‘หมอมิ้ง’ ลั่นพท.โกยคะแนนปิดสวิตซ์ ส.ว. ‘พิธา’ ขอเปลี่ยนนายกฯ โพลเป็นนายกตัวจริง.
https://www.dailynews.co.th/news/2285624/
"หมอมิ้ง" ลั่น พท. โกยคะแนนแลนด์สไลด์ ปิดสวิตช์ ส.ว. สกัดพรรคได้เสียงข้างน้อย ตั้งรัฐบาล พร้อมดันนโยบายสร้างเศรษฐกิจ-ปากท้อง ปชช.-แก้ รธน. เจ้าตัวย้ำพูดอะไรบนเวที เสมือน "เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง-ชัยเกษม" พูดทุกประการ ฟาก "พิธา" ขอ ปชช. เปลี่ยนนายกฯ โพลเป็นนายกฯ ตัวจริง ย้ำโรดแม็พ 100 วัน เปลี่ยนประเทศหากเป็นรัฐบาล
เมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน มติชน X เดลินิวส์ ร่วมจัดดีเบตเป็นครั้งแรกในเวที “สงคราม 9 พรรค THE LAST WAR” โดยเวทีรอบที่ 3 “
เวที แม่ทัพ…วิสัยทัศน์และสัญญาประชาคม” มีนาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นาย
เกียรติ สิทธีอมร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และทีมเศรษกิจ มาแทน นาย
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ติดภารกิจงานศพบิดา คุณหญิง
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย นาย
วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และนาย
สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า นพ.
พรหมมินทร์ เลิศสุริเดช ประธานคณะกรรมการด้านนโยบายและเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ร่วมในเวที
ทั้งนี้ ได้มีการเชิญหัวหน้าพรรคหรือตัวแทนพรรค ออกมาโชว์นโยบายของแต่ละพรรค โดย นพ.
พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ตัวแทนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเลือกตั้งเดือน พ.ค. นี้ เป็นสิทธิของทุกคนว่าจะพาประเทศไปแบบไหน จะเลือกอยู่กับสภาพเดิม หรือจะเป็นทางเลือกใหม่ ฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารตลอด 9 ปี ที่มีการสืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญ 2560 ก็เป็นสิทธิของแต่ละคน สำหรับยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย คือการทวงคืนประชาธิปไตยอย่างสันติวิธี คือการเอาชนะการเลือกตั้งมีเสียงข้างมากเกินครึ่งหนึ่งเพื่อเข้าสภา ปกป้องการตั้งรัฐบาลจากพรรคที่มีเสียงข้างน้อย และเอาชนะเสียง ส.ว. 250 เสียง ซึ่งการที่เราจะชนะได้ด้วยการมีนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งจะทำได้ก็ต้องปลดปล่อยพลังของประชาชนด้วยการมีเสรีภาพมีความเสมอภาค มีความเท่าเทียม เมื่อเป็นรัฐบาลแล้ว จะมุ่งมั่นจะเข้าไปแก้รัฐธรรมนูญผ่านกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยคือกระบวนการของ ส.ส.ร.
สำหรับนโยบายของเพื่อไทย อาทิ เน้นเรื่องของการสร้างรายได้ให้กับทุกกลุ่ม เพื่อสร้างเศรษฐกิจของเทศ ด้วยการพักหนี้เกษตร 3 ปี ปรับลดค่าพลังงาน ส่งเสริมครอบครัวไทยมีรายได้ 2 แสนบาทต่อปี ปราบปรามยาเสพติด ยึดทรัพย์ผู้ค้า และกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วด้วยประเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ตลอดจนนโยบายเปลี่ยนประเทศไปสู่ Digital economy ในทุกภาคส่วนทั้งการศึกษา เช่น แจกแท็บเล็ต ภาคการเกษตร เชื่อมตลาดกับผู้ผลิต ตลอดจนระบบดิจิทัลในระบบราชการ
เมื่อถามว่าถ้าประเทศไทยชนะการเลือกตั้งและสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราจะได้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ
แพทองธาร หรือนาย
เศรษฐา หรือนาย
ชัยเกษม กล่าวว่า จะเห็นว่าเราเสนอผู้มีความสามารถ 3 คน ที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการผลักดันประเทศให้เป็นสัญลักษณ์ว่า พรรคการเมืองของเราคือพรรคที่ไม่ได้มาจากบุคคล แต่มาจากองค์ประกอบสำคัญที่เชื่อม องค์ประกอบคือทั้ง 3 คน เช่น นาย
เศรษฐา มีความรู้ด้านเศรษฐกิจ ส่วน น.ส.
แพทองธาร เป็นตัวเชื่อมคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญคือเชื่อมเอาความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องประชาชนเข้ามาได้อย่างลึกซึ้ง ส่วนนาย
ชัยเกษม นิติสิริ ก็เป็นบุคคลที่อยู่ในระบบยุติธรรมมาตลอด แม้กระทั่งการถูกรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 ก็เป็นตัวแทนของรัฐบาลที่ตอบว่า “
เราจะไม่ลาออกเพราะไม่มีกฎหมายให้ลาออก” จึงเป็นคำตอบที่ถูกยึดอำนาจไป ดังนั้น 3 คนนี้ คนใดคนหนึ่ง สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ทั้งหมด
เมื่อถามว่า นพ.
พรหมมินทร์ ขึ้นเวทีดีเบตในฐานะตัวแทนแคนดิเดต นายกฯ ของพรรคการเมือง และว่าสิ่งที่ นพ.
พรหมินทร์ ถ่ายทอด คือสิ่งเดียวกับที่แคนดิเดตตัวจริง จะพูดและคำในอนาคตหรือไม่ แล้วจะเป็นอย่างไร หากเขาเหล่านั้นไม่ได้ลงมือทำ นพ.
พรหมมินทร์ กล่าวว่า คำตอบเหมือนกับที่ผ่านมา คือ เราคือพรรคการเมืองที่หัวใจคือประชาชน ปัจจัยสำคัญที่เราชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง เพราะปัจจัย 3 ประการคือ
1. มี ส.ส. ที่ใกล้ชิดประชาชน รับรู้ความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมทั้งมีคำตอบให้
2. กำหนดนโยบาย ผ่านการพูดคุยของคณะบริหาร ที่มีประสบการณ์
และ 3. ตัวแทน คือแคนดิเดตนายกฯ 3 คน ทั้งนี้ จะเห็นว่านโยบายเราผ่านการพูดคุยจากคณะใหญ่ ที่มีประสบการณ์ ทั้งภาครัฐ เอกชน ผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์จากการบริหารราชการแผ่นดิน ระดมสมอง ซึ่งคนเหล่านี้ต่างหากที่จะมาช่วยประกอบเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็ง พร้อมแก้ปัญหาของประชาชน เพราะฉะนั้นตนพูดอะไร ก็คือพูดเหมือนกับทุกท่าน
ขณะที่นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอใช้เวทีนี้ในการประกาศความพร้อมของรัฐบาลก้าวไกล ประกาศความพร้อมของนายกรัฐมนตรีตัวจริง ที่ชื่อ
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งการจะเปลี่ยนจากนายกฯ โพลให้มาเป็นนายกฯ ตัวจริง ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่า เราพร้อม ด้วยอุดมการณ์ที่สืบมาตั้งแต่ตอนเป็นพรรคอนาคตใหม่ และประสบการณ์ในสภา 4 ปี ของพรรคก้าวไกล ทั้งนี้ เรามีโรดแม็พ 100 วัน วันแรกที่ก้าวเป็นรัฐบาล ผ่านยุทธศาสตร์การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยประชาชนเพื่อประชาชน ทบทวนคดีการเมือง และเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมคดีการเมืองเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง ต่อสู้กับคอร์รัปชั่นโดยการเป็นรัฐเปิดเผยข้อมูลงบประมาณทุกบาท ที่มี AI ในการจับโกง ไม่ว่าจะเป็นธงแดง โครงการสอบพิรุธห้ามใช้เงินหลวงโปรโมตตัวเอง ปลดล็อกท้องถิ่น โดยยกเลิกกฎระเบียบกระทรวงมหาดไทย ที่เป็นอุปสรรคทั้งหมด นำกฎหมายสมรสเท่าเทียมขึ้นมาพิจารณาต่อภายใน 60 วัน และผลักดันให้ผ่านสภาวาระ 2 วาระ 3 ให้ได้
ส่วนการทำงานปากท้องดีใน 100 วัน ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ นโยบายหวย เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท แก้สูตรค่าไฟลดได้ 70 สตางค์ และช่วย SME จ่ายประกันสังคม 6 เดือน ค่าแรงหักภาษีได้ 2 เท่า 2 ปี และผลักดัน พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า นอกจากนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีอนาคตที่ดีกว่านี้ จะต้องปฏิวัติการศึกษา จากเรียนมากได้น้อย เป็นการเรียนเน้นได้มาก ยกเลิกให้ครูนอนเวร ให้มีสิทธิมนุษยชนในโรงเรียน คืนศักดิ์ศรีไทย ในเวทีโลก ส่งเสริมสุขภาพทั้งกาย และสุขภาพจิต เน้นป้องกันมากกว่ารักษา ส่วนภายใน 1 ปีแรก จะเดินหน้าแก้กฎหมาย 45 ฉบับ คือ กฎหมายการเมือง 11 ฉบับ สิทธิเสรีภาพ 8 ฉบับ ปฏิรูประบบราชการ 6 ฉบับ ปฏิรูปที่ดิน 8 ฉบับ บริหารสาธารณสุขฉบับแรงงาน 2 ฉบับ เศรษฐกิจ 4 ฉบับ และสิ่งแวดล้อม 2 ฉบับ นอกจากนี้จะรื้องบฯ ปี 2567 จำนวนล้าน 2 บาท เพื่อประสิทธิภาพจัดเก็บภาษี 50,000 ล้าน รวมเป็น 250,000 ล้านบาท แล้วเรียงลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหาในปีแรก ส่วนเรื่องของ 3 บิ๊กแบงที่จะทำใน 1 ปี คือ 1.ปลดล็อกเลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด 2.ยกเลิกการเกณฑ์ทหารให้เป็นระบบสมัครใจ และ 3.รื้อฟื้นคดีสลายการชุมนุมปี 2553 คืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง
เมื่อถามว่า จนถึงขนาดนี้ ขึ้นเวทีดีเบตแล้วกี่ครั้งคิดว่ามากที่สุดหรือไม่ และหลังจากผลโพล มติชน-เดลินิวส์ ทำให้มั่นใจมากยิ่งขึ้นหรือไม่ นาย
พิธา กล่าวว่า มากที่สุดไม่สำคัญเท่าเหมาะที่สุด สิ่งสำคัญคือการที่เราได้มาพบปะกัน
เมื่อถามต่อว่า ถึงจุดนี้ยืนยันได้แล้วหรือไม่ ว่าพร้อมเปลี่ยนนายกฯ และคิดว่าจะมีใครมาขวางเส้นทางตน และภาคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เราพูดถึงความพร้อมไปแล้ว ส่วนจะมีอุปสรรคหรือไม่ เราตระหนักเรื่องนี้ แต่เราไม่ตระหนก เพราะเรารู้ดีว่าเมื่อเราจุดไฟในสายลมติดแล้ว เมื่อสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงมา แล้วเมื่อผู้มีอำนาจหรือการเมืองแบบเก่า ไม่สามารถจัดการเราได้ เขาก็จะสาดโคลนตกสกปรกให้เรา จะเล่นวิชามารในการจัดการ เคยรังแกอนาคตใหม่อย่างไรก็รังแกก้าวไกลแบบนั้นเลย แต่ครั้งนี้จะสู้กันด้วยความจริงใจ สู้ด้วยความสร้างสรรค์ สู้กันด้วยการเมืองแห่งความหวัง โคลนสาดโคลนไม่ช่วยอะไร ต้องเอาความสว่างไล่ความมืด ดังนั้นเราต้องไม่หลงกลและมีสมาธิในการทำงานช่วงโค้งสุดท้าย.
2 นารีขี่ม้าศึก ‘อ๋อม-หมิว’ รัวกลองรบ ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร เลิกทนตรรกะบิดเบี้ยว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3956181
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 2 พฤษภาคม ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้า สยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ มติชนxเดลินิวส์ ร่วมจัดดีเบตเป็นครั้งแรกในเวที “
สงคราม 9 พรรค THE LAST WAR” โดยรอบที่ 1 เวที “
Young blood วัดอนาคต”
น.ส.
สกาวใจ พูนสวัสดิ์ หรือ
อ๋อม ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 13 พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จุดยืนทางการเมืองของตนคือประชาธิปไตยเต็มใบ 100% รัฐประหารคืออาชญากรรม และคนทำรัฐประหารคืออาชญากร เราควรนำคนที่ทำรัฐประหารมาดำเนินคดีไม่ว่าจะกรณีใดก็แล้วแต่ เพราะเป็นการดึงประเทศให้ถอยหลัง การเมืองที่ดีควรจะรับฟังกันแม้จะเห็นต่างกัน แต่ก็ควรพูดคุยกัน ประชาธิปไตยและรัฐสภาเป็นทางออกของผู้มีอารยะ สำหรับแรงจูงใจที่ทำให้ลงมาทำงานการเมืองคือปัญหาของพี่น้องประชาชน ตนก็เป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่งที่มองเห็นปัญหาและตรรกะที่บิดเบี้ยวมาตลอด 8-9 ปี สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานคือสิ่งที่ถูกริดรอนไป
“
ประชาชนเห็นต่างจากรัฐบาลถูกยัดเยียดคำว่าชังชาติ ซึ่งตนก็โดนยัดเยียดคำนี้เช่นกัน เพียงเพราะออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่ไม่เอาไหน ทำงานไม่ได้ ล้มเหลว นี่หรือชังชาติ เราแค่อยากส่งต่ออนาคตที่ดีให้ลูกหลานของเรา แต่เราเกลียดรัฐบาลที่กำลังบริหารอยู่ รัฐบาลที่พูดนโยบายแล้วทำไม่ได้ เราจะทนให้ประชาชนทนดูการบริหารของรัฐบาลที่ไม่มีทิศทาง เอางบประมาณไม่ตรงจุดหรือ เมื่อพูดไม่ได้ ตนจึงตัดสินใจลงมาทำงานการเมือง” น.ส.
สกาวใจกล่าว
ด้าน น.ส.
สิริลภัส กองตระการ หรือ
หมิว พรรคก้าวไกล ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 14 กล่าวว่า ตนก้าวเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะได้เห็นความเหลื่อมล้ำ ได้เห็นชีวิตจริงยิ่งกว่าละครที่ได้เคยเล่นมา ตอนที่ได้ทำหน้าที่พิธีกรรายการหนึ่ง ได้เห็นเด็กที่หลุดออกจากวงโคจรการศึกษาเพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งเสีย ได้เห็นบ้านหนึ่งที่ต้องทำงานเก็บเงินทั้งเดือนเพื่อเช่ารถหนึ่งคัน พาลูกที่ป่วยไปหาหมอที่โรงพยาบาลหัวเมือง ไปเจอน้องชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตกับพ่อที่ป่วยติดเตียง และจับได้ใบแดงเข้าเป็นทหาร เราจึงเกิดคำถามที่ว่าทำไมภาษีที่เราจ่ายไป จึงไม่ได้กลับมาสร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า เพื่อรองรับระบบสาธารณูปโภค การศึกษา และสาธารณสุขให้กับคนไทย ภาษีที่เราเสียไปแต่ละปีเป็นล้านๆ บาท ทำไมจึงผันกลับมาเป็นสวัสดิการที่ดีให้คนไทยที่เจ้าของภาษีไม่ได้
น.ส.
สิริลภัสกล่าวต่อว่า ตอนที่ตนเป็นนักแสดง ตนออกมาคอลเอาต์ จึงทำได้แค่พูด ซึ่งเป็นเสียงที่ดังกว่าชาวบ้าน แต่ถ้าได้ก้าวเข้าไปเป็น ส.ส.ในสภา ตนมั่นใจว่าจะสามารถเป็นตัวแทนประชาชน พูดให้ทรงพลัง พูดให้เสียงดังที่สุด พูดเรื่องความลำบากปากท้องของประชาชนในสภา ให้ผ่านนิติบัญญัติ ผ่านกฎหมาย ผ่านนโยบาย ให้คนไทยมีชีวิตที่ดี ที่ควรจะมีและดีกว่านี้ได้ ส่วนเรื่องนโยบายที่เราอยากจะชูคือ การเมืองดี ปากท้องดี และมีอนาคต การเมืองดีคือ การทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน, การปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เพื่อเอาลูกคืนบ้านเอาหลานคืนมา, รัฐโปร่งใสไร้กลโกง เปิดเผยข้อมูลของรัฐให้ประชาชนเข้าถึงได้ ไม่มีการมุบมิบ การจัดซื้อจัดจ้างต้องรับรู้โดยประชาชนตลอด และการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อกระจายอำนาจ และกระจายความเจริญ ไม่ใช่ประเทศกรุงเทพฯอย่างเดียว เพราะมีหลายจังหวัดต้องการปกครองตนเอง และใช้งบประมาณเพื่อคนในพื้นที่จริง
JJNY : ‘หมอมิ้ง’ลั่นปิดสวิตซ์ ส.ว.│2 นารีขี่ม้าศึก│ทัวริสต์จีน4เดือนวืดเป้า โอดพิษวีซ่าทุบ│หัวหน้า“แวกเนอร์” จวกรัสเซีย
https://www.dailynews.co.th/news/2285624/
"หมอมิ้ง" ลั่น พท. โกยคะแนนแลนด์สไลด์ ปิดสวิตช์ ส.ว. สกัดพรรคได้เสียงข้างน้อย ตั้งรัฐบาล พร้อมดันนโยบายสร้างเศรษฐกิจ-ปากท้อง ปชช.-แก้ รธน. เจ้าตัวย้ำพูดอะไรบนเวที เสมือน "เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง-ชัยเกษม" พูดทุกประการ ฟาก "พิธา" ขอ ปชช. เปลี่ยนนายกฯ โพลเป็นนายกฯ ตัวจริง ย้ำโรดแม็พ 100 วัน เปลี่ยนประเทศหากเป็นรัฐบาล
เมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน มติชน X เดลินิวส์ ร่วมจัดดีเบตเป็นครั้งแรกในเวที “สงคราม 9 พรรค THE LAST WAR” โดยเวทีรอบที่ 3 “เวที แม่ทัพ…วิสัยทัศน์และสัญญาประชาคม” มีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายเกียรติ สิทธีอมร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และทีมเศรษกิจ มาแทน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ติดภารกิจงานศพบิดา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริเดช ประธานคณะกรรมการด้านนโยบายและเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ร่วมในเวที
ทั้งนี้ ได้มีการเชิญหัวหน้าพรรคหรือตัวแทนพรรค ออกมาโชว์นโยบายของแต่ละพรรค โดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ตัวแทนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเลือกตั้งเดือน พ.ค. นี้ เป็นสิทธิของทุกคนว่าจะพาประเทศไปแบบไหน จะเลือกอยู่กับสภาพเดิม หรือจะเป็นทางเลือกใหม่ ฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารตลอด 9 ปี ที่มีการสืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญ 2560 ก็เป็นสิทธิของแต่ละคน สำหรับยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย คือการทวงคืนประชาธิปไตยอย่างสันติวิธี คือการเอาชนะการเลือกตั้งมีเสียงข้างมากเกินครึ่งหนึ่งเพื่อเข้าสภา ปกป้องการตั้งรัฐบาลจากพรรคที่มีเสียงข้างน้อย และเอาชนะเสียง ส.ว. 250 เสียง ซึ่งการที่เราจะชนะได้ด้วยการมีนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งจะทำได้ก็ต้องปลดปล่อยพลังของประชาชนด้วยการมีเสรีภาพมีความเสมอภาค มีความเท่าเทียม เมื่อเป็นรัฐบาลแล้ว จะมุ่งมั่นจะเข้าไปแก้รัฐธรรมนูญผ่านกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยคือกระบวนการของ ส.ส.ร.
สำหรับนโยบายของเพื่อไทย อาทิ เน้นเรื่องของการสร้างรายได้ให้กับทุกกลุ่ม เพื่อสร้างเศรษฐกิจของเทศ ด้วยการพักหนี้เกษตร 3 ปี ปรับลดค่าพลังงาน ส่งเสริมครอบครัวไทยมีรายได้ 2 แสนบาทต่อปี ปราบปรามยาเสพติด ยึดทรัพย์ผู้ค้า และกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วด้วยประเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ตลอดจนนโยบายเปลี่ยนประเทศไปสู่ Digital economy ในทุกภาคส่วนทั้งการศึกษา เช่น แจกแท็บเล็ต ภาคการเกษตร เชื่อมตลาดกับผู้ผลิต ตลอดจนระบบดิจิทัลในระบบราชการ
เมื่อถามว่าถ้าประเทศไทยชนะการเลือกตั้งและสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราจะได้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ แพทองธาร หรือนายเศรษฐา หรือนาย ชัยเกษม กล่าวว่า จะเห็นว่าเราเสนอผู้มีความสามารถ 3 คน ที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการผลักดันประเทศให้เป็นสัญลักษณ์ว่า พรรคการเมืองของเราคือพรรคที่ไม่ได้มาจากบุคคล แต่มาจากองค์ประกอบสำคัญที่เชื่อม องค์ประกอบคือทั้ง 3 คน เช่น นายเศรษฐา มีความรู้ด้านเศรษฐกิจ ส่วน น.ส.แพทองธาร เป็นตัวเชื่อมคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญคือเชื่อมเอาความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องประชาชนเข้ามาได้อย่างลึกซึ้ง ส่วนนายชัยเกษม นิติสิริ ก็เป็นบุคคลที่อยู่ในระบบยุติธรรมมาตลอด แม้กระทั่งการถูกรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 ก็เป็นตัวแทนของรัฐบาลที่ตอบว่า “เราจะไม่ลาออกเพราะไม่มีกฎหมายให้ลาออก” จึงเป็นคำตอบที่ถูกยึดอำนาจไป ดังนั้น 3 คนนี้ คนใดคนหนึ่ง สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ทั้งหมด
เมื่อถามว่า นพ.พรหมมินทร์ ขึ้นเวทีดีเบตในฐานะตัวแทนแคนดิเดต นายกฯ ของพรรคการเมือง และว่าสิ่งที่ นพ.พรหมินทร์ ถ่ายทอด คือสิ่งเดียวกับที่แคนดิเดตตัวจริง จะพูดและคำในอนาคตหรือไม่ แล้วจะเป็นอย่างไร หากเขาเหล่านั้นไม่ได้ลงมือทำ นพ.พรหมมินทร์ กล่าวว่า คำตอบเหมือนกับที่ผ่านมา คือ เราคือพรรคการเมืองที่หัวใจคือประชาชน ปัจจัยสำคัญที่เราชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง เพราะปัจจัย 3 ประการคือ
1. มี ส.ส. ที่ใกล้ชิดประชาชน รับรู้ความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมทั้งมีคำตอบให้
2. กำหนดนโยบาย ผ่านการพูดคุยของคณะบริหาร ที่มีประสบการณ์
และ 3. ตัวแทน คือแคนดิเดตนายกฯ 3 คน ทั้งนี้ จะเห็นว่านโยบายเราผ่านการพูดคุยจากคณะใหญ่ ที่มีประสบการณ์ ทั้งภาครัฐ เอกชน ผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์จากการบริหารราชการแผ่นดิน ระดมสมอง ซึ่งคนเหล่านี้ต่างหากที่จะมาช่วยประกอบเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็ง พร้อมแก้ปัญหาของประชาชน เพราะฉะนั้นตนพูดอะไร ก็คือพูดเหมือนกับทุกท่าน
ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอใช้เวทีนี้ในการประกาศความพร้อมของรัฐบาลก้าวไกล ประกาศความพร้อมของนายกรัฐมนตรีตัวจริง ที่ชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งการจะเปลี่ยนจากนายกฯ โพลให้มาเป็นนายกฯ ตัวจริง ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่า เราพร้อม ด้วยอุดมการณ์ที่สืบมาตั้งแต่ตอนเป็นพรรคอนาคตใหม่ และประสบการณ์ในสภา 4 ปี ของพรรคก้าวไกล ทั้งนี้ เรามีโรดแม็พ 100 วัน วันแรกที่ก้าวเป็นรัฐบาล ผ่านยุทธศาสตร์การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยประชาชนเพื่อประชาชน ทบทวนคดีการเมือง และเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมคดีการเมืองเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง ต่อสู้กับคอร์รัปชั่นโดยการเป็นรัฐเปิดเผยข้อมูลงบประมาณทุกบาท ที่มี AI ในการจับโกง ไม่ว่าจะเป็นธงแดง โครงการสอบพิรุธห้ามใช้เงินหลวงโปรโมตตัวเอง ปลดล็อกท้องถิ่น โดยยกเลิกกฎระเบียบกระทรวงมหาดไทย ที่เป็นอุปสรรคทั้งหมด นำกฎหมายสมรสเท่าเทียมขึ้นมาพิจารณาต่อภายใน 60 วัน และผลักดันให้ผ่านสภาวาระ 2 วาระ 3 ให้ได้
ส่วนการทำงานปากท้องดีใน 100 วัน ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ นโยบายหวย เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท แก้สูตรค่าไฟลดได้ 70 สตางค์ และช่วย SME จ่ายประกันสังคม 6 เดือน ค่าแรงหักภาษีได้ 2 เท่า 2 ปี และผลักดัน พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า นอกจากนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีอนาคตที่ดีกว่านี้ จะต้องปฏิวัติการศึกษา จากเรียนมากได้น้อย เป็นการเรียนเน้นได้มาก ยกเลิกให้ครูนอนเวร ให้มีสิทธิมนุษยชนในโรงเรียน คืนศักดิ์ศรีไทย ในเวทีโลก ส่งเสริมสุขภาพทั้งกาย และสุขภาพจิต เน้นป้องกันมากกว่ารักษา ส่วนภายใน 1 ปีแรก จะเดินหน้าแก้กฎหมาย 45 ฉบับ คือ กฎหมายการเมือง 11 ฉบับ สิทธิเสรีภาพ 8 ฉบับ ปฏิรูประบบราชการ 6 ฉบับ ปฏิรูปที่ดิน 8 ฉบับ บริหารสาธารณสุขฉบับแรงงาน 2 ฉบับ เศรษฐกิจ 4 ฉบับ และสิ่งแวดล้อม 2 ฉบับ นอกจากนี้จะรื้องบฯ ปี 2567 จำนวนล้าน 2 บาท เพื่อประสิทธิภาพจัดเก็บภาษี 50,000 ล้าน รวมเป็น 250,000 ล้านบาท แล้วเรียงลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหาในปีแรก ส่วนเรื่องของ 3 บิ๊กแบงที่จะทำใน 1 ปี คือ 1.ปลดล็อกเลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด 2.ยกเลิกการเกณฑ์ทหารให้เป็นระบบสมัครใจ และ 3.รื้อฟื้นคดีสลายการชุมนุมปี 2553 คืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง
เมื่อถามว่า จนถึงขนาดนี้ ขึ้นเวทีดีเบตแล้วกี่ครั้งคิดว่ามากที่สุดหรือไม่ และหลังจากผลโพล มติชน-เดลินิวส์ ทำให้มั่นใจมากยิ่งขึ้นหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า มากที่สุดไม่สำคัญเท่าเหมาะที่สุด สิ่งสำคัญคือการที่เราได้มาพบปะกัน
เมื่อถามต่อว่า ถึงจุดนี้ยืนยันได้แล้วหรือไม่ ว่าพร้อมเปลี่ยนนายกฯ และคิดว่าจะมีใครมาขวางเส้นทางตน และภาคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เราพูดถึงความพร้อมไปแล้ว ส่วนจะมีอุปสรรคหรือไม่ เราตระหนักเรื่องนี้ แต่เราไม่ตระหนก เพราะเรารู้ดีว่าเมื่อเราจุดไฟในสายลมติดแล้ว เมื่อสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงมา แล้วเมื่อผู้มีอำนาจหรือการเมืองแบบเก่า ไม่สามารถจัดการเราได้ เขาก็จะสาดโคลนตกสกปรกให้เรา จะเล่นวิชามารในการจัดการ เคยรังแกอนาคตใหม่อย่างไรก็รังแกก้าวไกลแบบนั้นเลย แต่ครั้งนี้จะสู้กันด้วยความจริงใจ สู้ด้วยความสร้างสรรค์ สู้กันด้วยการเมืองแห่งความหวัง โคลนสาดโคลนไม่ช่วยอะไร ต้องเอาความสว่างไล่ความมืด ดังนั้นเราต้องไม่หลงกลและมีสมาธิในการทำงานช่วงโค้งสุดท้าย.
2 นารีขี่ม้าศึก ‘อ๋อม-หมิว’ รัวกลองรบ ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร เลิกทนตรรกะบิดเบี้ยว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3956181
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 2 พฤษภาคม ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้า สยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ มติชนxเดลินิวส์ ร่วมจัดดีเบตเป็นครั้งแรกในเวที “สงคราม 9 พรรค THE LAST WAR” โดยรอบที่ 1 เวที “Young blood วัดอนาคต”
น.ส.สกาวใจ พูนสวัสดิ์ หรือ อ๋อม ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 13 พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จุดยืนทางการเมืองของตนคือประชาธิปไตยเต็มใบ 100% รัฐประหารคืออาชญากรรม และคนทำรัฐประหารคืออาชญากร เราควรนำคนที่ทำรัฐประหารมาดำเนินคดีไม่ว่าจะกรณีใดก็แล้วแต่ เพราะเป็นการดึงประเทศให้ถอยหลัง การเมืองที่ดีควรจะรับฟังกันแม้จะเห็นต่างกัน แต่ก็ควรพูดคุยกัน ประชาธิปไตยและรัฐสภาเป็นทางออกของผู้มีอารยะ สำหรับแรงจูงใจที่ทำให้ลงมาทำงานการเมืองคือปัญหาของพี่น้องประชาชน ตนก็เป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่งที่มองเห็นปัญหาและตรรกะที่บิดเบี้ยวมาตลอด 8-9 ปี สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานคือสิ่งที่ถูกริดรอนไป
“ประชาชนเห็นต่างจากรัฐบาลถูกยัดเยียดคำว่าชังชาติ ซึ่งตนก็โดนยัดเยียดคำนี้เช่นกัน เพียงเพราะออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่ไม่เอาไหน ทำงานไม่ได้ ล้มเหลว นี่หรือชังชาติ เราแค่อยากส่งต่ออนาคตที่ดีให้ลูกหลานของเรา แต่เราเกลียดรัฐบาลที่กำลังบริหารอยู่ รัฐบาลที่พูดนโยบายแล้วทำไม่ได้ เราจะทนให้ประชาชนทนดูการบริหารของรัฐบาลที่ไม่มีทิศทาง เอางบประมาณไม่ตรงจุดหรือ เมื่อพูดไม่ได้ ตนจึงตัดสินใจลงมาทำงานการเมือง” น.ส.สกาวใจกล่าว
ด้าน น.ส.สิริลภัส กองตระการ หรือ หมิว พรรคก้าวไกล ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 14 กล่าวว่า ตนก้าวเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะได้เห็นความเหลื่อมล้ำ ได้เห็นชีวิตจริงยิ่งกว่าละครที่ได้เคยเล่นมา ตอนที่ได้ทำหน้าที่พิธีกรรายการหนึ่ง ได้เห็นเด็กที่หลุดออกจากวงโคจรการศึกษาเพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งเสีย ได้เห็นบ้านหนึ่งที่ต้องทำงานเก็บเงินทั้งเดือนเพื่อเช่ารถหนึ่งคัน พาลูกที่ป่วยไปหาหมอที่โรงพยาบาลหัวเมือง ไปเจอน้องชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตกับพ่อที่ป่วยติดเตียง และจับได้ใบแดงเข้าเป็นทหาร เราจึงเกิดคำถามที่ว่าทำไมภาษีที่เราจ่ายไป จึงไม่ได้กลับมาสร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า เพื่อรองรับระบบสาธารณูปโภค การศึกษา และสาธารณสุขให้กับคนไทย ภาษีที่เราเสียไปแต่ละปีเป็นล้านๆ บาท ทำไมจึงผันกลับมาเป็นสวัสดิการที่ดีให้คนไทยที่เจ้าของภาษีไม่ได้
น.ส.สิริลภัสกล่าวต่อว่า ตอนที่ตนเป็นนักแสดง ตนออกมาคอลเอาต์ จึงทำได้แค่พูด ซึ่งเป็นเสียงที่ดังกว่าชาวบ้าน แต่ถ้าได้ก้าวเข้าไปเป็น ส.ส.ในสภา ตนมั่นใจว่าจะสามารถเป็นตัวแทนประชาชน พูดให้ทรงพลัง พูดให้เสียงดังที่สุด พูดเรื่องความลำบากปากท้องของประชาชนในสภา ให้ผ่านนิติบัญญัติ ผ่านกฎหมาย ผ่านนโยบาย ให้คนไทยมีชีวิตที่ดี ที่ควรจะมีและดีกว่านี้ได้ ส่วนเรื่องนโยบายที่เราอยากจะชูคือ การเมืองดี ปากท้องดี และมีอนาคต การเมืองดีคือ การทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน, การปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เพื่อเอาลูกคืนบ้านเอาหลานคืนมา, รัฐโปร่งใสไร้กลโกง เปิดเผยข้อมูลของรัฐให้ประชาชนเข้าถึงได้ ไม่มีการมุบมิบ การจัดซื้อจัดจ้างต้องรับรู้โดยประชาชนตลอด และการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อกระจายอำนาจ และกระจายความเจริญ ไม่ใช่ประเทศกรุงเทพฯอย่างเดียว เพราะมีหลายจังหวัดต้องการปกครองตนเอง และใช้งบประมาณเพื่อคนในพื้นที่จริง