Pancho Reyes ผู้จัดการโรงงานในครอบครัวจากชนชั้นกลาง (ที่กำลังไต่เต้าไปอีกระดับ)
ที่พยายามทำงานอย่างหนักทุกวันเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของมารี ภรรยาและลูกอีกสองคนของพวกเขา
จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อของปันโช่โทรมาบอกว่า ปู่ของเขาเสียชีวิต และเพื่อทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของปู่
ตัวของเขาต้องมาร่วมงานศพให้ได้เพื่อฟังพินัยกรรม...
ปันโช่ไม่ต้องการที่จะรับรู้และยุ่งเกี่ยวอะไรกับครอบครัวที่ยากจนของเขา ซึ่งเขาละทิ้งมานานกว่า 20 ปี
แต่ทว่าภรรยาของเขากลับสนับสนุนโดยบอกว่า อาจจะมีมรดกก้อนใหญ่ที่คุณปู่เก็บไว้ให้เขาก็เป็นได้..
ปันโช่จึงตัดสินกลับบ้าน โดยไม่รู้ว่าความวุ่นวายมหาศาลกำลังรอเขาอยู่.....
¡Que viva México! เป็นหนังตลกที่เสียดสีเรื่องของระบบชนชั้น ความเหลื่อมล้ำ ที่สะท้อนผ่านตัวของเรเยส
ชายหนุ่มจากบ้านนอกมาเล่าเรียนในเมืองใหญ่ ก่อนที่จะไต่เต้าจนได้ดิบได้ดี การงานก็กำลังไปได้ไกล
มีภรรยาหน้าตาสวย ลูกๆที่น่ารักอีก 2 คน แต่เขากลับทอดทิ้งครอบครัวผู้ให้กำเนิดที่อยู่ต่างเมือง โดยไม่เคยกลับไปเหลียวแลเลยแม้แต่น้อย
ด้วยความยาวถึง 191 นาที (ยาวเกิ้น) ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถทำเป็นมินิซีรี่ย์ได้ไม่ยาก ตัดต่อแบ่งได้เป็น 6 ตอนสบายๆ ..
จำนวนตัวละครเครือญาตินั้นมีเยอะมาก แต่ไม่มีปัญหาสำหรับการรับชมเพราะตัวหนังแบ่งสันปันส่วนได้ดี
แทบทุกคนมีบทบาทที่ชัดเจนไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาชมยาวพอสมควร
แต่หนังไม่มีช่วงให้เราพักหายใจหายคอได้เลย เพราะการดำเนินเรื่องทุกอย่างไปได้อย่างรวดเร็ว (แต่ก็มีช่วงเนือยๆบ้างนิดหน่อย)
¡Que viva México! ผลงานการกำกับและเขียนบทโดยหลุยส์ เอสตราด้า ซึ่งเป็นโปรเจ็คต์แรกในรอบ 10 ปีของเจ้าตัว
เรื่องยังพูดถึงเรื่องของการเมืองท้องถิ่น การฉ้อฉลจากผู้มีอำนาจรัดที่คอยเอาเปรียบคนยากจน
ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินกับประเทศที่กำลังพัฒนา..ถึงได้ไม่พัฒนาไปไหนสักที
ความวายป่วง โกลาหล ความโลภโมโทสันอย่างสุดขั้วโดยไม่สนว่าใครจะเป็นอย่างไร
ทุกฝ่ายคิดอย่างเดียวก็คือการกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะไปได้ ทั้งหมดเราจะได้พบในหนังเรื่องนี้ ...
โดยในตอนแรกนั้นคนดูอย่างเราจะรู้สึกไม่ชอบปันโช่อย่างแรงว่าทำไมแกมันอกตัญญูขนาดนี้ ทิ้งครอบครัวไม่ยอมกลับบ้านบ้าง
แต่พอดูๆ ไปเราก็พอเข้าใจ เพราะตระกูลเรเยสทุกคนทำตัวเหมือนปลิงที่พร้อมจะดูดเลือดลูกชายคนนี้จนหมดเนื้อหมดตัวเช่นกัน
“ฉันอาจจะชนะศึก แต่ฉันก็พ่ายแพ้ต่อสงคราม” เป็นประโยคหนึ่งในหนังเรื่องนี้ ซึ่งผมว่าเป็นบทสรุปปิดท้ายที่เข้าท่าทีเดียวครับ...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== ¡Que viva México! (2023) มรดก..อลหม่าน.. ==
Pancho Reyes ผู้จัดการโรงงานในครอบครัวจากชนชั้นกลาง (ที่กำลังไต่เต้าไปอีกระดับ)
ที่พยายามทำงานอย่างหนักทุกวันเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของมารี ภรรยาและลูกอีกสองคนของพวกเขา
จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อของปันโช่โทรมาบอกว่า ปู่ของเขาเสียชีวิต และเพื่อทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของปู่
ตัวของเขาต้องมาร่วมงานศพให้ได้เพื่อฟังพินัยกรรม...
ปันโช่ไม่ต้องการที่จะรับรู้และยุ่งเกี่ยวอะไรกับครอบครัวที่ยากจนของเขา ซึ่งเขาละทิ้งมานานกว่า 20 ปี
แต่ทว่าภรรยาของเขากลับสนับสนุนโดยบอกว่า อาจจะมีมรดกก้อนใหญ่ที่คุณปู่เก็บไว้ให้เขาก็เป็นได้..
ปันโช่จึงตัดสินกลับบ้าน โดยไม่รู้ว่าความวุ่นวายมหาศาลกำลังรอเขาอยู่.....
¡Que viva México! เป็นหนังตลกที่เสียดสีเรื่องของระบบชนชั้น ความเหลื่อมล้ำ ที่สะท้อนผ่านตัวของเรเยส
ชายหนุ่มจากบ้านนอกมาเล่าเรียนในเมืองใหญ่ ก่อนที่จะไต่เต้าจนได้ดิบได้ดี การงานก็กำลังไปได้ไกล
มีภรรยาหน้าตาสวย ลูกๆที่น่ารักอีก 2 คน แต่เขากลับทอดทิ้งครอบครัวผู้ให้กำเนิดที่อยู่ต่างเมือง โดยไม่เคยกลับไปเหลียวแลเลยแม้แต่น้อย
ด้วยความยาวถึง 191 นาที (ยาวเกิ้น) ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถทำเป็นมินิซีรี่ย์ได้ไม่ยาก ตัดต่อแบ่งได้เป็น 6 ตอนสบายๆ ..
จำนวนตัวละครเครือญาตินั้นมีเยอะมาก แต่ไม่มีปัญหาสำหรับการรับชมเพราะตัวหนังแบ่งสันปันส่วนได้ดี
แทบทุกคนมีบทบาทที่ชัดเจนไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาชมยาวพอสมควร
แต่หนังไม่มีช่วงให้เราพักหายใจหายคอได้เลย เพราะการดำเนินเรื่องทุกอย่างไปได้อย่างรวดเร็ว (แต่ก็มีช่วงเนือยๆบ้างนิดหน่อย)
¡Que viva México! ผลงานการกำกับและเขียนบทโดยหลุยส์ เอสตราด้า ซึ่งเป็นโปรเจ็คต์แรกในรอบ 10 ปีของเจ้าตัว
เรื่องยังพูดถึงเรื่องของการเมืองท้องถิ่น การฉ้อฉลจากผู้มีอำนาจรัดที่คอยเอาเปรียบคนยากจน
ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินกับประเทศที่กำลังพัฒนา..ถึงได้ไม่พัฒนาไปไหนสักที
ความวายป่วง โกลาหล ความโลภโมโทสันอย่างสุดขั้วโดยไม่สนว่าใครจะเป็นอย่างไร
ทุกฝ่ายคิดอย่างเดียวก็คือการกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะไปได้ ทั้งหมดเราจะได้พบในหนังเรื่องนี้ ...
โดยในตอนแรกนั้นคนดูอย่างเราจะรู้สึกไม่ชอบปันโช่อย่างแรงว่าทำไมแกมันอกตัญญูขนาดนี้ ทิ้งครอบครัวไม่ยอมกลับบ้านบ้าง
แต่พอดูๆ ไปเราก็พอเข้าใจ เพราะตระกูลเรเยสทุกคนทำตัวเหมือนปลิงที่พร้อมจะดูดเลือดลูกชายคนนี้จนหมดเนื้อหมดตัวเช่นกัน
“ฉันอาจจะชนะศึก แต่ฉันก็พ่ายแพ้ต่อสงคราม” เป็นประโยคหนึ่งในหนังเรื่องนี้ ซึ่งผมว่าเป็นบทสรุปปิดท้ายที่เข้าท่าทีเดียวครับ...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===