ประสบการณ์ขี่จักรยานปีละ 330 วัน เฉลี่ยเดือนละ 1200 กม ของผม (รวม 8 ปี 1 วัน นับจากวันที่ซื้อจักรยานขี่จริงจังครั้งแรก, ถ่ายรูปใบเสร็จค่าจักรยานเอาไว้) รวมทั้งความฟิต (คนละทางกับนักกีฬาติดยศ) ไม่มีประโยชน์ เพราะเพลตฟอร์มส่งอาหาร พัสดุ ยังไม่เปิดให้คน ตจว รับงานไปทำ
ปัญหาที่ผมเผชิญ คือ ร่างกายไม่สมประกอบ ออกจะเสียโฉมประมาณนึง มีภูมิแพ้ที่ต้องกินยาแล้วมึนเอ๋อ เพื่อไม่ให้คันจมูกน้ำมูกไหลทั้งวัน เสียบุคลิก และเป็นผื่นคันติดเชื้อเรื้อรัง งานที่ผมทำอยู่มันก็คือเขาเวทนาจ้างทำ เลี่ยงภูมิแพ้ได้บ้าง แต่มันวันละ 200 นิดๆ ไง งานที่พอจะเอาสิ่งที่เรียนมาไปทำได้ พอไม่มีคนค้ำประกัน มันก็เท่ากับติดกำแพงเข้าสู่ตลาดแรงงาน ผมก็เลยร่อนเร่เก็บขยะขายตอนค่ำ เป็นงานไซด์ไลน์ ไม่ต้องเกรงเสียบุคลิก โจรไม่ชอบ สาวไม่มอง คนไม่กล้าเข้าใกล้
ผมเชื่อว่า ถ้ารัฐบาลเปิดเพลตฟอร์ให้คนขี่จักรยาน (ซึ่งเป็นพาหนะที่ซ่อมเองได้ง่าย อะไหล่ถูกเงิน ได้ออกกำลังหัวใจแข็งแรง ผมไม่ฉีดวัคซีน ทุกรอบติดโควิดผมแค่นอนพัก กินพาราแล้วหาย) ได้มีงานทำ เสียภาษีตามระบบ มันคงดีไม่น้อย คนที่ไม่มีคนค้ำประกันทำงาน กู้เงิน ไม่มีทุนทำของขาย ไม่มีที่ขายของประจำ แม้ไม่มีปัญญาทำคอนเทนต์หลอกคนคลิ้กดู ให้คนล้อว่าเป็นตัวตึง ต้องจมอยู่กับงานคุ้ยขยะเก็บขวดขาย หรือเป็นแค่พาหนะที่ซื้อเบียร์ผ่านด่านตำรวจเมินแบบทุกวันนี้ นี่ไม่รวมพอเกิดอุบัติเหตุเป็นคดีจราจรยังต้องสำรองจ่าย 30000 ก่อนได้ใช้บัตรทองนะ
ชีวิตทุกวันผมมีแต่จะหาอะไรทำในแบบเดิมๆ เพื่อให้ได้รับเงินมากินข้าว ไม่มีเวลามาอัพสกิล ฝึกพูดเท่หๆ แบบพวกคนสมัยนี้ ถ้ามองว่าตัวเองทำตัวเองจนหรือเปล่า ผมไม่รู้แฮะ ความพังของร่างกายผมมาจากคนอื่นประมาท ตอกเข็มซ้ำด้วยตำรวจไม่ตามคดี กำลังกายที่หายไป จะทำอะไรแบบเดิมก็ทำให้สังคมที่ทำงานมองผมแย่ ผมก็เลยตัดปัญหามาหางานทำที่เขาเวทนาผม
ทุกวันนี้พรรคการเมืองขายนโยบายต่างๆ อ่านจากเอกสารเป็นเล่ม ผมคิดว่า 10 คน 67 พรรค ที่เขตผมมันน่าจะมีสักพรรคที่เห็นค่าคนจนขี่จักรยาน ให้เขาทำเงินได้บ้างน่ะ ทำเพลตฟอร์มแบบแอพดังทุกวันนี้ก็ได้ ผมไม่ได้ขอกินฟรีน่ะ
เลือกตั้งครั้งนี้ คนจนขี่จักรยานไม่อยากได้คาร์บอนเครดิต แต่อยากให้รัฐบาลหางานให้เขาทำ เช่น ส่งพัสดุ ส่งอาหาร ฯลฯ
ปัญหาที่ผมเผชิญ คือ ร่างกายไม่สมประกอบ ออกจะเสียโฉมประมาณนึง มีภูมิแพ้ที่ต้องกินยาแล้วมึนเอ๋อ เพื่อไม่ให้คันจมูกน้ำมูกไหลทั้งวัน เสียบุคลิก และเป็นผื่นคันติดเชื้อเรื้อรัง งานที่ผมทำอยู่มันก็คือเขาเวทนาจ้างทำ เลี่ยงภูมิแพ้ได้บ้าง แต่มันวันละ 200 นิดๆ ไง งานที่พอจะเอาสิ่งที่เรียนมาไปทำได้ พอไม่มีคนค้ำประกัน มันก็เท่ากับติดกำแพงเข้าสู่ตลาดแรงงาน ผมก็เลยร่อนเร่เก็บขยะขายตอนค่ำ เป็นงานไซด์ไลน์ ไม่ต้องเกรงเสียบุคลิก โจรไม่ชอบ สาวไม่มอง คนไม่กล้าเข้าใกล้
ผมเชื่อว่า ถ้ารัฐบาลเปิดเพลตฟอร์ให้คนขี่จักรยาน (ซึ่งเป็นพาหนะที่ซ่อมเองได้ง่าย อะไหล่ถูกเงิน ได้ออกกำลังหัวใจแข็งแรง ผมไม่ฉีดวัคซีน ทุกรอบติดโควิดผมแค่นอนพัก กินพาราแล้วหาย) ได้มีงานทำ เสียภาษีตามระบบ มันคงดีไม่น้อย คนที่ไม่มีคนค้ำประกันทำงาน กู้เงิน ไม่มีทุนทำของขาย ไม่มีที่ขายของประจำ แม้ไม่มีปัญญาทำคอนเทนต์หลอกคนคลิ้กดู ให้คนล้อว่าเป็นตัวตึง ต้องจมอยู่กับงานคุ้ยขยะเก็บขวดขาย หรือเป็นแค่พาหนะที่ซื้อเบียร์ผ่านด่านตำรวจเมินแบบทุกวันนี้ นี่ไม่รวมพอเกิดอุบัติเหตุเป็นคดีจราจรยังต้องสำรองจ่าย 30000 ก่อนได้ใช้บัตรทองนะ
ชีวิตทุกวันผมมีแต่จะหาอะไรทำในแบบเดิมๆ เพื่อให้ได้รับเงินมากินข้าว ไม่มีเวลามาอัพสกิล ฝึกพูดเท่หๆ แบบพวกคนสมัยนี้ ถ้ามองว่าตัวเองทำตัวเองจนหรือเปล่า ผมไม่รู้แฮะ ความพังของร่างกายผมมาจากคนอื่นประมาท ตอกเข็มซ้ำด้วยตำรวจไม่ตามคดี กำลังกายที่หายไป จะทำอะไรแบบเดิมก็ทำให้สังคมที่ทำงานมองผมแย่ ผมก็เลยตัดปัญหามาหางานทำที่เขาเวทนาผม
ทุกวันนี้พรรคการเมืองขายนโยบายต่างๆ อ่านจากเอกสารเป็นเล่ม ผมคิดว่า 10 คน 67 พรรค ที่เขตผมมันน่าจะมีสักพรรคที่เห็นค่าคนจนขี่จักรยาน ให้เขาทำเงินได้บ้างน่ะ ทำเพลตฟอร์มแบบแอพดังทุกวันนี้ก็ได้ ผมไม่ได้ขอกินฟรีน่ะ