ผมขับแกร๊บฟู้ด แกร๊บวิน แกร๊บเอ๊กซ์เพรส มา 5 ปีแล้ว รายได้รวม ๆ 5 ปีกับการขี่มอเตอร์ไซค์ถือว่าดีมาก ซื้อมอเตอร์ไซค์ได้ 3 คันสบาย ๆ มีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไปเที่ยวไปกินนู่นนี่ได้บ้าง จนกระทั่งล่าสุดแกร๊บปรับค่ารอบขั้นต่ำการส่งอาหารเหลือรอบละ 21 บาท ผมจึงต้องหาหนทางใหม่ จะเปลี่ยนไปขี่มอเตอร์ไซค์รับส่งคนอย่างเดียวก็เริ่มไม่ค่อยไหว อายุเยอะแล้วรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะขี่ทำยอดได้ถึงพันบาทต่อวัน
จะไปซื้อรถยนต์น้ำมันมาขับแกร๊บคาร์ก็เห็นมีแต่คนบ่นในกลุ่มจนเราท้อ ทั้งค่าน้ำมันที่แพงขึ้น ค่ารอบที่ดูจะน้อยลง บางช่วงก็งานน้อย ไหนจะค่าเสื่อมรถค่าบำรุง ค่าประกันชั้นหนึ่ง จึงเลิกคิดไป พอติดตามข่าวสารเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าก็มีแต่คันละเป็นล้าน ในช่วงแรก ๆ ก็มีไม่กี่ตัว แพง ๆ ทั้งนั้น จนกระทั่งมีข่าว Neta V จะมาทำตลาดในไทยและมีราคาคาดการณ์ไว้ที่ 5xx,xxx บาท ผมนี่ถึงกับ เฮ้ย! นี่อาจจะเป็นทางเลือกก็ได้
ผมจึงเริ่มทำการศึกษาโดยการไล่อ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับรถไฟฟ้า รวมถึงรายละเอียด Neta V ด้วย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมก็รีบโอนเงินไปจองที่ศูนย์ทันทีก่อนที่จะมีการเปิดให้ทดสอบขับขี่ พอได้ทดสอบจริงก็รับได้ เทียบกับราคาต่อเทคโนโลยีที่ได้มาก็คิดว่าคุ้มค่า ลองศึกษาอัตราค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรก็รู้สึกว่านี่แหละใช่เลย เมื่อผมจองไปแล้วก็รออย่างมีความหวัง ขับมอเตอร์ไซค์ส่งอาหารและรับคนไปก่อน จากนั้นก็ขายมอเตอร์ไซค์เอาเงินไปวางดาวน์รถยนต์ และเมื่อได้รถยนต์และได้ทะเบียนมาแล้วก็ทำการสมัครแอพลิเคชั่นทันที แอพฯ แรกที่สมัครเสร็จพร้อมวิ่งคือ Indriver เพราะขั้นตอนรวดเร็ว สมัครวันนั้นก็เริ่มงานวิ่งได้เงินเลย จากนั้นก็ไล่สมัคร Grab, Bolt, Maxim
ผมจะพูดถึงข้อดีของรถไฟฟ้า Neta V หากเอามาใช้รับส่งคน ข้อแรกเลยคือเรื่องค่าพลังงานที่ใช้ จะพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ รถน้ำมันต้องจ่ายค่าพลังงานประมาณ 30% ของยอดรายได้ แต่รถไฟฟ้าใช้เพียงแค่ประมาณ 10% ถ้ารถน้ำมันวิ่งหาเงินทั้งวันได้พันนึง ต้องหักค่าน้ำมันไปแล้วสามร้อย แต่รถไฟฟ้าจ่ายค่าไฟไปแค่ร้อยเดียว ข้อดีเรื่องประหยัดค่าพลังงานไม่ใช่มีแค่ประหยัดไปเหลือหนึ่งในสามอย่างเดียว แต่มันยังทำให้เรากล้ารับงานที่คนอื่นคิดว่าไม่คุ้มด้วย หรืองานที่ต้องไปรับลูกค้าไกล เราจะไม่มัวมาคิดอิดออดว่าไม่คุ้มค่าน้ำมัน ทำให้เราไล่เก็บงานเล็กงานน้อยได้โดยที่ไม่ต้องคอยคัดงานทิ้ง โดยส่วนตัวแล้วผมชอบมาก งานที่รับส่งใกล้ ๆ จบงานเร็ว ๆ วนเวียนอยู่ในโซนที่เราคุ้นเคยไม่ออกไปไกล
ข้อดีข้อต่อไปคือ หน้าจอใหญ่สามารถฉายภาพหน้าจอโทรศัพท์ของเราขึ้นไปได้เลย ตรงนี้ผมคิดว่ามีประโยชน์มหาศาล เพราะว่าเท่าที่ผมใช้ ผมมี 4 แอพฯ เปิดงานพร้อมกัน แอพฯ ไหนงานเข้าหน้าจอจะแสดงรายละเอียดต้นทางปลายทางและราคา ในแต่ละแอพอย่างแกร๊บและโบลต์ มีเวลาแค่ 20 วินาทีให้เราต้องตัดสินใจว่าจะรับงานหรือไม่รับ อินไดรเวอร์จะขึ้นมาเป็นลิสท์รายการให้เราเลือกกดเสนอราคา จอใหญ่ข้อดีคือผมแค่เหลือบตาไปก็เห็นแล้ว แต่ถ้าเป็นจอจากโทรศัพท์ผมคิดว่าต้องเพ่งสายตาดูและต้องละสายตาจากถนนนานกว่า และบนหน้าจอใหญ่เป็นระบบ touch screen สามารถกดรับงานหรือปัดงานบนนั้นได้เลย ทำให้เราจิ้มปุ่มได้แม่นยำกว่าจิ้มบนหน้าจอโทรศัพท์
รถที่ค่อนข้างเล็ก วงเลี้ยวที่แคบมาก เพิ่มความคล่องตัวในสภาพการจราจรที่หนาแน่น ในบางครั้งเราวิ่งรถวนรอบเมืองเพื่อหางาน ในจังหวะที่งานเข้าและเรากดรับงานแล้ว เมื่อเราดูที่อยู่ลูกค้าแล้วเราต้องเปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน เช่นต้องรีบเปลี่ยนเลน ข้อดีของรถคันเล็กคือเราสามารถเบี่ยงเปลี่ยนเลนและเปิดไฟเลี้ยวไว้ก่อน โดยที่ยังไม่ต้องแทรกตัดหน้าใคร รอให้รถคันอื่นเปิดทางให้เราเองแล้วเราค่อยไป หรือในจังหวะที่บางครั้งเราต้องกลับรถเกาะกลางสี่แยก รถ Neta V สามารถกลับรถได้ภายในเลนเดียว ไม่มีการโค้งบานออกเลนอื่น หรือการจอดแอบข้างทางโดยไม่กีดขวางคันอื่นมากเกินไปนัก
ระบบแป้นเหยียบเดียว อันนี้ก็ช่วยได้มากเลย ระบบนี้คือหากเราเหยียบคันเร่งน้อย รถก็จะเคลื่อนตัวช้า กดลงไปอีกหน่อย ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นตามน้ำหนักเท้า หากเหยียบมิดเลยรถก็จะใช้ความเร็วสูง หากเราค่อย ๆ คลายเท้า มอเตอร์ก็จะหน่วงคล้าย ๆ มีการเหยียบเบรก หากคลายเท้าเยอะมอเตอร์ก็จะหน่วงเยอะ หากยกเท้าออกเลย มอเตอร์ก็จะหน่วงจนรถหยุดนิ่ง และจะหยุดนิ่งอย่างนุ่มนวลไม่ใช่เหมือนการเบรกหัวทิ่ม หากเราขับรถที่ไม่ได้ใช้ระบบแป้นเหยียบเดียวเราจะรู้สึกเหนื่อยเพราะต้องคอยเหยียบเบรกชะลอรถด้วย หากวิ่งทั้งวันความเหนื่อยก็จะค่อย ๆ สะสมไว้และจะล้าในที่สุด ระบบแป้นเหยียบเดียวคือใช้ขาข้างเดียวควบคุมทั้งการขยับเคลื่อนไปข้างหน้าและชลอรถจนถึงหยุดนิ่งได้ เวลาเข้าโค้งเพียงแค่ถอนเท้าออกจากแป้นนิดเดียวรถก็ชะลอในโค้งแล้ว จากที่ผมวิ่งวันละร้อยกว่าโล บางวันถึงสองร้อยโล ในแต่ละวันหลังจบงาน ผมไม่มีอาการเมื่อยขาหรือเป็นตะคริวเลย ตื่นเช้ามาก็มาวิ่งรถต่อได้โดยไม่มีอาการอะไรสะสมทั้งสิ้น
อาการเหนื่อยอีกอย่างที่เรามักจะเหนื่อยคือการเร่งรอบ เช่นหากเราใช้รถน้ำมันที่แรงบิดน้อย ๆ แรงม้าน้อย ๆ แล้วเราอย่างทำความเร็วสูง ๆ เราต้องเหยียบคันเร่งให้จมมิดแล้วรอรอบเครื่องให้ถึงเพื่อให้ทำความเร็ว ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเราถึงเหนื่อยเพราะเราแค่นั่งเหยียบคันเร่งแล้วแค่รอ หรืออาจเป็นเพราะว่าความเหนื่อยนั้นมาจากการที่เราต้องคอยลุ้นตัวเกร็งว่าเมื่อไหร่เราจะได้ความเร็วที่เราต้องการ เช่นการลุ้นแซงรถคันหน้า หรือการเหยียบขึ้นเนินสูง ต้องคอยนั่งลุ้นภาวนาว่าจะพ้นหรือไม่ แต่ว่ารถไฟฟ้าไม่มีการต้องมารอรอบ แม้ Neta V จะเป็นรถไฟฟ้าที่มีแรงม้าน้อยที่สุดในรถตลาดที่วิ่งได้เกิน 300 กิโลเมตรต่อชาร์จ มีแค่ 93 แรงม้า แต่ว่านั่นก็เพียงพอกับคำว่า เหยียบปุ๊บมาปั๊บ การควบคุมน้ำหนักความเร็วรถได้อย่างแม่นยำจะช่วยเราในเรื่องการขับขี่ให้ไม่ขาดไม่เกิน ส่วนที่ขาด ๆ เกิน ๆ นี่แหละที่ทำให้เราต้องคอยแก้ปัญหาจนต้องหัวหมุน
จุดเด่นที่สำคัญอีกเรื่องคือ รถไฟฟ้าดีตรงจอดรถข้างทางเปิดแอร์ได้สบายใจ ไม่มีกลิ่นควันรถไปรบกวนคนอื่น และจอดนั่งในรถเปิดแอร์นาน ๆ ไม่มีกลิ่นควันรถเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสาร ตรงนี้ก็มีประโยชน์มาก เพราะบางทีเราหาที่จอดรองานได้ตามข้างทาง หากหาที่จอดในร่มไม่ได้ก็ยังเปิดแอร์สู้ความร้อน หรืออยากจะงีบหลับพักรถเปิดแอร์นอนก็ทำได้เลย ช่วงรองานนาน ๆ งานเงียบ เปิดหนังฟังเพลงฆ่าเวลาได้ดี ทำให้ไม่ต้องเครียดเพราะไม่มีงาน งานเด้งมามาเมื่อไหร่ค่อยเปลี่ยนเกียร์เหยียบคันเร่งออกไปหาเงินได้เลย
หรือเวลาที่เราต้องไปจอดรอลูกค้านาน ๆ บางทีลูกค้าอยู่ไม่ตรงหมุดรับ หรือลูกค้ายังเดินมาไม่ถึงจุดรับ ยังแต่งตัวไม่เสร็จบ้าง กำลังเดินลงบันได ลงลิฟท์ ปวดท้องกะทันหัน เพื่อนยังเดินมาไม่ถึง ลืมของ เราต้องจอดรถใกล้ผู้คนร้านค้าก็สามารถจอดได้อย่างสบายใจ หรือบางทีเราไปส่งลูกค้าทำธุระแล้วรอรับกลับ เราสามารถเปิดแอร์นอนรอในรถได้เลย เมื่อลูกค้ากลับมาขึ้นรถที่แอร์เย็นฉ่ำ สบายทั้งเราและลูกค้า
เบาะผ้าดูจะนั่งสบายกว่าเบาะหนัง ไม่อมความร้อนเวลารถตากแดดนาน ๆ แต่ข้อเสียของเบาะผ้าคือเปื้อนง่าย เก็บฝุ่นได้ดี น้ำหกใส่นี่เรื่องใหญ่ ซวยหน่อยเจอลูกค้าใส่เสื้อผ้าเปียก ๆ นี่งานงอกเลย เบาะหนังเทียมของ Neta V เป็นหนังนิ่มนั่งสบาย ทำความสะอาดง่าย ผมใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ เช็ดทำความสะอาดทุกวันหลังวิ่งงานเสร็จในแต่ละวัน เบาะหนังก็ดูใหม่น่านั่งแล้วครับ
ภายในรถทำความสะอาดง่าย ห้องโดยสารสะอาดสะอ้าน ดีไซน์ภายในรถดูทันสมัย แม้ Neta V จะไม่ใช่รถไฟฟ้าที่ดีไซน์สวยใหม่แหวกแนวที่สุดในตลาด แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารยานยนต์ เมื่อเห็นรถไฟฟ้ามีจออินโฟเทนเมนท์ขนาดใหญ่ก็รู้สึกแปลกหูแปลกตา ผมได้รับคำชมจากทั้งคนไทย จีน ฝรั่งว่าเป็นรถดี ฝรั่งพูดว่า nice car ลูกค้าบางคนก็สนใจสอบถามว่าขับเป็นยังไงบ้าง ดีมั้ย ถือว่าเป็นบทสนทนาที่มีเกือบทุกวัน สร้างความประทับใจได้ไม่มากก็น้อยให้กับผู้โดยสาร
ต่อไปคือข้อเสียหรือข้อจำกัดของ Neta V ที่สังเกตเห็นได้ชัด ข้อแรกคือระบบแอร์ทำความเย็น รถมีช่องแอร์แค่ด้านหน้า ไม่มีช่องลมที่เป่าไปยังเบาะหลัง ผู้โดยสารเบาะหลังต้องใช้ลมเย็นร่วมกันกับคนนั่งเบาะหน้า บางครั้งผมกลัวผู้โดยสารด้านหลังไม่ได้รับลมเย็น ผมเร่งพัดลมแอร์แรงสุดจนคนนั่งเบาะหน้ารู้สึกหนาวเพราะปะทะลมแรง แต่ยังไงเราก็ต้องอดทนครับ ขอให้ลูกค้าสบาย ข้อแตกต่างของระบบแอร์รถ Neta V คือ คอมเพรสเซอร์จะผลิตความเย็นให้ห้องผู้โดยสารด้วย และผลิตความเย็นให้แบตเตอรี่ด้วย หากอากาศร้อนจัด ๆ และวิ่งรถนาน แบตเตอรี่จะร้อนและต้องใช้ลมจากคอมเพรสเซอร์ไปเป่า ทำให้ลมแอร์ในห้องโดยสารไม่มีความเย็น สิ่งนี้ยิ่งซ้ำเติมเมื่ออากาศร้อนแบตฯ ร้อน แต่ในห้องโดยสารไม่มีความเย็น แต่ส่วนใหญ่คอมเพรสเซอร์จะเป่าลมเย็นให้แบตไม่นาน อาจจะ 5 นาทีแล้วกลับมาทำความเย็นให้ผู้โดยสาร
แม้คอมเพรสเซอร์จะกลับมาทำความเย็นให้ห้องโดยสาร แต่ผู้โดยสารเบาะหลังก็อาจจะไม่สบายตัวมากนัก หากว่าอุณหภูมิภายนอกสูงสักประมาณ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป และยิ่งตอนแดดแรง ๆ นี่ร้อนแน่นอน ทางแก้คือติดฟิล์มดี ๆ ฟิล์มแถมของศูนย์ควรหลีกเลี่ยง ควรเพิ่มเงินแล้วใช้ของเกรดสูงดีกว่า ส่วนใหญ่ศูนย์จะให้เพิ่มเงินสามพันเพื่ออัพเกรดฟิล์ม ควรเพิ่มเงินครับ ให้จบ ๆ ไปเลย และกระจกท้ายรวมถึงกระจกข้างเบาะหลังควรติดฟิล์มเข้ม 80% ไปเลยเพื่อให้ความร้อนทะลุเข้ามาน้อยที่สุด ส่วนบานข้างเบาะหน้าติด 60% บานหน้าติด 40% ก็ได้เพราะถึงความร้อนเข้า แต่แอร์ก็เป่ากันไว้แล้ว หรือใครไม่มีปัญหาเรื่องสายตาจะติด 60% ก็ลองดูได้
มีช่องเสียบ usb ตรงที่วางแขนเบาะหน้า เราอาจจะใช้พัดลม usb ตัวเล็ก ๆ ไม่เกะกะมาติดตรงที่วางแขนแล้วเสียบ วิธีนี้ก็น่าจะช่วยการไหลเวียนของอากาศในรถได้ดี
ห้องโดยสารคับแคบ ผู้โดยสารตัวสูงใหญ่ อ้วน เข้ามานั่งในรถมีคุดคู้แน่นอน แต่ถ้าคนตัวใหญ่ อ้วน ขึ้นมานั่งงอขางอแขนอาจจะดูลำบาก แต่นั้นก็เป็นเรื่องที่คนเหล่านั้นต้องรับสภาพกันไปเอง เพราะถ้าอยากนั่งสบายก็ควรเรียกรถคันใหญ่ รถเรารถเล็กลงทะเบียนในแอพฯ เป็นรถเล็ก แต่โดยส่วนใหญ่ผู้โดยสารจะนั่งไม่นาน ไม่เกิน 20 นาทีคงไม่ลำบากอะไรมากมาย
พรมพื้นรถที่แถมมาให้ใช้งานจริงไม่ได้ รถโดยสารที่คนขึ้นลงทั้งวันคงหนีไม่พ้นฝุ่นดินมากมาย พรมเดิมกับพื้นรถเดิมเป็นตัวเก็บฝุ่นได้ดียิ่งนัก ใครที่จองรถไว้เพื่อเอามาวิ่งงานหรือใช้ส่วนตัว ควรเตรียมหาพรมตรงรุ่นไว้รอเลย อาจจะเป็นพรมหนังแบบหกดีเจ็ดดีก็ได้ หรือจะเป็นแบบถาดแล้วแต่ความชอบ เพราะรถวิ่งงานต้องเช็ดทำความสะอาดทุกวัน พรมเดิมพื้นเดิมต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นเครื่องใหญ่มาไล่ดูด แต่ถ้าซื้อพรมมาเสริมจะทำให้การทำความสะอาดง่ายขึ้นมาก พื้นรถที่สะอาดอยู่เสมอทำให้ดูน่านั่งและไม่รู้สึกรกตา
เครื่องเสียงเสียงดีใช้ได้ ผมไม่ใช่พวกหูทองที่จะจับผิดลำโพงตรงนั้นตรงนี้ได้ แต่ก็รู้สึกว่าเสียงดี เปิดฟังเพลงหลังจบงานขับรถกลับบ้านก็เพลิดเพลินผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี ผมชอบฟังพวก jazz beat หรือพวก progressive house ก็รู้สึกว่าเสียงเบสเสียงอะไรมาหมด เวลากลับถึงบ้านก็ต้องไปอยู่กับลูก ๆ คงมีเวลานี้แหละที่เหมือนกับว่าเราได้อยู่กับตัวเอง ฟังเพลงที่เราชอบจริง ๆ
วัสดุภายในรถ คอนโซลพลาสติกหน้ารถ พลาสติกประตูก็ตามราคารถ แต่ก็ไม่ได้ดูแย่จนดูไม่ได้ มีเส้นสายลวดลายทันสมัย กระจกมองให้มาแบบไร้กรอบ กระจกตัดแสงแยงตาได้ งานต่าง ๆ ถือว่าคุ้มค่ากับราคาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล หากลงทุนเพื่อนำมาขับวิ่งงานก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ขาดทุน เริ่มต้นต้องมีเงินดาวน์ขั้นต่ำ 54,900 บาท หากเลือกผ่อนยาวหกปีก็จะเหลือจ่ายเดือนละเจ็ดพันกว่าบาท โดยเฉลี่ยทั่วไปหากสามารถทำเงินหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วได้วันละหนึ่งพัน ทำงานเดือนละ 25 วัน มีรายได้เดือนละ 25,000 บาท หักค่างวดแล้วต่อเดือนจะเหลือหมื่นปลาย ๆ ได้อย่างไม่ยากเลยนะครับ
ข้อดีข้อเสียใช้ Neta V รถไฟฟ้าวิ่งงานรับส่งคนผ่านแอพฯ
จะไปซื้อรถยนต์น้ำมันมาขับแกร๊บคาร์ก็เห็นมีแต่คนบ่นในกลุ่มจนเราท้อ ทั้งค่าน้ำมันที่แพงขึ้น ค่ารอบที่ดูจะน้อยลง บางช่วงก็งานน้อย ไหนจะค่าเสื่อมรถค่าบำรุง ค่าประกันชั้นหนึ่ง จึงเลิกคิดไป พอติดตามข่าวสารเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าก็มีแต่คันละเป็นล้าน ในช่วงแรก ๆ ก็มีไม่กี่ตัว แพง ๆ ทั้งนั้น จนกระทั่งมีข่าว Neta V จะมาทำตลาดในไทยและมีราคาคาดการณ์ไว้ที่ 5xx,xxx บาท ผมนี่ถึงกับ เฮ้ย! นี่อาจจะเป็นทางเลือกก็ได้
ผมจึงเริ่มทำการศึกษาโดยการไล่อ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับรถไฟฟ้า รวมถึงรายละเอียด Neta V ด้วย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมก็รีบโอนเงินไปจองที่ศูนย์ทันทีก่อนที่จะมีการเปิดให้ทดสอบขับขี่ พอได้ทดสอบจริงก็รับได้ เทียบกับราคาต่อเทคโนโลยีที่ได้มาก็คิดว่าคุ้มค่า ลองศึกษาอัตราค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรก็รู้สึกว่านี่แหละใช่เลย เมื่อผมจองไปแล้วก็รออย่างมีความหวัง ขับมอเตอร์ไซค์ส่งอาหารและรับคนไปก่อน จากนั้นก็ขายมอเตอร์ไซค์เอาเงินไปวางดาวน์รถยนต์ และเมื่อได้รถยนต์และได้ทะเบียนมาแล้วก็ทำการสมัครแอพลิเคชั่นทันที แอพฯ แรกที่สมัครเสร็จพร้อมวิ่งคือ Indriver เพราะขั้นตอนรวดเร็ว สมัครวันนั้นก็เริ่มงานวิ่งได้เงินเลย จากนั้นก็ไล่สมัคร Grab, Bolt, Maxim
ผมจะพูดถึงข้อดีของรถไฟฟ้า Neta V หากเอามาใช้รับส่งคน ข้อแรกเลยคือเรื่องค่าพลังงานที่ใช้ จะพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ รถน้ำมันต้องจ่ายค่าพลังงานประมาณ 30% ของยอดรายได้ แต่รถไฟฟ้าใช้เพียงแค่ประมาณ 10% ถ้ารถน้ำมันวิ่งหาเงินทั้งวันได้พันนึง ต้องหักค่าน้ำมันไปแล้วสามร้อย แต่รถไฟฟ้าจ่ายค่าไฟไปแค่ร้อยเดียว ข้อดีเรื่องประหยัดค่าพลังงานไม่ใช่มีแค่ประหยัดไปเหลือหนึ่งในสามอย่างเดียว แต่มันยังทำให้เรากล้ารับงานที่คนอื่นคิดว่าไม่คุ้มด้วย หรืองานที่ต้องไปรับลูกค้าไกล เราจะไม่มัวมาคิดอิดออดว่าไม่คุ้มค่าน้ำมัน ทำให้เราไล่เก็บงานเล็กงานน้อยได้โดยที่ไม่ต้องคอยคัดงานทิ้ง โดยส่วนตัวแล้วผมชอบมาก งานที่รับส่งใกล้ ๆ จบงานเร็ว ๆ วนเวียนอยู่ในโซนที่เราคุ้นเคยไม่ออกไปไกล
ข้อดีข้อต่อไปคือ หน้าจอใหญ่สามารถฉายภาพหน้าจอโทรศัพท์ของเราขึ้นไปได้เลย ตรงนี้ผมคิดว่ามีประโยชน์มหาศาล เพราะว่าเท่าที่ผมใช้ ผมมี 4 แอพฯ เปิดงานพร้อมกัน แอพฯ ไหนงานเข้าหน้าจอจะแสดงรายละเอียดต้นทางปลายทางและราคา ในแต่ละแอพอย่างแกร๊บและโบลต์ มีเวลาแค่ 20 วินาทีให้เราต้องตัดสินใจว่าจะรับงานหรือไม่รับ อินไดรเวอร์จะขึ้นมาเป็นลิสท์รายการให้เราเลือกกดเสนอราคา จอใหญ่ข้อดีคือผมแค่เหลือบตาไปก็เห็นแล้ว แต่ถ้าเป็นจอจากโทรศัพท์ผมคิดว่าต้องเพ่งสายตาดูและต้องละสายตาจากถนนนานกว่า และบนหน้าจอใหญ่เป็นระบบ touch screen สามารถกดรับงานหรือปัดงานบนนั้นได้เลย ทำให้เราจิ้มปุ่มได้แม่นยำกว่าจิ้มบนหน้าจอโทรศัพท์
รถที่ค่อนข้างเล็ก วงเลี้ยวที่แคบมาก เพิ่มความคล่องตัวในสภาพการจราจรที่หนาแน่น ในบางครั้งเราวิ่งรถวนรอบเมืองเพื่อหางาน ในจังหวะที่งานเข้าและเรากดรับงานแล้ว เมื่อเราดูที่อยู่ลูกค้าแล้วเราต้องเปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน เช่นต้องรีบเปลี่ยนเลน ข้อดีของรถคันเล็กคือเราสามารถเบี่ยงเปลี่ยนเลนและเปิดไฟเลี้ยวไว้ก่อน โดยที่ยังไม่ต้องแทรกตัดหน้าใคร รอให้รถคันอื่นเปิดทางให้เราเองแล้วเราค่อยไป หรือในจังหวะที่บางครั้งเราต้องกลับรถเกาะกลางสี่แยก รถ Neta V สามารถกลับรถได้ภายในเลนเดียว ไม่มีการโค้งบานออกเลนอื่น หรือการจอดแอบข้างทางโดยไม่กีดขวางคันอื่นมากเกินไปนัก
ระบบแป้นเหยียบเดียว อันนี้ก็ช่วยได้มากเลย ระบบนี้คือหากเราเหยียบคันเร่งน้อย รถก็จะเคลื่อนตัวช้า กดลงไปอีกหน่อย ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นตามน้ำหนักเท้า หากเหยียบมิดเลยรถก็จะใช้ความเร็วสูง หากเราค่อย ๆ คลายเท้า มอเตอร์ก็จะหน่วงคล้าย ๆ มีการเหยียบเบรก หากคลายเท้าเยอะมอเตอร์ก็จะหน่วงเยอะ หากยกเท้าออกเลย มอเตอร์ก็จะหน่วงจนรถหยุดนิ่ง และจะหยุดนิ่งอย่างนุ่มนวลไม่ใช่เหมือนการเบรกหัวทิ่ม หากเราขับรถที่ไม่ได้ใช้ระบบแป้นเหยียบเดียวเราจะรู้สึกเหนื่อยเพราะต้องคอยเหยียบเบรกชะลอรถด้วย หากวิ่งทั้งวันความเหนื่อยก็จะค่อย ๆ สะสมไว้และจะล้าในที่สุด ระบบแป้นเหยียบเดียวคือใช้ขาข้างเดียวควบคุมทั้งการขยับเคลื่อนไปข้างหน้าและชลอรถจนถึงหยุดนิ่งได้ เวลาเข้าโค้งเพียงแค่ถอนเท้าออกจากแป้นนิดเดียวรถก็ชะลอในโค้งแล้ว จากที่ผมวิ่งวันละร้อยกว่าโล บางวันถึงสองร้อยโล ในแต่ละวันหลังจบงาน ผมไม่มีอาการเมื่อยขาหรือเป็นตะคริวเลย ตื่นเช้ามาก็มาวิ่งรถต่อได้โดยไม่มีอาการอะไรสะสมทั้งสิ้น
อาการเหนื่อยอีกอย่างที่เรามักจะเหนื่อยคือการเร่งรอบ เช่นหากเราใช้รถน้ำมันที่แรงบิดน้อย ๆ แรงม้าน้อย ๆ แล้วเราอย่างทำความเร็วสูง ๆ เราต้องเหยียบคันเร่งให้จมมิดแล้วรอรอบเครื่องให้ถึงเพื่อให้ทำความเร็ว ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเราถึงเหนื่อยเพราะเราแค่นั่งเหยียบคันเร่งแล้วแค่รอ หรืออาจเป็นเพราะว่าความเหนื่อยนั้นมาจากการที่เราต้องคอยลุ้นตัวเกร็งว่าเมื่อไหร่เราจะได้ความเร็วที่เราต้องการ เช่นการลุ้นแซงรถคันหน้า หรือการเหยียบขึ้นเนินสูง ต้องคอยนั่งลุ้นภาวนาว่าจะพ้นหรือไม่ แต่ว่ารถไฟฟ้าไม่มีการต้องมารอรอบ แม้ Neta V จะเป็นรถไฟฟ้าที่มีแรงม้าน้อยที่สุดในรถตลาดที่วิ่งได้เกิน 300 กิโลเมตรต่อชาร์จ มีแค่ 93 แรงม้า แต่ว่านั่นก็เพียงพอกับคำว่า เหยียบปุ๊บมาปั๊บ การควบคุมน้ำหนักความเร็วรถได้อย่างแม่นยำจะช่วยเราในเรื่องการขับขี่ให้ไม่ขาดไม่เกิน ส่วนที่ขาด ๆ เกิน ๆ นี่แหละที่ทำให้เราต้องคอยแก้ปัญหาจนต้องหัวหมุน
จุดเด่นที่สำคัญอีกเรื่องคือ รถไฟฟ้าดีตรงจอดรถข้างทางเปิดแอร์ได้สบายใจ ไม่มีกลิ่นควันรถไปรบกวนคนอื่น และจอดนั่งในรถเปิดแอร์นาน ๆ ไม่มีกลิ่นควันรถเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสาร ตรงนี้ก็มีประโยชน์มาก เพราะบางทีเราหาที่จอดรองานได้ตามข้างทาง หากหาที่จอดในร่มไม่ได้ก็ยังเปิดแอร์สู้ความร้อน หรืออยากจะงีบหลับพักรถเปิดแอร์นอนก็ทำได้เลย ช่วงรองานนาน ๆ งานเงียบ เปิดหนังฟังเพลงฆ่าเวลาได้ดี ทำให้ไม่ต้องเครียดเพราะไม่มีงาน งานเด้งมามาเมื่อไหร่ค่อยเปลี่ยนเกียร์เหยียบคันเร่งออกไปหาเงินได้เลย
หรือเวลาที่เราต้องไปจอดรอลูกค้านาน ๆ บางทีลูกค้าอยู่ไม่ตรงหมุดรับ หรือลูกค้ายังเดินมาไม่ถึงจุดรับ ยังแต่งตัวไม่เสร็จบ้าง กำลังเดินลงบันได ลงลิฟท์ ปวดท้องกะทันหัน เพื่อนยังเดินมาไม่ถึง ลืมของ เราต้องจอดรถใกล้ผู้คนร้านค้าก็สามารถจอดได้อย่างสบายใจ หรือบางทีเราไปส่งลูกค้าทำธุระแล้วรอรับกลับ เราสามารถเปิดแอร์นอนรอในรถได้เลย เมื่อลูกค้ากลับมาขึ้นรถที่แอร์เย็นฉ่ำ สบายทั้งเราและลูกค้า
เบาะผ้าดูจะนั่งสบายกว่าเบาะหนัง ไม่อมความร้อนเวลารถตากแดดนาน ๆ แต่ข้อเสียของเบาะผ้าคือเปื้อนง่าย เก็บฝุ่นได้ดี น้ำหกใส่นี่เรื่องใหญ่ ซวยหน่อยเจอลูกค้าใส่เสื้อผ้าเปียก ๆ นี่งานงอกเลย เบาะหนังเทียมของ Neta V เป็นหนังนิ่มนั่งสบาย ทำความสะอาดง่าย ผมใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ เช็ดทำความสะอาดทุกวันหลังวิ่งงานเสร็จในแต่ละวัน เบาะหนังก็ดูใหม่น่านั่งแล้วครับ
ภายในรถทำความสะอาดง่าย ห้องโดยสารสะอาดสะอ้าน ดีไซน์ภายในรถดูทันสมัย แม้ Neta V จะไม่ใช่รถไฟฟ้าที่ดีไซน์สวยใหม่แหวกแนวที่สุดในตลาด แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารยานยนต์ เมื่อเห็นรถไฟฟ้ามีจออินโฟเทนเมนท์ขนาดใหญ่ก็รู้สึกแปลกหูแปลกตา ผมได้รับคำชมจากทั้งคนไทย จีน ฝรั่งว่าเป็นรถดี ฝรั่งพูดว่า nice car ลูกค้าบางคนก็สนใจสอบถามว่าขับเป็นยังไงบ้าง ดีมั้ย ถือว่าเป็นบทสนทนาที่มีเกือบทุกวัน สร้างความประทับใจได้ไม่มากก็น้อยให้กับผู้โดยสาร
ต่อไปคือข้อเสียหรือข้อจำกัดของ Neta V ที่สังเกตเห็นได้ชัด ข้อแรกคือระบบแอร์ทำความเย็น รถมีช่องแอร์แค่ด้านหน้า ไม่มีช่องลมที่เป่าไปยังเบาะหลัง ผู้โดยสารเบาะหลังต้องใช้ลมเย็นร่วมกันกับคนนั่งเบาะหน้า บางครั้งผมกลัวผู้โดยสารด้านหลังไม่ได้รับลมเย็น ผมเร่งพัดลมแอร์แรงสุดจนคนนั่งเบาะหน้ารู้สึกหนาวเพราะปะทะลมแรง แต่ยังไงเราก็ต้องอดทนครับ ขอให้ลูกค้าสบาย ข้อแตกต่างของระบบแอร์รถ Neta V คือ คอมเพรสเซอร์จะผลิตความเย็นให้ห้องผู้โดยสารด้วย และผลิตความเย็นให้แบตเตอรี่ด้วย หากอากาศร้อนจัด ๆ และวิ่งรถนาน แบตเตอรี่จะร้อนและต้องใช้ลมจากคอมเพรสเซอร์ไปเป่า ทำให้ลมแอร์ในห้องโดยสารไม่มีความเย็น สิ่งนี้ยิ่งซ้ำเติมเมื่ออากาศร้อนแบตฯ ร้อน แต่ในห้องโดยสารไม่มีความเย็น แต่ส่วนใหญ่คอมเพรสเซอร์จะเป่าลมเย็นให้แบตไม่นาน อาจจะ 5 นาทีแล้วกลับมาทำความเย็นให้ผู้โดยสาร
แม้คอมเพรสเซอร์จะกลับมาทำความเย็นให้ห้องโดยสาร แต่ผู้โดยสารเบาะหลังก็อาจจะไม่สบายตัวมากนัก หากว่าอุณหภูมิภายนอกสูงสักประมาณ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป และยิ่งตอนแดดแรง ๆ นี่ร้อนแน่นอน ทางแก้คือติดฟิล์มดี ๆ ฟิล์มแถมของศูนย์ควรหลีกเลี่ยง ควรเพิ่มเงินแล้วใช้ของเกรดสูงดีกว่า ส่วนใหญ่ศูนย์จะให้เพิ่มเงินสามพันเพื่ออัพเกรดฟิล์ม ควรเพิ่มเงินครับ ให้จบ ๆ ไปเลย และกระจกท้ายรวมถึงกระจกข้างเบาะหลังควรติดฟิล์มเข้ม 80% ไปเลยเพื่อให้ความร้อนทะลุเข้ามาน้อยที่สุด ส่วนบานข้างเบาะหน้าติด 60% บานหน้าติด 40% ก็ได้เพราะถึงความร้อนเข้า แต่แอร์ก็เป่ากันไว้แล้ว หรือใครไม่มีปัญหาเรื่องสายตาจะติด 60% ก็ลองดูได้
มีช่องเสียบ usb ตรงที่วางแขนเบาะหน้า เราอาจจะใช้พัดลม usb ตัวเล็ก ๆ ไม่เกะกะมาติดตรงที่วางแขนแล้วเสียบ วิธีนี้ก็น่าจะช่วยการไหลเวียนของอากาศในรถได้ดี
ห้องโดยสารคับแคบ ผู้โดยสารตัวสูงใหญ่ อ้วน เข้ามานั่งในรถมีคุดคู้แน่นอน แต่ถ้าคนตัวใหญ่ อ้วน ขึ้นมานั่งงอขางอแขนอาจจะดูลำบาก แต่นั้นก็เป็นเรื่องที่คนเหล่านั้นต้องรับสภาพกันไปเอง เพราะถ้าอยากนั่งสบายก็ควรเรียกรถคันใหญ่ รถเรารถเล็กลงทะเบียนในแอพฯ เป็นรถเล็ก แต่โดยส่วนใหญ่ผู้โดยสารจะนั่งไม่นาน ไม่เกิน 20 นาทีคงไม่ลำบากอะไรมากมาย
พรมพื้นรถที่แถมมาให้ใช้งานจริงไม่ได้ รถโดยสารที่คนขึ้นลงทั้งวันคงหนีไม่พ้นฝุ่นดินมากมาย พรมเดิมกับพื้นรถเดิมเป็นตัวเก็บฝุ่นได้ดียิ่งนัก ใครที่จองรถไว้เพื่อเอามาวิ่งงานหรือใช้ส่วนตัว ควรเตรียมหาพรมตรงรุ่นไว้รอเลย อาจจะเป็นพรมหนังแบบหกดีเจ็ดดีก็ได้ หรือจะเป็นแบบถาดแล้วแต่ความชอบ เพราะรถวิ่งงานต้องเช็ดทำความสะอาดทุกวัน พรมเดิมพื้นเดิมต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นเครื่องใหญ่มาไล่ดูด แต่ถ้าซื้อพรมมาเสริมจะทำให้การทำความสะอาดง่ายขึ้นมาก พื้นรถที่สะอาดอยู่เสมอทำให้ดูน่านั่งและไม่รู้สึกรกตา
เครื่องเสียงเสียงดีใช้ได้ ผมไม่ใช่พวกหูทองที่จะจับผิดลำโพงตรงนั้นตรงนี้ได้ แต่ก็รู้สึกว่าเสียงดี เปิดฟังเพลงหลังจบงานขับรถกลับบ้านก็เพลิดเพลินผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี ผมชอบฟังพวก jazz beat หรือพวก progressive house ก็รู้สึกว่าเสียงเบสเสียงอะไรมาหมด เวลากลับถึงบ้านก็ต้องไปอยู่กับลูก ๆ คงมีเวลานี้แหละที่เหมือนกับว่าเราได้อยู่กับตัวเอง ฟังเพลงที่เราชอบจริง ๆ
วัสดุภายในรถ คอนโซลพลาสติกหน้ารถ พลาสติกประตูก็ตามราคารถ แต่ก็ไม่ได้ดูแย่จนดูไม่ได้ มีเส้นสายลวดลายทันสมัย กระจกมองให้มาแบบไร้กรอบ กระจกตัดแสงแยงตาได้ งานต่าง ๆ ถือว่าคุ้มค่ากับราคาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล หากลงทุนเพื่อนำมาขับวิ่งงานก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ขาดทุน เริ่มต้นต้องมีเงินดาวน์ขั้นต่ำ 54,900 บาท หากเลือกผ่อนยาวหกปีก็จะเหลือจ่ายเดือนละเจ็ดพันกว่าบาท โดยเฉลี่ยทั่วไปหากสามารถทำเงินหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วได้วันละหนึ่งพัน ทำงานเดือนละ 25 วัน มีรายได้เดือนละ 25,000 บาท หักค่างวดแล้วต่อเดือนจะเหลือหมื่นปลาย ๆ ได้อย่างไม่ยากเลยนะครับ