[CR] No.32 The Fabelmans : มรดกย้อนวัย จดหมายรัก แด่..พ่อมดน้อยฮอลลีวู้ด


ส่วนตัวผมไม่ได้เป็น Fan Club ตัวยงของปู่ Steven Spielberg แต่อย่างใด แต่ก็ไม่ปฏิเสธไม่ได้ว่าก็โตมากับหนังของปู่ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนรักระหว่างคนกับมนุษย์ต่างดาว E.T. the Extra-Terrestrial (1982) , เด็กสาวชุดแดงในดงสงคราม Schindler’s List (1993) , เด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้ว่าเป็นหุ่นยนต์ A.I. Artificial Intelligence (2001) , ทหารหนุ่มผู้รักม้าเหมือนเพื่อนสนิท War Horse (2011) , เด็กหนุ่มนักผจญภัยในโลกของเกมส์เสมือนจริง Ready Player One (2018) และ ผลงานล่าสุดอย่างมนต์รักลูกกรุง West Side Story (2021) ซึ่งทุกเรื่องการันตีได้จากเสียงวิจารณ์ที่ได้รับการชื่นชมอย่างแน่นหนา และ รางวัลจากหลายสถาบันอย่างท้วมท้น แม้วัยจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่สามารถทำลายจิตวิญญาณความเป็นเด็กของเขาให้หายตามไปกาลเวลาได้แม้แต่น้อย แถมเวทย์มนต์ของปู่ยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ทำหน้าที่น้อมนำคำสอนแก่คนทุก Generations ให้ย้อนกลับไปเป็นเด็กน้อยได้รำลึกกันอีกครั้ง ครั้งนี้ปู่จึงขอโชว์พลังวิเศษด้วยการเล่าเรื่องของตนเองมาเป็น Inspiration ให้แก่คนที่กำลังต่อสู้ กำลังเผชิญหน้ากับปัญหา หรือกำลังค้นหาตนเองที่เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายที่ทำให้เรามีความทุกข์หรือสุขให้ได้รับรู้ด้วยว่าปู่คอยให้กำลังใจคอยเดินเคียงข้างไปด้วยกันจนกว่าเราจะค้นหาคำตอบนั้นได้สำเร็จ

ภายในระยะเวลา 2 ชั่วโมง 31 นาที หลังจากที่ดูจบแล้วต่อมความรู้สึกของผมเริ่มทำงานขึ้นมาทันที เพราะ ภาพแต่ละเฟรมที่ปรากฎขึ้นแต่ละฉากดันไปสะกิดต่อมความเป็นเด็กน้อยด้วยความคิดถึงเป็นระยะ พอนึกมาก็อมยิ้มขึ้นมากับตนเองเงียบ ๆ คนเดียว ซึ่ง Keywords ในเรื่องไม่ได้บอกว่าสู้ ๆ แล้วเดินจากไปเปล่า ๆ แต่เดินเข้ามาโอบกอด ลูบหัวให้กำลังใจกันจนรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ปู่มอบมันให้พลังบวกมากล้นจนสามารถลุกขึ้นยืนขึ้นมาอีกครั้ง เราได้รับความรู้สึกที่นุ่มลึก อ่อนโยน แต่ทรงพลังจากข้างในอย่างบอกไม่ถูก ทุกองค์ประกอบแต่ละฝ่ายแต่ละส่วนที่ร่วมกันสร้างสรรคออกมาล้วนตั้งใจคัดสรรขึ้นมาจากหัวใจของคนทำหนังที่คนรักภาพยนตร์เท่านั้นที่จะเข้าใจกับมันได้ ซึ่งตลอดเวลาที่ดูจะพบว่าปู่ใส่ความเป็นตัวเองลงไปเล่นผสมกับการแต่งเติมบางส่วนกันอย่างกลมกลืนจนเรารู้สึกก่ำกึ่งว่านี่คือหนังอัตชีวประวัติจริง ๆ หรือเป็นเรื่องที่ Reference ขึ้นแล้วอิงประวัติศาสตร์เสริมลงไปอีกทีกันแน่

นอกจากนี้หนังพาเราไปสำรวจชีวิตของครอบครัวหนึ่งที่มีใจรักภาพยนตร์โดยมีฉากหลังเป็นประเทศอเมริกาในช่วงยุค 50 ถึง 60 กว่า ๆ ซึ่งอยู่ในช่วงกำลังฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจทุกภาคส่วนหลังจากผลพวงความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปอย่างมหาศาล ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออุตสาหกรรมภาพยนตร์ แม้ว่าพ่อประกอบอาชีพวิศวกรและแม่เป็นแม่บ้านแต่เคยเป็นนักดนตรีมาก่อนชนิดที่เรียกว่ามากันคนละสายงานแต่ความแตกต่างทางศาสตร์ 2 ศาสตร์กลับไม่ได้รู้สึกถึงความแตกแยกแม้แต่น้อย เพราะ พวกเขาใส่จิตวิญญาณความเป็นศิลปินผสมกับความรักสนับสนุนในตัวลูกก็คือ Sammy Fabelmans พระเอกของเรื่อง รับบทโดย Gabriel LaBelle จาก Brand New Cherry Flavor Series (2021) ให้ได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้ทำความฝันของเขาเรื่อยมาจนเข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัวในช่วงคาบเกี่ยวเข้าสู่ยุคสงครามอินโดจีน หรือ สงครามเย็นพอดี แม้ว่าในเรื่องจะไม่ได้เจาะลึกประเด็นนี้ส่วนนี้ลงไปตรง ๆ ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันมีกลิ่นอายที่ตกค้างจากเหตุการณ์ครั้งก่อนลอยพัดผ่านตามกระแสสื่อที่ควบคุมอยู่ขณะนั้นไม่จางหายไป

การดำเนินเรื่องจะเดินเป็นเส้นตรงไปข้างหน้าผ่านตัวละครนำของ Sammy ทั้งหมดตั้งแต่วัยเด็กยันวัยหนุ่ม เริ่มเรื่องหนังได้พาแนะนำสมาชิกในครอบครัวกำลังนั่งดูหนังในโรงภาพยนตร์แล้วบอกว่าใครเป็นใครกัน ตรงจุดนี้เข้าใจง่าย มีความสดใสช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายอยู่จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงกลางเรื่องก็เริ่มมีปมดราม่าเกิดขึ้นมาทั้งแม่เริ่มเป็นโรคซึมเศร้าหลังจากที่ยายเสีย , คนในครอบครัวเริ่มมีปากเสียงกันจนนำไปสู่การหย่าร้างกัน , การย้ายที่อยู่ใหม่เนื่องจากพ่อได้งานทำ , การเข้าสังคมในรั้วโรงเรียนจนไปถึงเกิดเป็นความรักครั้งแรกขึ้นกับ Monica เพื่อนสาวคลั่งพระเจ้ายิ่งกว่าอะไร ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหนังพาให้เราเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำความฝันของ Sammy อยู่ไม่น้อย ซึ่งก็คือความจริงในสังคมที่เราสัมผัสได้ในปัจจุบัน ส่วนที่ตำหน่อยคือการตัดต่อค่อนข้างไวไปหน่อยจนรู้สึกว่าเรายังเสพช่วงจังหวะขณะนั้นไม่เรียบร้อยจู่ ๆ ก็ตัดฉากข้ามกระโดดไปอีกฉากหนึ่งดื้อ ๆ ซะงั้น ทำให้การเล่าเรื่องบางช่วงไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร

นอกจากตัว Gabriel LaBelle ที่แจ้งเกิดได้สวยงามในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตามองกันแล้ว ยังได้นักแสดงสมทบมากฝีมือมาช่วยกันประคับประคองไม่ให้น้องต้องแบกหนังให้เหนื่อยตามลำพัง อาทิ Michelle Williams นักแสดงสาวดีกรีผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ 5 สมัย จาก Blue Valentine (2010) รับบทเป็น Mitzi Fablemans คุมแม่แม่บ้านที่มีหัวใจศิลปินเป็นเสียงเพลง ประกบคู่กับ พรี่ Paul Dano นักแสดงหนุ่มฝีมือฉกาจอีกคนจาก The Batman (2022) รับบทเป็น Burt Fablemans คุมพ่อวิศวกรสมองเพชร คือ ก่อนดูเรื่องนี้ผมคิดกับตนเองว่าพรี่ Paul รับบทเกินวัยไปหรือเปล่าแถมยังแสดงเป็นสามีร่วมกับคุมแม่ Michelle ที่อายุก็มากกว่าด้วย แต่พอดูจบปรากฎว่า ผิดคาดแฮะ พรี่แสดงเป็นคุณพ่อได้อบอุ่นจนเชื่อว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ปกป้องทุกคนได้จริง ๆ เคมีฟิสิกส์เข้ากันกับ Michelle จนน่าเหลือเชื่อ แถมเป็น Daddy ไมโครเวฟให้น้อง Gabrielle และลูกสาวทั้ง 2 อย่าง Natalie Fabelmans รับบทโดย Keeley Karsten จาก Evil Lives Here Series (2019) และ Reggie Fabelmans รับบทโดย Julia Butters จาก The Gray Man (2022) ให้อบอุ่นใจอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีนักแสดงสมทบคนอื่น เช่น เฮีย Seth Rogen จาก This is the End (2013) รับบทเป็น Benny เพื่อนของ Burt ไม่ได้ขายขำไร้สาระเหมือนเรื่องก่อนแต่มาพร้อมกับความจริงจังที่คอยช่วยสนับสนุนครอบครัวของ Sammy เต็มที่ , สาวน้อย Chloe East รับบทเป็น Monica Sherwood รักครั้งแรกของ Sammy เรียกเสียงฮาไปกับความโก๊ะจ๋าของเธอให้ขำได้ดี ที่ขาดไปไม่ได้อีกคนคือ Judd Hirsch จาก A Beautiful Minds (2001) รับบทลุง Boris นักแสดงละครสัตว์ มาน้อยแต่จัดชุดใหญ่ โดยเฉพาะท่าฉีกเสื้อในตำนานดูแล้วหวานเจี๊ยบขึ้นมาทันที

สรุปคือ ชอบ งดงาม ประทับใจ และ อิ่มเอมใจ เสียดายที่อุตส่าห์เข้าชิงรางวัลออสการ์ไปกว่า 7 รางวัล แต่ไม่ได้รางวัลกลับบ้านซักรางวัลเดียว แต่ก็ไม่ได้เสียใจที่ดูเลย เพราะ หนังได้ทำหน้าที่ของมันอย่างยอดเยี่ยม แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนกับผลงานที่ผ่านมาของปู่แต่เรื่องนี้เปรียบดั่งเป็นจดหมายรักที่บันทึกโดยคนทำหนังส่งต่อให้คนชื่นชอบการดูภาพยนตร์ได้ซึมซับและเข้าถึงจิตวิญญาณของความเป็นศิลปินถึงกระบวนการขั้นตอนในการสร้างหนังขึ้นมาแต่ละเรื่องให้ออกมาได้สมบูรณ์นี้จะต้องผ่านเหตุการณ์ผ่านเรื่องราวอะไรกันมาบ้าง อีกอย่างคือกระแทกใจผมกลับให้สาระสำคัญเกี่ยวกับสัจธรรมบนโลกใบนี้อีกว่าชีวิตจริงไม่ได้สวยงามเหมือนในภาพยนตร์หรอก ชีวิตจริงมันซับซ้อนมากกว่านั้น อย่างน้อยนอกจากการให้ความสำคัญแก่ความฝันแล้วสิ่งที่ไม่ควรลืมก็คือการมองเห็นคุณค่าของตนเองก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น มีสติเดินทางไปสู่เป้าหมายได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่