว่าได้ฝึกจิตฝึกใจ ฝึกวิชากับดราม่าของสังคมของจริงอ่ะเนอะ

https://www.facebook.com/athithak/posts/pfbid02fMLrtf8ZwQd1d6eFDHc8md6SyzXYTukiy77V55sEtuf2U9YTEqkWXvkR19LQJzcCl
 


เศรษฐา ใส่เสื้อคราฟท์แพร่ รับฟังข้อเสนอ 24 กลุ่มเศรษฐกิจแพร่ หาทางออก-เสริมสร้างรายได้
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7722884
เศรษฐา ใส่เสื้อคราฟท์แพร่ รับฟังข้อเสนอ 24 กลุ่มเศรษฐกิจแพร่ หาทางออก-เสริมสร้างรายได้ให้ประชาชน ตัวแทนกลุ่มโอด 9 ปีถูกรัฐบาลประยุทธ์ทอดทิ้ง ยกพท.คือความหวังสร้างศก.ดี
 
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 19 มิ.ย.66 ที่โรงแรมแพร่นครา นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย (พท.) นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานนโยบายด้านเกษตรพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล และนพ.นิยม วิวรรธนดิฐกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ร่วมสัมมนา “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเหนือ” และรับฟังความเห็นจากตัวแทน 24 กลุ่มเศรษฐกิจจ.แพร่ โดยมีนายนพพล เหลืองทองนารา ว่าที่ ส.ส.พิษณุโลก นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ น.ส.ศรีโสภา โกฏคําลือ ว่าที่ส.ส.เชียงใหม่ นายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ ว่าที่ ส.ส.น่าน นายรังสรรค์ มณีรัตน์ ว่าที่ ส.ส.ลำพูน พรรคพท.ร่วมเสวนา
 
ก่อนเริ่มกิจกรรม นายเศรษฐาและคณะ ได้เลือกสวมใส่เสื้อชุดม่อฮ่อมที่ผ่านการออกแบบใหม่โดย “กลุ่มแพร่คราฟท์” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในจ.แพร่ ที่เลือกใช้ผ้าพื้นเมือง และสีย้อมธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี รักษ์โลกผ่านการออกแบบ-ตัดเย็บโดยคนรุ่นใหม่ ตัดผ้าฝ้ายย้อมของล้านนาให้ออกมาทันสมัย แปลกตา โดนใจวัยรุ่น กระทั่งมีคนแซวนายเศรษฐา ส.ส.แพร่ และทีมงานพรรคเพื่อไทยว่า “หล่อกระชากวัยเลย
 
จากนั้นได้มีการเปิดโอกาสให้ตัวแทนจากกลุ่มต่างๆลุกขึ้นบอกเล่าถึงปัญหา และเสนอความต้องการ แนวทางแก้ไขปัญหาต่อพรรคพท.โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มเกษตรกรรม กลุ่มหัตถกรรม และกลุ่มธุรกิจ/อุตสาหกรรม
 
จากนั้นตัวแทนภาคเอกชน ได้สะท้อนปัญหาพร้อมข้อเสนอว่าต้องการการปรับปรุงและขยายสนามบิน หลังจากที่มีเที่ยวบินมานานกว่า 10 ปี โดยวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมาต้องประกาศหยุดบิน ทำให้เกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และการลงทุนในจังหวัดเป็นอย่างมาก วันนี้จ.แพร่มีความพร้อมในการขยายสนามบิน แต่ขาดการดำเนินการอย่างจริงจังโดยรัฐ อีกประเด็นคือการขยายถนน เพราะเส้นทางการคมนาคมของเราโดยล้อมโดยภูเขา และป่าไม้ ทำให้เราขยายเส้นทางในการคมนาคมได้ลำบาก จึงฝากเรื่องนี้ให้พิจารณาแก้ไขด้วย สำคัญที่สุดสำหรับภาคเอกชน คือ การลดต้นทุนการผลิตไม่ว่าจะเป็นราคาปุ๋ย ราคาพลังงาน และภาษี สุดท้ายเรื่องการท่องเที่ยว เรามีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงาม มีอาหาร และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ยังขาดการวางแผน และการโปรโมทการท่องเที่ยวให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวอีกเมืองหนึ่ง
 
ตัวแทนหอการค้าจ.แพร่ ระบุว่า เราต้องการบูทเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว ปรับปรุงจากสิ่งที่มีให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเราเพิ่งเผชิญกับวิกฤติโควิดมา การท่องเที่ยวเป็นหน่วยที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่การท่องเที่ยวก็เป็นสิ่งที่จะสามารถึงเม็ดเงินกลับมาได้ไวที่สุดด้วยเช่นกัน จ.แพร่ เรามีพื้นที่ป่ามากกว่า 80% ซึ่งเราสามารถโปรโมทการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและอันซีนได้ เราอยากให้มีการเปิดเส้นทางท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามใหม่ นอกจากนี้ เราต้องการเติมเงินเข้าจังหวัด เพื่อขยายการเติบโตของธุรกิจโรงแรม เราอยากให้รัฐช่วยสนับสนุนการจัดกิจกรรม หรืออีเว้นท์ต่างๆเพื่อให้กับพื้นที่ และธุรกิจโรงแรมได้มีเม็ดเงินมาเติมกำลังต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่