จากใจของคนเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน

สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยากมาแชร์ ชีวิตการเป็นแม่บ้านแบบฟลูไทม์  เผื่อเป็นการตัดสินใจสำหรับใครบางคนที่แต่งงานแล้วกำลังจะมีลูก 
ตัวเราปัจจุบันเลี้ยงลูกเอง100% ไม่มีรายได้ใช้เงินของสามี สามีก็เอาเงินเดือนทั้งหมดให้เราดูแล เราคบกันมาหลายปีจนรู้ตัวว่าท้อง ก็ท้องก่อนแต่งค่ะ
กำลังเรียนจบพอดีด้วย พอเรียนจบก็รีบแต่งงาน เป็นแม่บ้านเพราะท้อง ช่วงนั้นมีความสุขมากๆ พอลูกคลอดมาเท่านั่นละ อดหลับอดนอนแบบสุดๆ ข้าวกินวันละมื้อ น้ำอาบวันละรอบ ทำอะไรก็ต้องมีลูกติดตัวตลอดเวลาดพราะเลี้ยงคนเดียว มันเหนื่อยมากๆ งานบ้านอีก ไม่ได้พักเลย พอลูกหลับก็ต้องไปทำอย่างอื่น พอจะพักเหนื่อยลูกตื่นสะงั้น วันๆนี่โทรมอย่างกับผีเลยค่ะ ไม่ได้แต่งตัวสวยๆหรือทาครีมอะไรทั้งนั้น เข้าใจเลยคำว่ามีลูกเมื่อพร้อมคืออะไร พร้อมที่จะเสียสละเวลาทุกอย่างให้กับลูกนี่เอง วันหยุดสามีก็ช่วยดูบ้างไม่ดูบ้างตามประสา แต้ก็เหนื่อยอยู่ดี แต่ชีวิตเรารู้สึกว่ามันทั้งน่าเบื่อและเหนื่อยมากๆ ต้องใช้ชีวิตวนไปวนมาทุกวันๆ ไม่อยากตื่นเลย หรือบางทีคิดอยากเอาลูกไปให้คนอื่นเลี้ยง ไม่ใช่ไม่รักลูกนะ แต่มันเหนื่อยมากๆแล้วก็น่าเบื่อด้วย บางวันรู้สึกเหมือนแขนขาไม่มีแรง อ่อนเพลียสุดๆ เราอยากพักมากๆแต่ก็ต้องฝืนลุกมาดูลูก ใครที่คิดว่าเลี้ยงลูกสบายลองมาเลี้ยงสัก1วัน มันไม่ใช่แค่ป้อนน้ำป้อนข้าวพาเข้านอน เราจะต้องสอนเขาอีก ไหนจะเจอ108อารมณ์ของลูก เอาใจไม่ถูกเลย เราอยากจะเตือนคนที่คิดจะมีลูก คุณพร้อมสละเวลาให้เขาหรือยัง พร้อมสละร่างกายแล้วด้วยหรือยัง  โดยเฉพาะคนเป็นแม่ไม่ง่ายเลย เราอยากให้คนที่ยังไม่มีลูกหนีไปเลยค่ะ อย่ามีถ้าไม่พร้อมจริงๆ มันเหนื่อยมากๆๆๆๆ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ตอบในมุมผู้ชายนะครับ

ก่อนมีลูกเคยคุยกันว่า พ่อทำงานเต็มที่
แม่ลาออกจากงาน เป็นแม่บ้านฟูลไทม์ ดูแลครอบครัวอย่างเดียว
จุดเริ่มต้นน่าจะคล้ายๆ ทุกบ้านทุกครอบครัว

แต่พอมีลูกจริงๆ ช่วงลูกเพิ่งคลอดแรกๆ
เห็นชัดมากว่าภรรยาไม่ไหวแล้ว มีทั้งอาการเครียด
อ่อนเพลีย ที่สำคัญ เริ่มมีพฤติกรรมคล้ายซึมเศร้า

เข้าใจทันทีว่าภรรยาต้องการความช่วยเหลือ
โชคดีที่ครอบครัวเราวางแผนทางการเงินไว้ดี
ผมหยุดทำงานชั่วคราว เพื่อมาเรียนรู้การเลี้ยงลูก
ทำทุกอย่างยกเว้นมีเต้าให้นม (ใช้นมผงเป็นหลัก
ช่วงนั้นภรรยามีปัญหาน้ำนมไม่พอด้วย)

แบ่งภาระกันคนละ 12 ชั่วโมง ผมรับกะกลางคืน
ให้ภรรยาได้นอนเต็มอิ่ม

ผ่านไปสามเดือนทุกอย่างถึงเริ่มเข้าที่ ภรรยาดูดีขึ้นมาก
เริ่มยิ้มได้ กลับมาแข็งแรง และน่าจะฮอร์โมนเข้าที่ด้วย
อาการซึมเศร้าหายไป

แต่โดยรวมๆ ที่อยากจะสื่อถึงทุกครอบครัว
โดยเฉพาะพ่อแม่มือใหม่ก็คือ การเลี้ยงลูกเป็นงานกลุ่ม
ตอนทำ ช่วยกันทำ ตอนเลี้ยงก็ต้องช่วยกันเลี้ยง
อย่าหลงผิดว่าผู้หญิงอยู่บ้านไม่ต้องออกไปทำงานแล้วจะสบาย
หรือแม้แต่จะไหว

ส่วนฝ่ายหญิง อย่ายอมให้สังคมหรือวัฒนธรรมปิดปากครับ
ไม่ไหวรีบสื่อสาร รีบบอกแต่แรก อย่า "ยอม" เพราะถ้าคุณยอม
แล้วมาขอความช่วยเหลือทีหลัง คุณจะโดนมองว่าขี้เกียจแทน

ใครที่ยอมมาจนใกล้จะไม่ไหว ก็ต้องพยายามสื่อสารแบบจริงจัง
คนอื่นไม่เข้าใจช่างเขา แต่สามีเราหรือภรรยาเราต้องเข้าใจครับ
ลองทิ้งให้เขาเลี้ยงเองดูจริงจังสองสามวัน น่าจะรู้เรื่องทุกบ้าน
เค้าจะอ้างว่าไม่ไหวก็ช่าง อย่ากลัวลูกอดตายหรือลำบากครับ
ต้องแข็งใจทิ้งให้สัมผัสเอง

ส่วนตัวถ้าผมไม่หยุดทำงานมาลองเองผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
แต่ไม่ใช่ทุกบ้านที่จะมีโอกาสหรือปรับตัวได้แบบบ้านผม

ดังนั้นต้องสื่อสารแบบจริงจังมากๆ ครับ อย่าใช้วิธีบ่นลอยๆ
หรือขอให้ช่วยเป็นครั้งคราว ให้จับเข่าคุยจริงจัง

การไปทำงานนอกบ้านไม่ใช่ข้ออ้างว่ากลับบ้านมาเหนื่อย อยากพักผ่อน
สำหรับที่บ้านผมทุกวันนี้ หลังผมเลิกงาน คือเวลาที่ภรรยาได้พักผ่อน
แล้วหลังลูกเข้านอน ผมถึงได้พักผ่อนแทนครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่