สายชลที่รัก ( re-write) โดย Furryjit

น้ำ เขากลัวน้ำเหลือเกิน เพราะตอนเล็กๆลงไปเล่นว่ายในคลอง เขาเคยเกือบจมน้ำตาย ขณะที่ร่างของเด็กชายกำลังดำดิ่งลงไปตามธรรมชาติของน้ำที่ดึงดูด สิ่งมีชีวิตลำตัวแคบเรียวคดเคี้ยวยาว ก็โผทะยานขึ้นมาจากก้นบึ้งคลองราวกับเฝ้าดูมาตลอด ร่างนั้นเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวภายใต้ท้องนธีที่ขุ่นคลั่ก ทำให้ทัศนวิสัยไม่ชัดเจน แต่เท่าที่จำได้ เด็กชายรู้สึกเหมือนร่างถูกโอบรัดอย่างนิ่มนวล ก่อนจะถูกดึงพาให้พ้นโผล่เหนือน้ำ

“ไม่ต้องกลัวนะ”เธอพูดแค่นั้นแล้วเบือนศีรษะหลบ เหมือนไม่อยากให้มอง เขาจึงมีโอกาศได้จดจำผู้มีพระคุณแค่เสี้ยวหนึ่งของวงหน้าเท่านั้น อย่าว่าแต่ส่วนล่างของกายสรีระที่ซ่อนภายใต้พื้นน้ำไม่มีทางได้เห็น

น้ำเสียงสาวน้อยคนนั้นแปร่งหู เหมือนไม่ใช่สำเนียงคนท้องถิ่น หรืออาจไม่ใช่ภาษาใดๆในภูมิภาคเลยด้วยซ้ำ หากแต่เด็กชายยังอายุน้อยเกินที่จะจำแนก

“ขอบคุณครับ อย่าไปไหน กลับมานี่ก่อน” ยังดีที่น้ำไม่เข้าปอด เขาจึงได้ยินเสียงตัวเองในวัยเด็กร้องเรียกอย่างอาวรณ์  หญิงสาวอึกอักแบบไม่อยากจะทิ้งไป ดูเหมือนว่าหล่อนจะใช้ความพยายามบังคับจิตใจตัวเองอย่างมาก แต่ในที่สุดเธอก็ผลุบท่อนบนจมพ้นไปจากผิวน้ำ เพราะมีเสียงคนเอะอะ โดดน้ำกันตูมตามแหวกว่ายมาทางเขาเพื่อช่วยพาขึ้นฝั่ง

เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าสะบั้นห้วงนิมิตรอันยุ่งเหยิงของชายหนุ่ม ปลุก”เพียงพล” ให้ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอันค้างคาความฝันนี้มันเกิดขึ้นอย่างซ้ำซากตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก็คร้านที่จะจำเสียแล้ว

มือคลำควานหามือถือตัวเองจนพบข้างตัว พอเห็นรูปภาพของคนที่โทรมาแต่เช้าตรู่ เขาก็รีบกดรับโดยไม่มีลังเล แม้น้ำเสียงจะงัวเงีย

“ว่าไงจ้ะนัท โทรหาพี่เช้าขนาดนี้ น้องมีเรื่องอะไร”

“น้องนัท” คือลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าสัว”บุญส่ง” เศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศ โดยการจัดเรียงจากนิตยสารชื่อดังของอังกฤษเล่มหนึ่ง และมีฐานะเป็นน้องสาวต่างมารดาของเขา

เจ้าสัวมีภรรยาถึงเจ็ดนาง ด้วยความเชื่อว่ายิ่งมีลูกมาก จะยิ่งมาช่วยกันบริหารดูแลกิจการให้รุ่งเรืองต่อไป

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสิ่งใดกำหนด เจ้าสัวมีบุตรกับภรรยาทุกคนอย่างสมมาดปรารถนา แต่ในโลกของความเป็นจริงไม่มีใครได้ทุกอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ภรรยาแต่ละคนของท่าน”บุญส่ง” แต่ละคนให้กำเนิดบุตรชายกับท่านได้ก็จริงแต่ต่างคนต่างมีได้แค่คนเดียว ไม่ว่าจะขยันสรรหาวิธีใดๆก็ตามให้มีลูกเพิ่ม แต่ก็ไม่ประสบผล

ดังนั้นความผูกพันทางสายเลือดของพี่น้องแต่ละคนจึงแทบไม่มีอยู่ เพราะไม่มีใครเกิดมาจากท้องแม่เดียวกัน แน่นอนว่าทางกฎหมายการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีผลแค่ผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น

ปัญหาที่ตามมานั้นก็เป็นไปตามครรลองลูกพ่อเดียวอุทรมารดาของใครของมัน ในเมื่อต่างคนก็ถือว่ากำเนิดมาในเพศชายล้วนเติบโตมาเชิดชูหน้าตาตระกูล ได้นามสกุลเจ้าสัวรับรองเป็นบุตรทุกคน ดังนั้นไม่มีการยอมให้กัน มีแต่ห้ำหั่นและชิงชัยกันในทางที่ลับและแจ้ง

จะมีก็แต่เขาและ”น้องนัท” ลูกสาวเพียงคนเดียวที่ไม่ชิงดีชิงเด่นกับใคร เธอเกิดมากับภรรยาคนสุดท้ายของเจ้าสัวกับแม่”อนงค์” หญิงชาวหนือผู้มีรูปร่างบอบบางและจิตใจเมตตาการุณย์นางนั้น แม่ของนัทมีศักดิ์ต่ำต้อยกว่าภรรยาทุกคน เนื่องด้วยเคยประกอบอาชีพแม่ครัวในร้านอาหารจีนแบบโบราณมาก่อน เจ้าสัว”บุญส่ง” จับพลัดจับผลูเข้าไปกินในร้านโดยไม่ตั้งใจ เกิดน้ำตาไหล หวนระลึกถึงถิ่นฐานบ้านเกิดตนเองทันที

ไม่ว่าจะเป็น”เต้าหู้หม้อดิน” หรือ”ข้าวผัดปลาเค็ม” ตามต้นตำรับจีนของแท้ บรรดาคนติดตามดูแลมองดูแล้วอึ้งไปตามๆกัน วันนั้นเจ้าสัวบุญส่งไม่แตะกระเพาะปลาเก่าแก่ตุ๋นราคาเหยียบครึ่งแสนบนโต๊ะแม้แต่น้อย กลับจ้วงเอาอาหารพื้นๆเข้าใส่ปากไม่หยุด กินไปก็หวนคิดถึงบ้านเกิดไป

ไม่นานหลังจากนั้น แม่ครัวก็ได้รับการทาบทามมาอยู่ประจำ ณ ที่เคหาสถ์ใหญ่โอฬารประดุจวังของท่านเจ้าสัว  นางอนงค์ประกอบอาหารพื้นบ้านมลฑลจีนซึ่งถูกปากถูกใจเจ้าสัวเป็นหนักหนา ทำให้ ท่าน”บุณส่ง”กลายเป็นเจริญอาหารกว่าเดิมนับตั้งแต่นั้นมา

ไปผูกสมัครเห็นอกเห็นใจกันตอนไหนไม่รู้  อยู่ดีๆเจ้าสัวก็ประกาศก้องว่า ขอเชิดชูแม่อนงค์เป็นภรรยาอีกคนท่ามกลางสายตาที่มองด้วยความอิจฉาริษยา แต่พอเวลาผ่านไป แม่อนงค์คลอดลูกสาวออกมา พวกที่เฝ้าลุ้นมาตลอดก็หัวเราะร่า ความวิตกกังวลได้หมดไป ลูกผู้หญิงจะมีศักดิ์ศรีอะไรจะมาเทียบเคียงลูกผู้ชาย ไม่มีใครใส่ใจและให้ความสำคัญกับภรรยานอกสายตาผู้นี้อีกต่อไป

จะมีก็แต่”เพียงพล” ผู้ซึ่งสูญเสียมารดาไปเมื่ออายุได้ยี่สิบเอ็ดปี เมื่อยังไม่สิ้นบุญ
“นางอรทัย”เธอผู้ฝักใฝ่ธรรมมะในการแสวงหาความหลุดพ้น ได้ปลูกฝังลูกชายให้เป็นคนที่ไม่เบียดเบียน เห็นอกเห็นใจในทุกชีวิตที่เกิดมาร่วมโลก ด้วยตัวเธอเองก็เข้าสถานปฎิบัติธรรม ฝึกนั่งสมาธิอานาปานสติอยู่เนื่องนิจ

บุญเธอน้อยไปหน่อย หรืออาจจะใช้กรรมหมดแล้วก็เป็นได้  ภายหลังเธอเริ่มป่วยออดๆแอดๆ จนถึงขั้นทรุดลงเรื่อยๆเข้าออกโรงพยาบาลราวกับเป็นบ้านหลังที่สอง หนักๆเข้าก็อยู่โรงพยาบาลเป็นหลัก ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสเห็นลูกชายที่รูปร่างสูงโปร่ง เค้าหน้าคมเข้ม ทว่านัยน์ตาแฝงไปด้วยความอ่อนโยน จูงมือเด็กสาวตัวเล็กป้อมหน้าตาจิ้มลิ้มมาเยี่ยมไข้

“ผมพาน้องมาเยี่ยมครับ พลรู้ว่าแม่อยากได้ลูกผู้หญิงอีกคน ไม่ต้องห่วงครับ พลจะดูแล”น้องน้ท” ให้เหมือนกับเป็นลูกสาวแม่อีกคน”

มารดาของเพียงพลวางตัวกับแม่อนงค์โดยดีมาตลอด ถึงแม้ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนม แต่ไม่เคยยกตัวขึ้นข่ม ทำให้ชายหนุ่มยึดถือเป็นแบบอย่าง นับถือแม่ของน้องนัทเฉกเช่นญาติผู้ใหญ่อีกคน

นางอรทัยเห็นเด๊กสาวที่ดวงตากลมใส โครงหน้าบ่งบอกแววว่าพอเติบโตขึ้นไป จะสวยงามจนชายมารุมล้อมแน่นอนจากสายตาคนที่ผ่านโลกมานานมองออก

มือเล็กๆของเด็กหญิงน้อยคนนั้นกุมมือลูกชายของเธอโดยไม่ยอมปลดปล่อย  คนป่วยที่นอนหมดอาลัยตายอยากในชีวิตเห็นแล้วยังอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“โธ่ ลูก น้องยังเล็กเหลือเกิน พาเข้ามาโรงพยาบาลทำไม มีแต่กลิ่นยากับคนป่วย“

แต่แล้วน้องนัทก็ต้องกลับมาโรงพยาบาลอีกครั้ง ในชุดนักเรียนอนุบาลที่ไม่มีเวลาเปลี่ยน เนื่องจากสถานการณ์ฉุกละหุก เมื่อแม่อนงค์พาลูกสาวมาดูใจคุณอรทัยก่อนภรรยาคนไหนพร้อมกับเจ้าสัว เด็กหญิงจึงได้ยินคำสั่งเสียนั้น แม้จะเยาว์วัยไม่รู้ความแต่เธอก็จดจำได้ทั้งหมด

“ฉันรู้ว่าเฮียทำมรดกในระบบกงสี ไม่แบ่งแยกให้ใครโดยเฉพาะ แต่ฉันขอเป็นครั้งสุดท้าย  ลูกพลเป็นคนซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีปัญญาแก่งแย่งชิงดีกับใคร ฉันขอความเมตตาของเฮียให้ปันมรดกส่วนเสี้ยวน้อยที่สุด เอาแค่พอให้ลูกไปเปิดร้านอาหารตามที่เขาต้องการ เฮียก็รู้ว่าลูกเรารักทางนี้มาตลอด บริษัทห้างร้านกิจการอะไรของเฮีย ฉันไม่ต้องการให้ลูกพลไปยุ่งเกี่ยว ฉันขอใช้ความเป็นแม่สละสิทธิทุกอย่างออกจากกองมรดกแทนลูก ขอแค่ทุนรอนเล็กน้อยให้พลไปตั้งตัว ให้เขาใช้ความสามารถตัวเองเลี้ยงชีพต่อไป ฉันขอแค่นี้ได้ไหมเฮีย”

เจ้าสัวบุญส่งกุมมืออันซูบกรังของคุณอรทัย ถึงจะมีภรรยาหลายคน ก็ใช่ว่ามาจากนิสัยมักมาก และไช่ว่าจะได้ใหม่แล้วลืมเก่า แค่ต้องการมีบุตรสืบตระกูลมากๆ เทือกเถาเหล่ากอฝังความเชื่อกันมาเช่นนี้ ท่านบุญส่งหลั่งน้ำตาสะอึกสะอื้นแล้วรับปากภรรยา

หลังจากนั้นคุณอรทัยได้ใช้เรี่ยวแรงที่หลงเหลือเพียงน้อยนิด กวักมือให้แม่อนงค์พาลูกเข้าไปใกล้ๆ  เจ้าสัวเดินห่างออกไปทำใจ ปล่อยให้สองภรรยาคุยกัน

“แม่อนงค์” คุณอรทัยมองสบตากับเธอด้วยสายตาแห้งโรย เหมือนพลังชีวิตกำลังจะเหือดหายไป

“ฟังคำฉันให้ดี ระบบการให้มรดกของเฮีย ถ้ายึดปฎิบัติตามกฎ จะเพิ่มพูนกำไรและทำให้กิจการของครอบครัวเจริญก้าวหน้า แต่ในความเป็นจริง ต่อไปพี่น้องจะฆ่ากันเองเพื่อแย่งสมบัติ คนใกล้ตายอย่างฉันไม่ให้ร้ายใครหรอก เธอคงได้ยินแล้ว แม้แต่ลูกชายของฉันยังไม่อยากให้ยุ่ง ฉันไม่รู้ว่าเฮียจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ แต่ขอให้เธอพึงสังวรณ์ไว้ สิ้นเฮียเมื่อไหร่เธอเดือดร้อนแน่ อาจจะถึงชีวิต เอาตัวออกห่างไปเมื่อถึงเวลานะแม่อนงค์ ใช้ชีวิตตามประสา จำไว้ว่าคนตายเอาสมบัติติดตัวไปไม่ได้”

แม่อนงค์เช็ดน้ำหูน้ำตาพลางรับปากรับคำ คุณอรทัยเหลือบมามองลูกสาวเธออย่างเป็นนัยๆ แล้วส่งเสียงอันแหบแห้งกระซิบแผ่วเบา นางอนงค์เอียงหูเข้าใกล้ทันที

“ฉันมีความลับอย่างหนึ่ง รอให้ถึงเวลาก่อนนะ______ค่อยบอกให้เขารู้”

แม่อนงค์ถึงกับตาเบิกโพลงเมื่อได้ยิน แต่ก็รีบสำรวมอาการไว้ เธอรับปากรับคำอะไรที่มีแต่รู้เรื่องกันเองระหว่างสองคนเท่านั้น

หลังจากนั้นคุณอรทัยให้สัญญานเพื่อให้พาเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามาใกล้ เธอพินิจพิเคราะห์อยู่สักครู่ ก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

“อย่าทิ้งพี่พลเขานะลูก พี่เขาเป็นคนเรียบง่าย ไม่มีโอกาสสู้ชนะใครหรอก หนูเป็นคนดวงเสริม ต่อไปชะตาจะชักนำให้พบกับคู่ครองที่ดี แต่จนกว่าจะถึงเวลานั้นช่วยป้าดูแลพี่ชายหนูไปก่อนนะ”

ลมหายใจของคุณอรทัยขาดห้วงเป็นระยะ ไม่ต่อเนื่อง เหมือนคนเหนื่อยอ่อนไม่มีเรี่ยวแรง หรือระบบทางเดินหายใจมีปัญหา อยู่ๆเธอก็ม่อยหลับเอาดื้อๆ

มารู้อีกทีก็อีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา คุณอรทัยสิ้นลมไปอย่างสงบ ในขณะที่ลูกชายของเธอยังร่ำเรียนอยู่เมืองนอกไม่ได้มีโอกาสมาดูใจครั้งสุดท้าย

นั่นคือเมื่อหลายปีที่แล้ว แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นครึ่งตัว มองนาฬิกาตรงโต๊ะเล็กๆอย่างยากเย็น

เพียงพลรอเสียงตอบ ขยี้ขี้ตาแห้งกรังออกไปจากใบหน้า มีเสียงขลุกขลักเล็กน้อยจากปลายสาย สักพักก็มีเสียงน้องสาวตัวแสบละล่ำละลักพูดมาอย่างเดือดดาล

“พี่พล อย่าขับรถออกไปเป็นอันขาดขาดนะค่ะ มีคนบัดซบแอบตัดสายเบรกรถพี่แล้ว”

ชายหนุ่มสะดุ้งเย็นวาบไปหมดทั้งตัว ความง่วงงุนสลายเป็นปลิดทิ้ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะคิดว่าน้องสาวตัวดีพูดจาเหลวไหล แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนผันไปแล้ว นับตั้งแต่เจ้าสัวผู้เป็นบิดาได้เกิดอาการป่วยกระเสาะกระแสะมาได้ร่วมปี

หลังจากมารดาเขาเสียชีวิตลง เจ้าสัวบุญส่งได้ทำตามคำสัญญาที่รับปากภรรยาไว้ทุกประการ ท่านส่งเพียงพลไปศึกษาศิลปะแห่งการทำอาหารที่โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก เปลือกนอกแสดงท่าทีเหมือนขับไล่ไสส่งแต่ข้างในลึกๆและเจ้าสัวจะคิดอย่างไรไม่มีใครรู้

ใช้เวลาสี่ปีรวมถึงเวลาฝึกงานหลังเรียนจบ  ถ้าทำได้ ชายหนุ่มแทบจะติดปีกบินกลับมาเมืองไทยเสียเดียวนั้น เพราะนึกห่วงแม่อนงค์และน้องสาวจอมแก่นแก้วของเขาเป็นที่สุด

เพียงพลปฏิบัติตนตามคำสอนของมารดาเรื่อยมา การเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าต้องกลายเป็นคนโง่งม รู้ไม่เท่าทันคนอื่น

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าที่ผ่านมา ในบ้านมีความระหองระแหงต่อกันขนาดไหน เพียงแต่ว่าเขาก็หนึ่งในลูกชายของเจ้าสัวท่านเหมือนกัน จึงไม่มีใครทำตัวเป็นศัตรูกับเขาอย่างเปิดเผย

แต่แม่อนงค์และน้องนัทนั้นผิดแผกไป ทั้งคู่ไม่มีเกราะป้องกันอะไรเลย นอกจากความรักและเมตตาของท่านบุญส่งที่หยิบยื่นให้ พอพ้นสายตาของเจ้าสัวแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือเป็นที่พึ่งคุ้มครอง อาศัยอยู่มาได้ตลอดรอดฝั่งด้วยความเจียมตัว ไม่มีปากมีเสียงเท่านั้น

เมื่อเพียงพลกลับมาเมืองไทบ ก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างแปรเปลี่ยนไป แม้แต่แม่อนงค์ก็ไม่ได้ทำหน้าที่แม่บ้าน คอยดูแลทำอาหารให้ท่านเจ้าสัวอีก เนื่องด้วยคนป่วยจะกินอาหารตามปกติไม่ได้  ซ้ำร้าย ทั้งสองแม่ลูกลากลับไปเยี่ยมภูมิลำเนาเดิมอย่างปัจจุบันทันด่วน ดูไม่มีอะไรสมเหตุสมผลทั้งนั้น ทั้งๆที่เจ้าสัวยังป่วยเอาการอยู่

สิบสองชั่วโมงก่อนหน้านี้

เพียงพลเข้าไปไหว้เตี่ยนับแต่วินาทีแรกที่เข้ามาในเคหาสน์ ข้างกายเขาคือ”วารินทร์” สาวสวยทั้งหน้าตา รูปร่างและอากัปกิริยา พบรักกันกับเขาตอนที่เรียนอยู่อเมริกา เป็นนักเรียนนอกด้วยกัน บัดนี้  เธอเข้าไปแสดงตัวทำความเคารพกับท่านเจ้าสัวหลังจากที่คนรักเธอเข้าไปแนะนำให้อยู่ก่อน

ภายในห้องตอนนั้น ภรรยาของท่านบุญส่งยืนหัวโด่เกือบครบทุก ขาดก็แต่แม่อนงค์ เพื่อคอยเอาอกเอาใจแลคอยขัดขาซึ่งกันและกัน แต่ไม่มีใครเลยที่ต้อนรับขับสู้เขาอย่างจริงใจ

เจ้าสัวมอง”วารินทร์” สาวสวยอย่างพิจารณา แล้วก็พึมพำกับตัวเองว่า

“เอ ไม่ใช่นี่นา ที่ฉันเห็นไม่ใช่หน้าตาอย่างนี้”

ไม่มีใครที่ได้ยินเข้าใจว่าท่านหมายความว่าอย่างไร เนื่องด้วยความชราภาพ และโรคภัยไข้เจ็บที่เจ้าสัวเป็นอยู่  ท่านอาจเพ้อละเมอไปตามเรื่องก็ได้

ท่านลุกขึ้นนั่งครึ่งตัวด้วยความช่วยเหลือของพยาบาลประจำ และเหล่าบรรดาภรรยาที่พากันเอา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่