กถาวัตถุ..ตอนที่ - 12

กระทู้คำถาม
🌼🌼🌼 ขอนอบน้อมแต่...พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...พระองค์นั้น 🌼🌼🌼

 นิคหะ ที่ ๔ 
[๑๒] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? 
        ป. ถูกแล้ว

ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลในกาลทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น

ส. ท่านจงรับรู้นิคหะ, หากว่า ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
    ด้วย เหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในกาลทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์,
   ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
    แต่ไม่พึง กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในกาลทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด,

    แต่ถ้าไม่พึง กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในกาลทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
    ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้า หยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า
    พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้า หยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า
    ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในกาลทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด
    ฯลฯ

ส้มวาที:   ก็.. ถ้าในที่ทั้งปวง..มีบุคคลผู้หลุดพ้น... คือ  นิพพานธาตุ - อมตะธาตุ  
               ที่นั้นๆ ก็มีบุคคลผู้เที่ยง..นั่นหละ

               ก็จะบุคคลที่เที่ยงแท้...อย่างนี้  และนี่ คือ  สถานะของบุคคลนั้น..
               1.  อชาตํ  --  ไม่เกิดชาติ..อีกต่อไป  ไม่เคลื่อนไป - เคลื่อนมา..อีก
               2.  อภูตํ  --  ไม่เป็น.. ไม่เป็นชีวะ - ไม่เป็นสิ่งที่มีชีวิติอีก.. ไม่ต้องเป็นสัตวนิกายใดๆ อีก
               3.  อกตํ  -- ไม่กระทำ..ไปใน 3 ทาง..กาย-วาจา-ใจ หรือ บาป - บุญ - อเนญชา...อีก
               4.  อสงฺขตํ  --  ไม่มีการคิดปรุงแต่งไปใน 3 ทาง..กาย-วาจา-ใจ หรือ บาป - บุญ - อเนญชา...อีก

             
ส้มวาที:   ท่านทั้ง 2 โต้แย้งในเรื่องของความ " มีแบบเที่ยงแท้ - อตฺถิ...และ...ไม่มีเลย..แบบเที่ยงแท้ - นตฺถิ "..ในโลก
               เป็นดั่งท่านวัจฉโคตต..ที่ได้สอบถามพระศาสดาว่า

              กึ นุ โข โภ โคตม อตฺถตฺตาติ ฯ
             (...หรือหนอแล...ท่านพระโคตมะผู้เจริญ   อัตตา...มีอยู่อย่างเที่ยงแท้   หรือ?....)

              กึ ปน โภ โคตม นตฺถตฺตาติ ฯ
              (...หรือหนอแล...ท่านพระโคตมะผู้เจริญ   อัตตา...มีอยู่เลย..จริงๆ   หรือ?....)    

               ก็เรื่องนี้...พระศาสดาท่านไม่ทรงตอบท่ารวัจฉ..เพราะว่าจะทำให้วัจฉะท่านงง..ยิ่งขึ้นไปอีก..
               อันที่จริง...." อัตตา...มันมี  แต่มันไม่เที่ยงแท้ง.. ไม่เป็นแบบ " อตฺถิ " แต่เป็นแบบ " สติ "
               คือ... เมื่อ...อวิชชาเป็นปัจจัย..สังขารทั้งหลายจึงมี
                               และ..เพราะสังขารเป็นปัจจัย..การหยั่งลงแห่ง..ครรภ์แห่งมาดา..จึงมี  
                               และ..เกิดนามรูป -> เกิดภพ -> เกิดชาติ... มีสัตว์บุคคล...(เป็นไปตามปฏิจจสมุปปาท)
                                                         ☝☝☝☝☝
                                                               นี่...สัตว์บุคคล..ที่เข้าใจกัน..มันเกิดขึ้นอย่างนี้
    
               เหมือนกับ...ตอนที่ผ่านๆมา....เรื่อง " สัดตว์ - บุคคล - เรา - เขา " ..มันเป็นอย่างนี้.ครับ 
                👇👇👇👇👇
               บุคคล..มันแล้วแต่ว่า ปรวาที่...และ..สกวาที่...  หมายไปที่ใด...
               หากหมายเอาแบบโลกๆ ที่เขากล่าวกัน... เขาหมายเอาที่..รูป..และ..อรูป
               ว่าเป็นสัตว์ - เป็นบุคคล... 
                       ☝..อย่างนี้แบบนี้...บุคคลก็จะไม่มีโดย.." อตฺติ - สจฺจ  " .
                            แต่บุคคล..จะมีแบบ " สติ - โหติ - ภวิสฺสติ " ...
                            คือจะมีแบบ..เกิดขึ้นตามปฏิจจสมุปปาท...
                           โดยเพราะตัณหา..จึงมีการหยั่งลงสู่ครรภ์...แล้ว..มีนามรูป
                           พอมีนามรูป...ก็เกิดภพ..ชาติ..  อยม่างนี้นะ..บุคคลปรากฏขึ้นมา
            หากหมายเอาแบบอริยะ...
                      ☝..อย่างนี้แบบนี้  บุคคลไม่ใช่ขันธ์๕
                           ขันธ์๕..ไม่ใช่เรา  เราก็ไม่ใช่ขันธ์๕   รูป..และ...อรูป..มันไม่ใช่เรา
                           เรา...คือ..ผู้ที่มามีอุปาทาน...ใน...อุปาทานขันธ์๕
            
                           ตอนที่...เรายังมี..ตัณหา-อุปาทาน..เราก็จะมีสภาวะ " เคลื่อน(จุติ)...ไปตาม..ขันธ์๕ "
                           หากว่าเรา..คายกำหนัดจากอุปาทานขันธ์๕..ได้แล้ว  สิ้นแล้วซึ่ง..ตัณหา-อุปาทาน
                           เมื่อนั้น...เราจะเป็นอมตะ - เที่ยง - ยั่งยื่น - ไม่ไปนับว่าเป็นของเกิดตาย..อีกต่อไป..
                           สังสารวัฏก็จะหยุดลง.. 
=============================================================     
ทุกข์(อุปาทานขันธ์๕)เท่านั้นที่เกิด-ดับ..  นอกนั้น...ไม่ใช่สิ่งที่..เกิด-ดับ..  
สิ่งนั้น..ที่มามีอุปาทาน..สิ่งนั้น..ไม่ใช่ของที่เกิดดับ.. แต่ " เคลื่อนไป(คจฺฉติ) "
แต่..ก็นับว่า (สงฺขํ) " เกิด-ดับ..ไปตามขันธ์๕..โดยอุปาทาน "..บาลีว่า " อนุมิยฺยติ(ตายตาม)  "
แต่..จริงๆ แล้ว...เขาไม่ได้ตาย.. สิ่งที่ตาย - สิ่งที่เกิดดับ...มันแต่ขันธ์๕..เท่านั้น
นี่คือ..พุทธวจน
👇
👇
รูปญฺเจ  ..........ภิกฺขุ  อนุเสติ  ตํ   อนุมิยฺยติ   ยํ   อนุมิยฺยติ   เตน  สงฺขํ  คจฺฉติ  ฯ
เวทนญฺเจ  .......ภิกฺขุ  อนุเสติ  ตํ   อนุมิยฺยติ   ยํ   อนุมิยฺยติ   เตน  สงฺขํ  คจฺฉติ  ฯ
สญฺญญฺเจ  .......ภิกฺขุ  อนุเสติ  ตํ   อนุมิยฺยติ   ยํ   อนุมิยฺยติ   เตน  สงฺขํ  คจฺฉติ  ฯ
สงฺขาเร  ..........ภิกฺขุ  อนุเสติ  ตํ   อนุมิยฺยติ   ยํ   อนุมิยฺยติ   เตน  สงฺขํ  คจฺฉติ  ฯ
วิญฺญาณญฺเจ ....ภิกฺขุ  อนุเสติ  ตํ   อนุมิยฺยติ   ยํ   อนุมิยฺยติ   เตน  สงฺขํ  คจฺฉติ  ฯ
รูปญฺเจ(ถ้าในรูป)  ภิกฺขุ(ภิกษุ ท.!)  อนุเสติ(อนุสัย)  
ตํ(ด้วยเหตุนั้น)  อนุมิยฺยติ(ตายตาม )
ยํ(ผู้ใด(นั้น))  อนุมิยฺยติ(ตายตาม)  เตน(นั้น)  สงฺขํ(นับว่า)  คจฺฉติ(เคลื่อนไป)  ฯ
ก็เมื่อ..บุคคล..ไปมีตัณหา-อุปาทาน..ในอุปาทานข้นธ์๕...บุคคลก็นับเข้ากับขันธ์๕..อันเป็นของเกิด-ตาย
=======================================================================
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่