85 ขอโวย! ยายพ้อเกิดมาไม่เคยเจอ ค่าไฟพุ่งพรวด 2,500 บาท แล้วจะเอาเงินที่ไหนกินข้าว
https://ch3plus.com/news/socialnews/weekend/344596
โลกออนไลน์แชร์คลิปจากผู้ใช้ TikTok @kungjazzy เมื่อคุณยายวัย 85 ปี ในพื้นที่ จ.นนทบุรี ออกมาระบายความอัดอั้น ถึงปมค่าไฟแพง โดยเมื่อเดือนมีนาคม เสียค่าไฟอยู่ที่ 3,100 บาท แต่พอบิลมาเมืองกลางเดือนเมษายน อยู่ที่ 5,600 กว่าบาท เพิ่มขึ้นมาถึง 2,500 บาท ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยตั้งแต่เกิดมา พ้อค่าไฟขึ้นขนาดนี้ แล้วจะเอาเงินที่ไหนกินข้าว ข้าวของแพงทุกอย่าง จะเอาอะไรกิน
รับชมทางยูทูบที่ :
https://youtu.be/tqLWRHttJ94
ร้านอาหาร-สถานบันเทิงจ๊ากค่าไฟพุ่งจ่ายเพิ่ม 70% ลูกค้านั่งดริงก์เอาต์ดอร์หายเกลี้ยง ส่วนห้างเฮ คนหนีร้อนตากแอร์เพิ่ม
https://www.matichon.co.th/economy/news_3938986
ร้านอาหาร-สถานบันเทิงจ๊ากค่าไฟพุ่งจ่ายเพิ่ม 70% ลูกค้านั่งดริงก์เอาต์ดอร์หายเกลี้ยง ส่วนห้างเฮ คนหนีร้อนตากแอร์เพิ่ม
เมื่อวันที่ 22 เมษายน นาย
ธนากร คุปตจิตต์ ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย เปิดเผยว่า สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว กำลังส่งผลต่อผู้ประกอบการเครื่องดื่มและสถานบันเทิง โรงแรม หรือร้านให้บริการดื่มกินทั่วไป ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายค่าไฟสูงเป็นเท่าตัว เพราะสถานบันเทิง โรงแรม หรือแม้ร้านอาหารทั่วไป ต้องมีตู้แช่อาหารแช่เครื่องดื่ม ภายในอาคารต้องติดแอร์ตลอดเวลาของการเปิดบริการ สถานบันเทิงต้องมีแสงและเสียงจากดนตรีให้บริการ ซึ่งอากาศร้อน 1 องศา มีผลต่อค่าไฟ 3% รวมถึงผลกระทบจากพฤติกรรมคนไทยหรือนักท่องเที่ยวลดการนั่งกินหรือดื่มบริเวณไม่ติดแอร์ หรือกลางแจ้ง (เอาต์ดอร์) ระบุนั่งในพื้นที่ติดแอร์แทน ทำให้พื้นที่การขายลดลง
“
การค้าขายยังปกติ แต่บรรยากาศไม่เอื้ออำนวยจากภาวะอากาศร้อนอบอ้าว ที่ควรจะดีกว่านี้ จากที่ยอดขายหลังเปิดประเทศและยังอยู่ในช่วงพักผ่อนของนักท่องเที่ยวหรือคนไทยบางส่วน หายไปเกือบหมด แต่ก็ยังมีท่องเที่ยวกลางคืนพยุงได้ แต่ก็ติดในเรื่องเวลาปิดที่ยังไม่ได้ขยายเวลาตามที่เคยเสนอไปก่อนหน้านี้ สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ยังขายได้ต่อเนื่องและยังดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 20-30% ด้วยยังอยู่ในช่วงบรรยากาศใกล้เลือกตั้ง ที่จะยังมีการสังสรรค์ และพบปะกันอยู่เป็นการทั่วไป แต่ร้านอาหารทั่วไปที่ขายอาหารและเครื่องดื่ม เมื่อหลบมานั่งแอร์ พื้นที่ขายก็ลดลง รายได้ที่ควรได้ก็จะลดลง แต่คงไม่อาจประเมินได้ว่าสูญเสียรายได้เท่าไหร่” นาย
ธนากรกล่าว
นาง
ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า สถานการณ์ค่าไฟฟ้าในตอนนี้ ถือว่าปรับขึ้นมาสูงมาก โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ จากการสอบถามร้านอาหารแห่งหนึ่งพบว่า ค่าไฟฟ้าเดือนล่าสุดปรับขึ้นมาเป็น 1.7-1.8 ล้านบาท จากเดิม 1.1-1.2 ล้านบาทเท่านั้น เป็นการปรับขึ้นมากว่า 70% แต่ผู้ประกอบการในธุรกิจร้านอาหารไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นตามได้ทันที ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต้องเข้าไปอยู่ในการบริหารจัดการแทน ทำให้ค่าไฟที่แพงขึ้นส่งผลกระทบทั้งต่อธุรกิจ ที่มีต้นทุนมากขึ้น รายได้น้อยลง กำไรลดลง รวมถึงกระทบกับผู้บริโภคในส่วนของการจ่ายเท่าเดิม แต่ปริมาณที่ได้รับลดลง หรืออาจต้องจ่ายแพงขึ้นด้วย
นาย
ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล กล่าวว่า จากภาวะอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้ประชาชนยังเข้าใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมอย่างเซ็นทรัลเวิลด์หน้าร้อนนี้มีลูกค้าออกมาใช้บริการในศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% จากภาวะปกติ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาที่ทางศูนย์จัดเทศกาลดนตรีระดับโลก และเป็นจุดเล่นน้ำใจกลางเมืองที่มีคนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาร่วมงานกว่า 200,000 คน/วัน
แหล่งข่าวจากสมาคมค้าปลีก กล่าวถึงสถานการณ์อากาศร้อนและค่าไฟตามบ้านเรือนแพงขึ้นว่า จากการติดตามผู้ประกอบการ ได้รับการยืนยันว่า ยอดคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังเข้าใช้บริการในร้านค้าภายในศูนย์การค้า และในห้างสรรพสินค้าต่อเนื่อง แม้วันหยุดยาวช่วงสงกรานต์เพิ่งผ่านไป โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดเสาร์และอาทิตย์จะมีผู้บริโภคเข้าใช้บริการสูงตั้งแต่ช่วงสายของวัน หรือประมาณ 11.00 น.เป็นต้นไป จากเดิมมักเข้าห้างในช่วง 11.30-12.30 น. และอยู่ในห้าง ร้านค้า หรือศูนย์การค้า นานกว่าเดิม 30-40 นาที จากเดิมมักใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ก็เพิ่มเป็น 3-4 ชั่วโมง
“
ยังไม่อาจประเมินรายได้ว่าเพิ่มหรือไม่ แค่ไหน กำลังดูว่าเข้าเพื่อหลบอากาศร้อน และใช้จ่ายเหมือนเดิม หรือใช้เวลานานขึ้น ก็ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งก็คาดหวังว่าจะมียอดขายดีกว่าช่วงปกติหลังหมดเทศกาลประมาณ 3-5% แต่แง่จำนวนเชื่อว่าเพิ่มเกิน 10% แน่นอน ด้วยปีนี้ร้อนแรงและร้อนนาน ด้วยหลายปีที่ผ่านมาก่อนสงกรานต์หรือหลังสงกรานต์จะมีฝนตกบ้างแล้ว แต่ปีนี้ยังไม่มีความชัดเจน อีกทั้งเป็นภาวะอบอ้าวไม่มีลม แม้เปิดพัดลมหรือแอร์แต่ก็เจอปัญหาค่าไฟแพงกว่าปกติ ทำให้ประชาชนหันเข้าร้านหรือห้างที่มีอากาศเย็นสบายกว่า” แหล่งข่าวกล่าว
สยามอะเมซิ่งพาร์ค ผวาเม.ย.จ่ายค่าไฟแพงสุด นับจากเปิดบริการมา 43 ปี
https://www.matichon.co.th/economy/news_3938476
สวนน้ำสวนสนุกสยามอะเมซิ่งพาร์ค ผวาเม.ย.จ่ายค่าไฟแพงสุด นับจากเปิดบริการมา 43 ปี
นาง
นพกาญจน์ เหลืองอมรเลิศ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามพาร์คบางกอก จำกัด บริหารสวนน้ำสวนสนุกสยามอะเมซิ่งพาร์ค (สวนสยามเดิม) กล่าวว่า บิลค่าไฟฟ้าเดือนมีนาคม 2566 สูงขึ้นมาก และสูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน 65% โดยมียอดบิลถึง 2.8 ล้านบาท เป็นสัดส่วนค่าเอฟทีมากถึง 40% ซึ่งปกติค่าไฟหน้าร้อนจะอยู่ที่ 1.6-1.7 ล้านบาท/เดือน ปีนี้เข้าหน้าร้อนขยับเป็น 2.2-2.3 ล้านบาท และเป็นยอดค่าไฟที่เท่ากับเดือนมกราคมปีนี้ที่มียอดบิล 2.8 ล้านบาท ทั้งที่มีการเตรียมรับมือให้พนักงานช่วยกันประหยัดการใช้ไฟจุดที่ไม่จำเป็น ทั้งให้วิศกรตรวจเช็คระบบไฟเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
“
เราช่วยกันประหยัดเต็มที่ ก็แปลกใจว่ายอดเดือนมีนาคมยังสูงมาก แม้เวลาปิดเปิดและยอดใช้บริการก็ยังไม่เท่าเดิม เดือนมีนาคมยังไม่ร้อนเท่าเดือนเมษายน หวั่นๆ ว่าค่าไฟเดือนเมษายนน่าจะสูงถึง 3.5-3.6 ล้านบาท น่าทำนิวไฮที่เราต้องจ่ายค่าไฟแพงสุด อย่างไม่เคยเกิดขึ้น จากที่ได้เปิดให้บริการมา 43 ปี ยูนิตค่าไฟไม่ได้เพิ่มแต่ค่าเอฟทีสูงมาก อยากให้รัฐมาดูแลอัตราค่าเอฟทีให้ลดลงอย่างที่ธุรกิจต่างๆเสนอให้ต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วยในระยะสั้น ที่มีอากาศร้อนๆ น่าจะช่วยประชาชนและธุรกิจได้อีกทาง เพราะเราเชื่อว่าทุกคนทุกธุรกิจใช้ทุกวิธีที่จะประหยัดใช้ไฟ” นาง
นพกาญจน์ กล่าว
เลขาครป.คาใจ ทำไมคนไทยต้องรับกรรม ‘ค่าไฟแพง’ มึน 8 ปีไม่แก้สัญญาผูกขาด
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3938927
เลขาครป.คาใจ ทำไมคนไทยต้องรับกรรม ‘ค่าไฟแพง’ มึน 8 ปีไม่แก้สัญญาผูกขาด
เมื่อวันที่ 22 เมษายน นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาบอกว่าปัญหาค่าไฟแพงเป็นเรื่องของธุรกิจ เป็นข้อตกลงของสัญญา มีข้อผูกมัดหลายอย่างที่ต้องเป็นไปตามนั้น และรัฐบาลพยายามไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำหรือเสียเปรียบนั้น ถามว่าตอนรัฐประหารมีการใช้คำสั่งหัวหน้า คสช.รวมทั้งใช้อำนาจตามมาตรา 44 ถ้าเห็นว่าใบอนุญาตให้เอกชนผลิตไฟฟ้าของรัฐบาลก่อนไม่ชอบทำไมไม่สั่งยกเลิก
“
ตลอด 8 ปีที่มีอำนาจทำไมไม่แก้ไขสัญญาผูกขาดไฟฟ้าให้เป็นธรรม พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งตัวเองเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ยึดกุมกระทรวงพลังงาน ปลดเลขาธิการและแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ใหม่ทั้งหมด และหนึ่งในกรรมการ กกพ.ที่ถูกแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาบริษัทผลิตไฟฟ้าผูกขาด
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานของรัฐบาลประยุทธ์ ยังไปกำหนดให้ลดการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.ลง เพื่อไปรับซื้อจากเอกชนตามสัญญาซื้อขายที่เพิ่มขึ้น จนปัจจุบัน กฟผ.เหลือกำลังผลิตเพียง 34% ทั้งที่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 กำหนดให้ กฟผ. ลดการผลิตไฟฟ้าลงตามสัญญาให้เหลือเพียง 24% เพื่อที่จะใช้เงินของรัฐ ภาษีของประชาชน ไปซื้อไฟฟ้าจากโรงงานเอกชนแทน
ค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น ที่ประชาชนต้องรับภาระในแต่ละเดือน ขณะที่ไฟฟ้าสำรองล้นเกินแล้วรัฐบาลก็ยังรับซื้อกับเอกชนตามสัญญาไม่สิ้นสุด แถมก่อนยุบสภายังอนุมัติจัดซื้อไฟฟ้าเพิ่ม
เมื่อรัฐใช้งบประมาณจัดซื้อไฟฟ้ามากขึ้นโดยไม่จำเป็น และราคาค่าไฟฟ้าของ กฟผ. ถูกกำกับโดย กกพ. ก็มาเก็บส่วนเกินเพิ่มเติมจากประชาชนผ่านค่า Ft หรือค่าไฟฟ้าผันแปร ซึ่งเป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของ กฟผ.” นาย
เมธากล่าว
นาย
เมธากล่าวว่า ตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลทุกพรรคการเมืองช่วยกันหยุดการอนุญาตให้เอกชนผูกขาดการไฟฟ้า สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน ต้องเป็นบริการสาธารณะจากรัฐ เพราะเป็นทรัพยากรของส่วนรวม และขอเรียกร้องให้รัฐบาลรักษาการลดค่าไฟฟ้าลงให้ประชาชนโดยทันที โดยอย่างน้อย ต้องให้ กฟผ.กลับมาผลิตไฟฟ้าให้เกินกว่า 75% ของความต้องการของประเทศ เพื่อประกันความมั่นคงของประเทศ ซึ่งในอนาคตควรต้องให้เป็นกิจการของรัฐทั้งหมด
“
ต่อไปต้องเลิกซื้อไฟฟ้าเอกชน ให้กฟผ.ผลิตเอง 100% ทรัพยากรสาธารณะและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ต้องให้รัฐเป็นเจ้าของและจัดการเพื่อคนไทย เพราะระบบไฟฟ้าเป็นความมั่นคงของรัฐ ทำไมไม่ผลิตเองให้มากพอ ให้ราชการใช้ฟรีทุกหน่วยงาน เพราะใช้เงินภาษีประชาชนในการจ่ายค่าไฟอยู่แล้วเพื่อคืนไปกฟผ. กฟผ.ก็คืนให้รัฐ เพราะใช้เงินรัฐในการผลิตไฟฟ้า แค่ผลิตให้มากพอก็ให้ราชการใช้ฟรีได้ รวมถึงบ้านเรือนของประชาชนในราคาถูก ที่เหลือก็ไปขายต่อให้เอกชน โรงงานต่างๆ เป็นรายได้เข้ารัฐ นำไปพัฒนา กฟผ. และพัฒนาประเทศต่อไป” นาย
เมธากล่าว
JJNY : 85 ขอโวย! ค่าไฟพุ่งพรวด│จ๊ากค่าไฟพุ่ง เพิ่ม 70%│สยามอะเมซิ่งพาร์คผวา│เลขาครป.คาใจ│หมีขาวผงะ! พบระเบิดอีกลูก
https://ch3plus.com/news/socialnews/weekend/344596
โลกออนไลน์แชร์คลิปจากผู้ใช้ TikTok @kungjazzy เมื่อคุณยายวัย 85 ปี ในพื้นที่ จ.นนทบุรี ออกมาระบายความอัดอั้น ถึงปมค่าไฟแพง โดยเมื่อเดือนมีนาคม เสียค่าไฟอยู่ที่ 3,100 บาท แต่พอบิลมาเมืองกลางเดือนเมษายน อยู่ที่ 5,600 กว่าบาท เพิ่มขึ้นมาถึง 2,500 บาท ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยตั้งแต่เกิดมา พ้อค่าไฟขึ้นขนาดนี้ แล้วจะเอาเงินที่ไหนกินข้าว ข้าวของแพงทุกอย่าง จะเอาอะไรกิน
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/tqLWRHttJ94
ร้านอาหาร-สถานบันเทิงจ๊ากค่าไฟพุ่งจ่ายเพิ่ม 70% ลูกค้านั่งดริงก์เอาต์ดอร์หายเกลี้ยง ส่วนห้างเฮ คนหนีร้อนตากแอร์เพิ่ม
https://www.matichon.co.th/economy/news_3938986
ร้านอาหาร-สถานบันเทิงจ๊ากค่าไฟพุ่งจ่ายเพิ่ม 70% ลูกค้านั่งดริงก์เอาต์ดอร์หายเกลี้ยง ส่วนห้างเฮ คนหนีร้อนตากแอร์เพิ่ม
เมื่อวันที่ 22 เมษายน นายธนากร คุปตจิตต์ ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย เปิดเผยว่า สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว กำลังส่งผลต่อผู้ประกอบการเครื่องดื่มและสถานบันเทิง โรงแรม หรือร้านให้บริการดื่มกินทั่วไป ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายค่าไฟสูงเป็นเท่าตัว เพราะสถานบันเทิง โรงแรม หรือแม้ร้านอาหารทั่วไป ต้องมีตู้แช่อาหารแช่เครื่องดื่ม ภายในอาคารต้องติดแอร์ตลอดเวลาของการเปิดบริการ สถานบันเทิงต้องมีแสงและเสียงจากดนตรีให้บริการ ซึ่งอากาศร้อน 1 องศา มีผลต่อค่าไฟ 3% รวมถึงผลกระทบจากพฤติกรรมคนไทยหรือนักท่องเที่ยวลดการนั่งกินหรือดื่มบริเวณไม่ติดแอร์ หรือกลางแจ้ง (เอาต์ดอร์) ระบุนั่งในพื้นที่ติดแอร์แทน ทำให้พื้นที่การขายลดลง
“การค้าขายยังปกติ แต่บรรยากาศไม่เอื้ออำนวยจากภาวะอากาศร้อนอบอ้าว ที่ควรจะดีกว่านี้ จากที่ยอดขายหลังเปิดประเทศและยังอยู่ในช่วงพักผ่อนของนักท่องเที่ยวหรือคนไทยบางส่วน หายไปเกือบหมด แต่ก็ยังมีท่องเที่ยวกลางคืนพยุงได้ แต่ก็ติดในเรื่องเวลาปิดที่ยังไม่ได้ขยายเวลาตามที่เคยเสนอไปก่อนหน้านี้ สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ยังขายได้ต่อเนื่องและยังดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 20-30% ด้วยยังอยู่ในช่วงบรรยากาศใกล้เลือกตั้ง ที่จะยังมีการสังสรรค์ และพบปะกันอยู่เป็นการทั่วไป แต่ร้านอาหารทั่วไปที่ขายอาหารและเครื่องดื่ม เมื่อหลบมานั่งแอร์ พื้นที่ขายก็ลดลง รายได้ที่ควรได้ก็จะลดลง แต่คงไม่อาจประเมินได้ว่าสูญเสียรายได้เท่าไหร่” นายธนากรกล่าว
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า สถานการณ์ค่าไฟฟ้าในตอนนี้ ถือว่าปรับขึ้นมาสูงมาก โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ จากการสอบถามร้านอาหารแห่งหนึ่งพบว่า ค่าไฟฟ้าเดือนล่าสุดปรับขึ้นมาเป็น 1.7-1.8 ล้านบาท จากเดิม 1.1-1.2 ล้านบาทเท่านั้น เป็นการปรับขึ้นมากว่า 70% แต่ผู้ประกอบการในธุรกิจร้านอาหารไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นตามได้ทันที ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต้องเข้าไปอยู่ในการบริหารจัดการแทน ทำให้ค่าไฟที่แพงขึ้นส่งผลกระทบทั้งต่อธุรกิจ ที่มีต้นทุนมากขึ้น รายได้น้อยลง กำไรลดลง รวมถึงกระทบกับผู้บริโภคในส่วนของการจ่ายเท่าเดิม แต่ปริมาณที่ได้รับลดลง หรืออาจต้องจ่ายแพงขึ้นด้วย
นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล กล่าวว่า จากภาวะอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้ประชาชนยังเข้าใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมอย่างเซ็นทรัลเวิลด์หน้าร้อนนี้มีลูกค้าออกมาใช้บริการในศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% จากภาวะปกติ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาที่ทางศูนย์จัดเทศกาลดนตรีระดับโลก และเป็นจุดเล่นน้ำใจกลางเมืองที่มีคนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาร่วมงานกว่า 200,000 คน/วัน
แหล่งข่าวจากสมาคมค้าปลีก กล่าวถึงสถานการณ์อากาศร้อนและค่าไฟตามบ้านเรือนแพงขึ้นว่า จากการติดตามผู้ประกอบการ ได้รับการยืนยันว่า ยอดคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังเข้าใช้บริการในร้านค้าภายในศูนย์การค้า และในห้างสรรพสินค้าต่อเนื่อง แม้วันหยุดยาวช่วงสงกรานต์เพิ่งผ่านไป โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดเสาร์และอาทิตย์จะมีผู้บริโภคเข้าใช้บริการสูงตั้งแต่ช่วงสายของวัน หรือประมาณ 11.00 น.เป็นต้นไป จากเดิมมักเข้าห้างในช่วง 11.30-12.30 น. และอยู่ในห้าง ร้านค้า หรือศูนย์การค้า นานกว่าเดิม 30-40 นาที จากเดิมมักใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ก็เพิ่มเป็น 3-4 ชั่วโมง
“ยังไม่อาจประเมินรายได้ว่าเพิ่มหรือไม่ แค่ไหน กำลังดูว่าเข้าเพื่อหลบอากาศร้อน และใช้จ่ายเหมือนเดิม หรือใช้เวลานานขึ้น ก็ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งก็คาดหวังว่าจะมียอดขายดีกว่าช่วงปกติหลังหมดเทศกาลประมาณ 3-5% แต่แง่จำนวนเชื่อว่าเพิ่มเกิน 10% แน่นอน ด้วยปีนี้ร้อนแรงและร้อนนาน ด้วยหลายปีที่ผ่านมาก่อนสงกรานต์หรือหลังสงกรานต์จะมีฝนตกบ้างแล้ว แต่ปีนี้ยังไม่มีความชัดเจน อีกทั้งเป็นภาวะอบอ้าวไม่มีลม แม้เปิดพัดลมหรือแอร์แต่ก็เจอปัญหาค่าไฟแพงกว่าปกติ ทำให้ประชาชนหันเข้าร้านหรือห้างที่มีอากาศเย็นสบายกว่า” แหล่งข่าวกล่าว
สยามอะเมซิ่งพาร์ค ผวาเม.ย.จ่ายค่าไฟแพงสุด นับจากเปิดบริการมา 43 ปี
https://www.matichon.co.th/economy/news_3938476
สวนน้ำสวนสนุกสยามอะเมซิ่งพาร์ค ผวาเม.ย.จ่ายค่าไฟแพงสุด นับจากเปิดบริการมา 43 ปี
นางนพกาญจน์ เหลืองอมรเลิศ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามพาร์คบางกอก จำกัด บริหารสวนน้ำสวนสนุกสยามอะเมซิ่งพาร์ค (สวนสยามเดิม) กล่าวว่า บิลค่าไฟฟ้าเดือนมีนาคม 2566 สูงขึ้นมาก และสูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน 65% โดยมียอดบิลถึง 2.8 ล้านบาท เป็นสัดส่วนค่าเอฟทีมากถึง 40% ซึ่งปกติค่าไฟหน้าร้อนจะอยู่ที่ 1.6-1.7 ล้านบาท/เดือน ปีนี้เข้าหน้าร้อนขยับเป็น 2.2-2.3 ล้านบาท และเป็นยอดค่าไฟที่เท่ากับเดือนมกราคมปีนี้ที่มียอดบิล 2.8 ล้านบาท ทั้งที่มีการเตรียมรับมือให้พนักงานช่วยกันประหยัดการใช้ไฟจุดที่ไม่จำเป็น ทั้งให้วิศกรตรวจเช็คระบบไฟเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
“เราช่วยกันประหยัดเต็มที่ ก็แปลกใจว่ายอดเดือนมีนาคมยังสูงมาก แม้เวลาปิดเปิดและยอดใช้บริการก็ยังไม่เท่าเดิม เดือนมีนาคมยังไม่ร้อนเท่าเดือนเมษายน หวั่นๆ ว่าค่าไฟเดือนเมษายนน่าจะสูงถึง 3.5-3.6 ล้านบาท น่าทำนิวไฮที่เราต้องจ่ายค่าไฟแพงสุด อย่างไม่เคยเกิดขึ้น จากที่ได้เปิดให้บริการมา 43 ปี ยูนิตค่าไฟไม่ได้เพิ่มแต่ค่าเอฟทีสูงมาก อยากให้รัฐมาดูแลอัตราค่าเอฟทีให้ลดลงอย่างที่ธุรกิจต่างๆเสนอให้ต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วยในระยะสั้น ที่มีอากาศร้อนๆ น่าจะช่วยประชาชนและธุรกิจได้อีกทาง เพราะเราเชื่อว่าทุกคนทุกธุรกิจใช้ทุกวิธีที่จะประหยัดใช้ไฟ” นางนพกาญจน์ กล่าว
เลขาครป.คาใจ ทำไมคนไทยต้องรับกรรม ‘ค่าไฟแพง’ มึน 8 ปีไม่แก้สัญญาผูกขาด
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3938927
เลขาครป.คาใจ ทำไมคนไทยต้องรับกรรม ‘ค่าไฟแพง’ มึน 8 ปีไม่แก้สัญญาผูกขาด
เมื่อวันที่ 22 เมษายน นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาบอกว่าปัญหาค่าไฟแพงเป็นเรื่องของธุรกิจ เป็นข้อตกลงของสัญญา มีข้อผูกมัดหลายอย่างที่ต้องเป็นไปตามนั้น และรัฐบาลพยายามไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำหรือเสียเปรียบนั้น ถามว่าตอนรัฐประหารมีการใช้คำสั่งหัวหน้า คสช.รวมทั้งใช้อำนาจตามมาตรา 44 ถ้าเห็นว่าใบอนุญาตให้เอกชนผลิตไฟฟ้าของรัฐบาลก่อนไม่ชอบทำไมไม่สั่งยกเลิก
“ตลอด 8 ปีที่มีอำนาจทำไมไม่แก้ไขสัญญาผูกขาดไฟฟ้าให้เป็นธรรม พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งตัวเองเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ยึดกุมกระทรวงพลังงาน ปลดเลขาธิการและแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ใหม่ทั้งหมด และหนึ่งในกรรมการ กกพ.ที่ถูกแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาบริษัทผลิตไฟฟ้าผูกขาด
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานของรัฐบาลประยุทธ์ ยังไปกำหนดให้ลดการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.ลง เพื่อไปรับซื้อจากเอกชนตามสัญญาซื้อขายที่เพิ่มขึ้น จนปัจจุบัน กฟผ.เหลือกำลังผลิตเพียง 34% ทั้งที่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 กำหนดให้ กฟผ. ลดการผลิตไฟฟ้าลงตามสัญญาให้เหลือเพียง 24% เพื่อที่จะใช้เงินของรัฐ ภาษีของประชาชน ไปซื้อไฟฟ้าจากโรงงานเอกชนแทน
ค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น ที่ประชาชนต้องรับภาระในแต่ละเดือน ขณะที่ไฟฟ้าสำรองล้นเกินแล้วรัฐบาลก็ยังรับซื้อกับเอกชนตามสัญญาไม่สิ้นสุด แถมก่อนยุบสภายังอนุมัติจัดซื้อไฟฟ้าเพิ่ม
เมื่อรัฐใช้งบประมาณจัดซื้อไฟฟ้ามากขึ้นโดยไม่จำเป็น และราคาค่าไฟฟ้าของ กฟผ. ถูกกำกับโดย กกพ. ก็มาเก็บส่วนเกินเพิ่มเติมจากประชาชนผ่านค่า Ft หรือค่าไฟฟ้าผันแปร ซึ่งเป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของ กฟผ.” นายเมธากล่าว
นายเมธากล่าวว่า ตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลทุกพรรคการเมืองช่วยกันหยุดการอนุญาตให้เอกชนผูกขาดการไฟฟ้า สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน ต้องเป็นบริการสาธารณะจากรัฐ เพราะเป็นทรัพยากรของส่วนรวม และขอเรียกร้องให้รัฐบาลรักษาการลดค่าไฟฟ้าลงให้ประชาชนโดยทันที โดยอย่างน้อย ต้องให้ กฟผ.กลับมาผลิตไฟฟ้าให้เกินกว่า 75% ของความต้องการของประเทศ เพื่อประกันความมั่นคงของประเทศ ซึ่งในอนาคตควรต้องให้เป็นกิจการของรัฐทั้งหมด
“ต่อไปต้องเลิกซื้อไฟฟ้าเอกชน ให้กฟผ.ผลิตเอง 100% ทรัพยากรสาธารณะและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ต้องให้รัฐเป็นเจ้าของและจัดการเพื่อคนไทย เพราะระบบไฟฟ้าเป็นความมั่นคงของรัฐ ทำไมไม่ผลิตเองให้มากพอ ให้ราชการใช้ฟรีทุกหน่วยงาน เพราะใช้เงินภาษีประชาชนในการจ่ายค่าไฟอยู่แล้วเพื่อคืนไปกฟผ. กฟผ.ก็คืนให้รัฐ เพราะใช้เงินรัฐในการผลิตไฟฟ้า แค่ผลิตให้มากพอก็ให้ราชการใช้ฟรีได้ รวมถึงบ้านเรือนของประชาชนในราคาถูก ที่เหลือก็ไปขายต่อให้เอกชน โรงงานต่างๆ เป็นรายได้เข้ารัฐ นำไปพัฒนา กฟผ. และพัฒนาประเทศต่อไป” นายเมธากล่าว