คำเตือน เรื่องสั้นชุดนี้ข้าพเจ้าสงวนลิขสิทธิ์เด้อ ห้ามมิให้ผู้ใดนำไปเผยแพร่ในช่องทางอื่นก่อนได้รับอนุญาต
ย่ำแดนเหนือ
ครืน...ฟ้าครางแว่วมาแต่ไกล ทั่วอาณาบริเวณสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยทั้งแรงลมที่ปานจะถอนรากถอนโคนต้นไม้ทั้งป่า ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ หากไม่ได้ผาหินปูนสูงหลายเมตรช่วยไว้ พรานกะเหรี่ยงสองคนที่ตามรอยกระทิงจนพากันทะเล่อทะล่าพลัดหลงจากกลุ่มมาติดแหงกอยู่ยังป่าปริศนาไม่คุ้นตาแต่รู้จักดีคงรอดยาก
ทั้งที่ก่อนหน้าท้องฟ้าแสนจะสดใส ทิศทางสามารถเดาได้จากสายลมแสงแดด แต่อยู่ไม่อยู่ท้องฟ้าก็มืดมัว ฝนตั้งเค้าทั้งที่ไม่ใช่ฤดูกาลอันเหมาะสม พายุโหมกระหน่ำซัดใส่จากทั่วทุกทิศทุกทาง บีบบังคับให้จำต้องพากันวิ่งมาหลบยังใต้ผาแห่งนี้
จะออกจากจุดที่ว่าก็ไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็นผนังช่วยกันลมที่พัดกระหน่ำรุนแรง หอบเอาละอองฝนฝ่าแมกไม้ต้องผิวกายทีมีอันสะดุ้งปานจะถูกชำแรกให้แยกเป็นชิ้น ๆ ด้วยเข็มและมีดที่สร้างโดยธรรมชาติเล่นเอาเจ็บแสบแทบดิ้นตาย ผาหินปูนที่ทั้งคู่ใช้เป็นที่กำบังกาย ยังมีเพิงง้ำลงมาเป็นหลังคาอีกชั้น ก้าวพ้นเงาหลังคาหินที่ว่าเมื่อใด สายฟ้าเป็นส่งประกายฟาดลงใส่ยอดไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลให้มอดไหม้ไฟลุกแดงวาบ ราวกับนั่นเป็นคำขู่ ปานว่าเทพเทวาไม่ก็ผีป่าผีเขาต้องการจะจองจำให้ทั้งคู่อยู่ตรงนั้นไปจนตาย เหตุที่ต้องเชื่อแบบนั้น
เพราะพรานกะเหรี่ยงสองคนนี้ ถูกจองจำไว้ในกรงขังที่มองไม่เห็นมาร่วมสามวันแล้ว!
“กูไม่ไหวแล้ว! กูทนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว กูจะกลับบ้าน กูจะกลับไปหาลูกเมียกู!!”
“ไอ้เจซ่อง! อย่าไป!!!”
ห้ามไปก็เท่านั้น ได้แต่มองแผ่นหลังเพื่อนพรานที่โตมาด้วยกันลับหายไปกับม่านฝุ่นและละอองฝน ส่วนตนเชื่อว่าอย่างไรเสียหากยังหมกตัวอยู่ที่นี่ก็ต้องรอด ถ้าจะตายก็ด้วยเหตุผลเดียว คืออดข้าวอดน้ำ
อีกประการคือความเชื่ออันมีต้นกำเนิดจากคำบอกเล่าของเหล่าพรานรุ่นเก่า ที่แม้ฟังดูแล้วจะเป็นการเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง แต่เท่าที่รู้มา ป่าหรือหุบแห่งนี้ หากจะคร่าชีวิตพรานหรือชาวบ้าน
มันจะเอาเพียงทีละคน ทีนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าอาถรรพ์แรงกล้าร้ายกาจนั้นจะเลือกใคร พรานขี้ขลาดเช่นตน หรืออีกคนที่สติแตกวิ่งลุยดะออกไปอย่างพรานเจซ่อง...คำตอบ คงได้แต่รอเท่านั้น
เพียงไม่นาน คล้อยหลังจากที่ถูกทิ้งให้นั่งกอดเข่าขอบตาแดงตัวสั่นอยู่ไม่เกินอึดใจพระพุทธ บังเกิดมีสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางป่าไม่ใกล้ไม่ไกล มันเป็นทิศทางเดียวกันกับที่เพื่อนพรานของตนมุ่งหน้าไปไม่ผิดแน่
“โธ่...ไอ้เจซ่อง...”
เสียงครวญซึ่งแว่วระคนปนเปกับห่าฝนและลมกระหน่ำ มีทั้งอาการโศกเศร้าที่เสียเพื่อนและโล่งใจเพราะคิดว่าตนรอดแล้ว นี่แหละหนาจิตใจเบื้องลึกอันยากจะหยั่งถึงของมนุษย์ ต่อให้รักกันปานจะกลืนกิน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอันตรายแล้วความตายเลือกอีกฝ่ายเป็นเหยื่อ ตนย่อมบังเกิดความโล่งใจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็เหมือนกัน
ขณะเดียวกัน
“นี่ไอ้พรานลาพ่-อง กับ เจซ่องมันหายไปไหน? กะอีแค่ตามรอยกระทิงต้องทิ้งพวกเราไว้สามวันเลยรึ? กลับมาบอกกันก่อนก็ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นในช่วงสามวันนี้จะเป็นยังไง? ใครจะรับผิดชอบ!?”
“จะ...ใจเย็น ๆ ก่อนนาย ประเดี๋ยวพวกนั้นก็กลับมา นะ...นายกินกาแฟก่อนไหมเดี๋ยวลาจู่ชงให้”
พลั่ก! คำตอบที่ได้รับหาใช่คำพูดแต่เป็นส้นเท้าที่กระแทบเข้าเบ้าหน้ากึ่งปากกึ่งจมูก กะเหรี่ยงลาจู่มีอันหงายท้องเอามือกุมปากน้ำตาไหลพราก นักการเมืองผู้นี้ว่าจ้างทั้งตน ลูกหาบคนอื่นและพรานนำทางมาเพื่อล่าสัตว์
ด้วยเห็นว่ามันคือเงิน มันคือรายได้ที่เอาไว้เลี้ยงครอบครัว ทั้งตนและคนที่กล่าวมาจึงต้องทนถูกเหยียดหยามด่าทอราวกับไม่ใช่คน เพียงเพราะถูกมองว่าชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเป็นพวกไร้ค่าไร้การศึกษา
สส. เปรมชัยจึงปฏิบัติต่อลูกจ้างทั้งหลายโดยไร้ซึ่งความให้เกียรติ
“มืงจะให้กูใจเย็นได้ยังไงวะ? สามวัน! สามวันแล้วนะโว้ยที่ต้องอยู่นี่ไปไหนไม่ได้ สามวันมืงเข้าใจมั้ย!?”
พร้อมการตะคอก สส. บ้าอำนาจวาดแข้งขวาใส่อีกหนึ่งที ลาจู่มีอันกระเด็นตามแรงตีนนอนคู้งอก่องอขิงด้วยอาการเจ็บร้าวไปทั้งชายโครง ลูกหาบคนอื่น ๆ ได้แต่มองด้วยความเวทนา อยากช่วยก็เกรงกลัวอำนาจรัฐ เพราะนักการเมืองผู้นี้ขู่เอาไว้ หากไม่บริการหรือปรนนิบัติต่อตนเยี่ยงราชา
บ้านจู่เข่ไค่หมู่บ้านกะเหรี่ยงเล็ก ๆ ติดขอบชายแดน จะต้องถูกกำจัดทิ้ง
ผู้คนจะถูกอัปเปหิออกจากประเทศ ไปเป็นเหยื่อกระสุนพม่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ด้วยความรู้เกี่ยวกับกฎหมายยังไม่แพร่หลายเท่าใดนักนั่นเอง บ้านจู่เข่ไค่จึงถูกหลอกและขู่เอาโดยง่าย
“พวกมืง! พวกมืงคนไหนก็ได้ไปตามไอ้พรานสองตัวนั่นมาให้กูเดี๋ยวนี้!!!”
“มะ...ไม่เอานาย เมื่อวานไอ้มะซะบอกว่าเห็นร่องรอยพรานลาพ่-องกะเจซ่องไปทางหุบสี่คนหาม มะ...ไม่มีใครกล้าเข้าไปที่นั่นหรอกนาย มันเป็นหุบผี มีแต่ผีเท่านั้นที่เข้าไป” ลูกหาบคนหนึ่งในจำนวนที่ถูกวาดนิ้วชี้สั่งงานละล่ำละลั่กบอก
“ก็ไอ้พรานสองตัวนั่นไงเข้าไปแล้ว ร่องรอยก็มีพวกมืงก็เข้าไปเซ่!”
“มะ...ไม่เอานาย ไม่เข้า”
“มืงอยากตายรึไงวะ!?”
ไม่ถามเปล่า สส.เปรมชัยชัก 9มม.จากซองหนัง ปลดเซฟขึ้นนกหมายจะยิงขู่ด้วยความโมโห
เปรี้ยง! ทุกคนทุกกิริยาอาการนิ่งสนิททันควัน ปืนถูกยิงแผดสนั่นจากคนอื่นไม่ใช่สส.บ้าอำนาจ และวิถีกระสุนก็ชี้ขึ้นฟ้าหาใช่จ่อใส่หน้าผู้คนจนอาจเกิดอันตราย
“พวกมืงเป็นใคร?” สส.เปรมชัยถามเมื่อมองเห็นต้นตอของเสียงปืนเมื่อครู่ ชายหนุ่มสองคนก้าวอาด ๆ เข้ามาหน้าตาบ่งบอกถึงความโกรธจัดที่พร้อมปะทุ อาวุธในมือเป็นลูกซองเดี่ยวสถานะพร้อมยิงซ้ำ มองจากภาพรวมแล้วเจตนาของสองชายปริศนาไม่ได้มาดีเป็นแน่
“พะ...พวกมืงเป็นโจรรึ? ไม่รู้รึไงกูเป็นใคร? กูเป็นสอ...”
พลั่ก! เท่านั้นเอง สส.เปรมชัยก็มีอันจอดับ เมื่อท้ายทอยถูกกระแทกด้วยด้ามปืน
“ไม่แรงไปหน่อยรึวะไอ้ทัน? อย่างน้อยก็น่าจะให้มันพูดจบก่อน”
“ใครจะไปใจหินทนได้อย่างมืงวะไอ้เมฆ? กูกะจะระเบิดสมองมันทิ้งตั้งแต่เอาลูบหน้าคนอื่นแล้ว รึมืงไม่เห็นใจพวกนี้เลย มืงเองก็คิดว่าพวกกะเหรี่ยงไม่มีค่ารึไง?”
“เฮ้ย ๆ ใจเย็น ๆ น่า...ไอ้เมฆมันไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ใช่ว่ามืงจะเพิ่งรู้จักมัน นิสัยใจคอมันเป็นยังไงเองก็น่าจะรู้นะไอ้ทัน เมื่อครู่ ถ้ากูไม่สะกิดให้มันยิงขึ้นฟ้า สส. ห่านั้นคงม่องไปแล้ว”
“สส. ห่านั่น? มืงเป็นผู้ใหญ่บ้านประเภทไหนวะไอ้ผุย อย่างน้อยหน้าที่การงานของมืงน่าจะเกี่ยวพันกะมันไม่ใช่รึไง? หยาบคายจริง ๆ ใครมันตาบอดเอามืงขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่กันว้า...?”
พรานเมฆถามเกาหัวแกรก เงียบไปครู่ ก่อนทั้งสามจะหัวเราะให้แก่กัน สร้างความงง-งันให้แก่เหล่ากะเหรี่ยงลูกหาบทั้งหลาย พ่อหนุ่มสามคนนี้เป็นใครกัน แล้วไม่กลัวฟ้าดินลงโทษหรือไรที่จัดการเสีย สส.เปรมชัยร่วงแน่นิ่งแบบนั้น
ใช่แล้ว...สามหนุ่ม ขณะนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวการผจญภัยในวัยกระทงของ
พรานเมฆและ
ผู้ใหญ่ผุย พ่อบ้านหมาด ๆ อุ่น ๆ ของ
บ้านหนองคำดีที่ลักลอบหนีไปท่องป่าทิ้งหน้าที่รับผิดชอบให้ลุงดูแลจนกว่าตนจะเบื่อการท่องเที่ยว โดยการมาครั้งนี้ ทั้งคู่เลือกมาเยือนเรือนสหายในภาคเหนือนามว่า
พรานทัน และการกระทำทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นนั้น ก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ
ระหว่างที่พรานทันพูดคุยกับเหล่าลูกหาบกะเหรี่ยงว่าเกิดอะไรขึ้น พรานเมฆและผู้ใหญ่ผุยจัดการพันธนาการ สส. ปากดีซึ่งยังอยู่ในภาวะไร้สติเข้ากับไม้ใหญ่ด้วยเชือกล่ามควาย หันหน้านักการเมืองผู้นั้นเข้าป่าไม่ให้แลเห็นแค้มป์พัก เมื่อตื่นมาจะได้เข้าใจว่าถูกโจรปล้นและจับมัดไว้ นี่เป็นเพียงการสั่งสอนเท่านั้น วันสองวันก็ปล่อยแล้ว ผู้ใหญ่ผุยคิดเช่นนั้น
“ยังไงเล่าทันเกลอแก้ว? ได้ความอะไรบ้าง ก็ไหนมืงบอกว่าป่าแถบนี้ไม่ใคร่มีใครอยากเข้ามาไม่ใช่รึ? แล้วไหงไอ้แค้มป์นั่นถึงมาโผล่อยู่ตรงนี้ได้?”
“ก็เพราะไอ้นี่แหละ” พรานทันเบะปากพยักพเยิดไปทางนักการเมืองที่ว่า “ทั้งที่ชาวบ้านขอร้องแล้วขอร้องอีก ปรามแล้วปรามอีก เตือนแล้วเตือนอีกว่าอย่าเข้ามา มันก็ใช้อำนาจที่มีข่มขู่จนลากเอาพวกนั้นกับพรานอีกสองคนมาที่นี่จนได้ หึ...พูดแล้วโมโห! ขมับสักทีดีมั้ง!!!”
ผู้ใหญ่ผุยต้องเข้ารั้งตัวสหายชาวเหนือเอาไว้อุตลุด พูดปลอบใจพลางยื่นใบไม้วิเศษให้เคี้ยวเสียหน่อยจะได้ใจชื้นขึ้น
“แล้วพรานที่ว่าเล่าหายไปไหน?” พรานเมฆตั้งกระทู้อีกข้อ
“ก็ไปในที่ ๆ มืงกะไอ้ผุยอยากไปนั่นล่ะ หุบสี่คนหาม เห็นว่าหายไปสามวันแล้ว ร่องรอยชี้ชัดว่าเข้าไปที่นั่น เฮ่อ...ไม่พ้นต้องลองไปดูเสียหน่อยกระมัง”
ได้ยินเช่นนั้นสองสหายจากบ้านหนองคำดีแลสบตาและยิ้มให้แก่กัน อะไรจะโชคดีปานนี้ ก่อนหน้าจะมาเจอแค้มป์พักนักการเมืองโดยบังเอิญ ทั้งคู่พยายามอ้อนวอนขอร้องให้พรานทันพาเข้าไปในหุบสี่คนหามแทบก้มกราบ ด้วยว่าอยากสัมผัส อยากรับรู้ว่าอาถรรพ์หรือปีศาจในหุบนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร คาถาอาคมหรือจิตอันกล้าแข็งของพวกตนสามารถสยบได้หรือไม่ แต่พรานทันปฏิเสธถ่ายเดียว บอกเพียงว่าไม่อยากให้เพื่อนทั้งสองเอาชีวิตไปทิ้งดั่งพ่อของตน แต่เวลานี้สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว
“ดูเหมือนว่า...จะมีเหตุให้ต้องเข้าไปแล้วสินะเกลอเอ๋ย...”
“ดีใจออกนอกหน้าเชียวนะมืงไอ้เมฆ เฮ่อ...ไปก็ไป!” พรานทันกล่าวด้วยอาการไม่สบายใจนัก ต่างกับสองหนุ่มบ้านหนองคำดี แอบชนหมัดกันลับหลังยิ้มร่าหัวเราะคิกคัก
หุบสี่คนหาม เป็นหุบลึกอันอุดมสมบูรณ์ด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ทั้งที่หุบนั้นไม่มีโป่งทั้งใหญ่และเล็ก ผลหมากรากไม้เองก็ใช่จะดกพอให้สัตว์ได้กิน มีเพียงไม้ยืนต้นขึ้นหนาทึบรกครึ้มเป็นหลังคาโลกเท่านั้น แต่ที่นั่นกลับมีสัตว์มากมายอาศัยอยู่
พรานสมัยเก่าก่อนต่างก็เคยเห็นหุบแห่งนั้นดั่งขุมทรัพย์ พากันแบกปืนเข้าไปหมายเนื้อ หนัง เขา ของสัตว์ป่ามาขายไม่ก็ประทังชีวิต สุดท้ายก็ต้องหามกันออกมาในสภาพไร้วิญญาณ เพราะที่นั่นแรงชนิดฉุดไม่อยู่ ผีป่าผีเขาดุดันไม่เกรงใจใคร แรงทั้งสัตว์ทั้งผี อาการที่ต้องหามกันออกมานั้นราวกับขบวนแห่ศพ ไม่ว่าจะเป็นครั้งใดเวลาไหนก็ไม่เคยเปลี่ยน สุดท้ายจึงได้ชื่อว่า หุบสี่คนหาม โก้หรูดูอาถรรพ์ไม่หยอก
หลัง ๆ หนักเข้าไม่ใช่แค่การหามออก หุบแห่งนี้ได้ยกระดับความน่ากลัวโดยครอบครองผืนป่ารอบบริเวณเป็นวงกว้าง พรานกลุ่มใดวิชาและจิตใจไม่กล้าแข็งพอ ผีป่าจากหุบที่ว่าจะมาคร่าเอาชีวิตไป หามเอาดวงจิตวิญญาณที่ยังคงรูปเป็นตัวตนหายเข้าไปในหุบนั้นต่อหน้าต่อตาเพื่อนพรานคนอื่น ทั้งที่เจ้าตัวเองนอนสิ้นใจใหลตายอยู่ตรงนั้น
นั่นเอง หุบสี่คนหามและป่าโดยรอบจึงถูกพูดถึงปากต่อปากว่าอย่าได้เข้ามาถ้ายังอยากแก่ตาย ซึ่งป่าโดยรอบที่ว่า เหมารวมถึงจุดที่ สส. เปรมชัยมาตั้งปางพักล่าสัตว์ หรือก็คือจุดที่สามสหายยืนอยู่ ณ เวลานี้ด้วยเช่นกัน
ทว่า...แปลกนัก เหตุใดกันปางพักแห่งนี้จึงไม่ถูกรังควาญ อยู่มาได้ตั้งสามวัน ทั้งที่ทุกชีวิตหาได้มีวิชาอาคมเยี่ยงพรานผู้เก่งกาจเลยสักคนเดียว เป็นเพียงลูกหาบตาดำ ๆ เท่านั้น พรานทันตั้งกระทู้กับตนเองในใจ
(มีต่อครับ)
ย่ำแดนเหนือ โดย ตรัยโศก ณ ริมน่าน
ทั้งที่ก่อนหน้าท้องฟ้าแสนจะสดใส ทิศทางสามารถเดาได้จากสายลมแสงแดด แต่อยู่ไม่อยู่ท้องฟ้าก็มืดมัว ฝนตั้งเค้าทั้งที่ไม่ใช่ฤดูกาลอันเหมาะสม พายุโหมกระหน่ำซัดใส่จากทั่วทุกทิศทุกทาง บีบบังคับให้จำต้องพากันวิ่งมาหลบยังใต้ผาแห่งนี้
จะออกจากจุดที่ว่าก็ไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็นผนังช่วยกันลมที่พัดกระหน่ำรุนแรง หอบเอาละอองฝนฝ่าแมกไม้ต้องผิวกายทีมีอันสะดุ้งปานจะถูกชำแรกให้แยกเป็นชิ้น ๆ ด้วยเข็มและมีดที่สร้างโดยธรรมชาติเล่นเอาเจ็บแสบแทบดิ้นตาย ผาหินปูนที่ทั้งคู่ใช้เป็นที่กำบังกาย ยังมีเพิงง้ำลงมาเป็นหลังคาอีกชั้น ก้าวพ้นเงาหลังคาหินที่ว่าเมื่อใด สายฟ้าเป็นส่งประกายฟาดลงใส่ยอดไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลให้มอดไหม้ไฟลุกแดงวาบ ราวกับนั่นเป็นคำขู่ ปานว่าเทพเทวาไม่ก็ผีป่าผีเขาต้องการจะจองจำให้ทั้งคู่อยู่ตรงนั้นไปจนตาย เหตุที่ต้องเชื่อแบบนั้น
เพราะพรานกะเหรี่ยงสองคนนี้ ถูกจองจำไว้ในกรงขังที่มองไม่เห็นมาร่วมสามวันแล้ว!
“กูไม่ไหวแล้ว! กูทนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว กูจะกลับบ้าน กูจะกลับไปหาลูกเมียกู!!”
“ไอ้เจซ่อง! อย่าไป!!!”
ห้ามไปก็เท่านั้น ได้แต่มองแผ่นหลังเพื่อนพรานที่โตมาด้วยกันลับหายไปกับม่านฝุ่นและละอองฝน ส่วนตนเชื่อว่าอย่างไรเสียหากยังหมกตัวอยู่ที่นี่ก็ต้องรอด ถ้าจะตายก็ด้วยเหตุผลเดียว คืออดข้าวอดน้ำ
อีกประการคือความเชื่ออันมีต้นกำเนิดจากคำบอกเล่าของเหล่าพรานรุ่นเก่า ที่แม้ฟังดูแล้วจะเป็นการเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง แต่เท่าที่รู้มา ป่าหรือหุบแห่งนี้ หากจะคร่าชีวิตพรานหรือชาวบ้าน มันจะเอาเพียงทีละคน ทีนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าอาถรรพ์แรงกล้าร้ายกาจนั้นจะเลือกใคร พรานขี้ขลาดเช่นตน หรืออีกคนที่สติแตกวิ่งลุยดะออกไปอย่างพรานเจซ่อง...คำตอบ คงได้แต่รอเท่านั้น
เพียงไม่นาน คล้อยหลังจากที่ถูกทิ้งให้นั่งกอดเข่าขอบตาแดงตัวสั่นอยู่ไม่เกินอึดใจพระพุทธ บังเกิดมีสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางป่าไม่ใกล้ไม่ไกล มันเป็นทิศทางเดียวกันกับที่เพื่อนพรานของตนมุ่งหน้าไปไม่ผิดแน่
“โธ่...ไอ้เจซ่อง...”
เสียงครวญซึ่งแว่วระคนปนเปกับห่าฝนและลมกระหน่ำ มีทั้งอาการโศกเศร้าที่เสียเพื่อนและโล่งใจเพราะคิดว่าตนรอดแล้ว นี่แหละหนาจิตใจเบื้องลึกอันยากจะหยั่งถึงของมนุษย์ ต่อให้รักกันปานจะกลืนกิน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอันตรายแล้วความตายเลือกอีกฝ่ายเป็นเหยื่อ ตนย่อมบังเกิดความโล่งใจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็เหมือนกัน
“จะ...ใจเย็น ๆ ก่อนนาย ประเดี๋ยวพวกนั้นก็กลับมา นะ...นายกินกาแฟก่อนไหมเดี๋ยวลาจู่ชงให้”
พลั่ก! คำตอบที่ได้รับหาใช่คำพูดแต่เป็นส้นเท้าที่กระแทบเข้าเบ้าหน้ากึ่งปากกึ่งจมูก กะเหรี่ยงลาจู่มีอันหงายท้องเอามือกุมปากน้ำตาไหลพราก นักการเมืองผู้นี้ว่าจ้างทั้งตน ลูกหาบคนอื่นและพรานนำทางมาเพื่อล่าสัตว์
ด้วยเห็นว่ามันคือเงิน มันคือรายได้ที่เอาไว้เลี้ยงครอบครัว ทั้งตนและคนที่กล่าวมาจึงต้องทนถูกเหยียดหยามด่าทอราวกับไม่ใช่คน เพียงเพราะถูกมองว่าชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเป็นพวกไร้ค่าไร้การศึกษา สส. เปรมชัยจึงปฏิบัติต่อลูกจ้างทั้งหลายโดยไร้ซึ่งความให้เกียรติ
“มืงจะให้กูใจเย็นได้ยังไงวะ? สามวัน! สามวันแล้วนะโว้ยที่ต้องอยู่นี่ไปไหนไม่ได้ สามวันมืงเข้าใจมั้ย!?”
พร้อมการตะคอก สส. บ้าอำนาจวาดแข้งขวาใส่อีกหนึ่งที ลาจู่มีอันกระเด็นตามแรงตีนนอนคู้งอก่องอขิงด้วยอาการเจ็บร้าวไปทั้งชายโครง ลูกหาบคนอื่น ๆ ได้แต่มองด้วยความเวทนา อยากช่วยก็เกรงกลัวอำนาจรัฐ เพราะนักการเมืองผู้นี้ขู่เอาไว้ หากไม่บริการหรือปรนนิบัติต่อตนเยี่ยงราชา บ้านจู่เข่ไค่หมู่บ้านกะเหรี่ยงเล็ก ๆ ติดขอบชายแดน จะต้องถูกกำจัดทิ้ง
ผู้คนจะถูกอัปเปหิออกจากประเทศ ไปเป็นเหยื่อกระสุนพม่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ด้วยความรู้เกี่ยวกับกฎหมายยังไม่แพร่หลายเท่าใดนักนั่นเอง บ้านจู่เข่ไค่จึงถูกหลอกและขู่เอาโดยง่าย
“พวกมืง! พวกมืงคนไหนก็ได้ไปตามไอ้พรานสองตัวนั่นมาให้กูเดี๋ยวนี้!!!”
“มะ...ไม่เอานาย เมื่อวานไอ้มะซะบอกว่าเห็นร่องรอยพรานลาพ่-องกะเจซ่องไปทางหุบสี่คนหาม มะ...ไม่มีใครกล้าเข้าไปที่นั่นหรอกนาย มันเป็นหุบผี มีแต่ผีเท่านั้นที่เข้าไป” ลูกหาบคนหนึ่งในจำนวนที่ถูกวาดนิ้วชี้สั่งงานละล่ำละลั่กบอก
“ก็ไอ้พรานสองตัวนั่นไงเข้าไปแล้ว ร่องรอยก็มีพวกมืงก็เข้าไปเซ่!”
“มะ...ไม่เอานาย ไม่เข้า”
“มืงอยากตายรึไงวะ!?”
ไม่ถามเปล่า สส.เปรมชัยชัก 9มม.จากซองหนัง ปลดเซฟขึ้นนกหมายจะยิงขู่ด้วยความโมโห เปรี้ยง! ทุกคนทุกกิริยาอาการนิ่งสนิททันควัน ปืนถูกยิงแผดสนั่นจากคนอื่นไม่ใช่สส.บ้าอำนาจ และวิถีกระสุนก็ชี้ขึ้นฟ้าหาใช่จ่อใส่หน้าผู้คนจนอาจเกิดอันตราย
“พวกมืงเป็นใคร?” สส.เปรมชัยถามเมื่อมองเห็นต้นตอของเสียงปืนเมื่อครู่ ชายหนุ่มสองคนก้าวอาด ๆ เข้ามาหน้าตาบ่งบอกถึงความโกรธจัดที่พร้อมปะทุ อาวุธในมือเป็นลูกซองเดี่ยวสถานะพร้อมยิงซ้ำ มองจากภาพรวมแล้วเจตนาของสองชายปริศนาไม่ได้มาดีเป็นแน่
“พะ...พวกมืงเป็นโจรรึ? ไม่รู้รึไงกูเป็นใคร? กูเป็นสอ...” พลั่ก! เท่านั้นเอง สส.เปรมชัยก็มีอันจอดับ เมื่อท้ายทอยถูกกระแทกด้วยด้ามปืน
“ไม่แรงไปหน่อยรึวะไอ้ทัน? อย่างน้อยก็น่าจะให้มันพูดจบก่อน”
“ใครจะไปใจหินทนได้อย่างมืงวะไอ้เมฆ? กูกะจะระเบิดสมองมันทิ้งตั้งแต่เอาลูบหน้าคนอื่นแล้ว รึมืงไม่เห็นใจพวกนี้เลย มืงเองก็คิดว่าพวกกะเหรี่ยงไม่มีค่ารึไง?”
“เฮ้ย ๆ ใจเย็น ๆ น่า...ไอ้เมฆมันไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ใช่ว่ามืงจะเพิ่งรู้จักมัน นิสัยใจคอมันเป็นยังไงเองก็น่าจะรู้นะไอ้ทัน เมื่อครู่ ถ้ากูไม่สะกิดให้มันยิงขึ้นฟ้า สส. ห่านั้นคงม่องไปแล้ว”
“สส. ห่านั่น? มืงเป็นผู้ใหญ่บ้านประเภทไหนวะไอ้ผุย อย่างน้อยหน้าที่การงานของมืงน่าจะเกี่ยวพันกะมันไม่ใช่รึไง? หยาบคายจริง ๆ ใครมันตาบอดเอามืงขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่กันว้า...?”
พรานเมฆถามเกาหัวแกรก เงียบไปครู่ ก่อนทั้งสามจะหัวเราะให้แก่กัน สร้างความงง-งันให้แก่เหล่ากะเหรี่ยงลูกหาบทั้งหลาย พ่อหนุ่มสามคนนี้เป็นใครกัน แล้วไม่กลัวฟ้าดินลงโทษหรือไรที่จัดการเสีย สส.เปรมชัยร่วงแน่นิ่งแบบนั้น
ใช่แล้ว...สามหนุ่ม ขณะนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวการผจญภัยในวัยกระทงของพรานเมฆและผู้ใหญ่ผุย พ่อบ้านหมาด ๆ อุ่น ๆ ของบ้านหนองคำดีที่ลักลอบหนีไปท่องป่าทิ้งหน้าที่รับผิดชอบให้ลุงดูแลจนกว่าตนจะเบื่อการท่องเที่ยว โดยการมาครั้งนี้ ทั้งคู่เลือกมาเยือนเรือนสหายในภาคเหนือนามว่า พรานทัน และการกระทำทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นนั้น ก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ
ระหว่างที่พรานทันพูดคุยกับเหล่าลูกหาบกะเหรี่ยงว่าเกิดอะไรขึ้น พรานเมฆและผู้ใหญ่ผุยจัดการพันธนาการ สส. ปากดีซึ่งยังอยู่ในภาวะไร้สติเข้ากับไม้ใหญ่ด้วยเชือกล่ามควาย หันหน้านักการเมืองผู้นั้นเข้าป่าไม่ให้แลเห็นแค้มป์พัก เมื่อตื่นมาจะได้เข้าใจว่าถูกโจรปล้นและจับมัดไว้ นี่เป็นเพียงการสั่งสอนเท่านั้น วันสองวันก็ปล่อยแล้ว ผู้ใหญ่ผุยคิดเช่นนั้น
“ยังไงเล่าทันเกลอแก้ว? ได้ความอะไรบ้าง ก็ไหนมืงบอกว่าป่าแถบนี้ไม่ใคร่มีใครอยากเข้ามาไม่ใช่รึ? แล้วไหงไอ้แค้มป์นั่นถึงมาโผล่อยู่ตรงนี้ได้?”
“ก็เพราะไอ้นี่แหละ” พรานทันเบะปากพยักพเยิดไปทางนักการเมืองที่ว่า “ทั้งที่ชาวบ้านขอร้องแล้วขอร้องอีก ปรามแล้วปรามอีก เตือนแล้วเตือนอีกว่าอย่าเข้ามา มันก็ใช้อำนาจที่มีข่มขู่จนลากเอาพวกนั้นกับพรานอีกสองคนมาที่นี่จนได้ หึ...พูดแล้วโมโห! ขมับสักทีดีมั้ง!!!”
ผู้ใหญ่ผุยต้องเข้ารั้งตัวสหายชาวเหนือเอาไว้อุตลุด พูดปลอบใจพลางยื่นใบไม้วิเศษให้เคี้ยวเสียหน่อยจะได้ใจชื้นขึ้น
“แล้วพรานที่ว่าเล่าหายไปไหน?” พรานเมฆตั้งกระทู้อีกข้อ
“ก็ไปในที่ ๆ มืงกะไอ้ผุยอยากไปนั่นล่ะ หุบสี่คนหาม เห็นว่าหายไปสามวันแล้ว ร่องรอยชี้ชัดว่าเข้าไปที่นั่น เฮ่อ...ไม่พ้นต้องลองไปดูเสียหน่อยกระมัง”
ได้ยินเช่นนั้นสองสหายจากบ้านหนองคำดีแลสบตาและยิ้มให้แก่กัน อะไรจะโชคดีปานนี้ ก่อนหน้าจะมาเจอแค้มป์พักนักการเมืองโดยบังเอิญ ทั้งคู่พยายามอ้อนวอนขอร้องให้พรานทันพาเข้าไปในหุบสี่คนหามแทบก้มกราบ ด้วยว่าอยากสัมผัส อยากรับรู้ว่าอาถรรพ์หรือปีศาจในหุบนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร คาถาอาคมหรือจิตอันกล้าแข็งของพวกตนสามารถสยบได้หรือไม่ แต่พรานทันปฏิเสธถ่ายเดียว บอกเพียงว่าไม่อยากให้เพื่อนทั้งสองเอาชีวิตไปทิ้งดั่งพ่อของตน แต่เวลานี้สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว
“ดูเหมือนว่า...จะมีเหตุให้ต้องเข้าไปแล้วสินะเกลอเอ๋ย...”
“ดีใจออกนอกหน้าเชียวนะมืงไอ้เมฆ เฮ่อ...ไปก็ไป!” พรานทันกล่าวด้วยอาการไม่สบายใจนัก ต่างกับสองหนุ่มบ้านหนองคำดี แอบชนหมัดกันลับหลังยิ้มร่าหัวเราะคิกคัก
หุบสี่คนหาม เป็นหุบลึกอันอุดมสมบูรณ์ด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ทั้งที่หุบนั้นไม่มีโป่งทั้งใหญ่และเล็ก ผลหมากรากไม้เองก็ใช่จะดกพอให้สัตว์ได้กิน มีเพียงไม้ยืนต้นขึ้นหนาทึบรกครึ้มเป็นหลังคาโลกเท่านั้น แต่ที่นั่นกลับมีสัตว์มากมายอาศัยอยู่
พรานสมัยเก่าก่อนต่างก็เคยเห็นหุบแห่งนั้นดั่งขุมทรัพย์ พากันแบกปืนเข้าไปหมายเนื้อ หนัง เขา ของสัตว์ป่ามาขายไม่ก็ประทังชีวิต สุดท้ายก็ต้องหามกันออกมาในสภาพไร้วิญญาณ เพราะที่นั่นแรงชนิดฉุดไม่อยู่ ผีป่าผีเขาดุดันไม่เกรงใจใคร แรงทั้งสัตว์ทั้งผี อาการที่ต้องหามกันออกมานั้นราวกับขบวนแห่ศพ ไม่ว่าจะเป็นครั้งใดเวลาไหนก็ไม่เคยเปลี่ยน สุดท้ายจึงได้ชื่อว่า หุบสี่คนหาม โก้หรูดูอาถรรพ์ไม่หยอก
หลัง ๆ หนักเข้าไม่ใช่แค่การหามออก หุบแห่งนี้ได้ยกระดับความน่ากลัวโดยครอบครองผืนป่ารอบบริเวณเป็นวงกว้าง พรานกลุ่มใดวิชาและจิตใจไม่กล้าแข็งพอ ผีป่าจากหุบที่ว่าจะมาคร่าเอาชีวิตไป หามเอาดวงจิตวิญญาณที่ยังคงรูปเป็นตัวตนหายเข้าไปในหุบนั้นต่อหน้าต่อตาเพื่อนพรานคนอื่น ทั้งที่เจ้าตัวเองนอนสิ้นใจใหลตายอยู่ตรงนั้น
นั่นเอง หุบสี่คนหามและป่าโดยรอบจึงถูกพูดถึงปากต่อปากว่าอย่าได้เข้ามาถ้ายังอยากแก่ตาย ซึ่งป่าโดยรอบที่ว่า เหมารวมถึงจุดที่ สส. เปรมชัยมาตั้งปางพักล่าสัตว์ หรือก็คือจุดที่สามสหายยืนอยู่ ณ เวลานี้ด้วยเช่นกัน
ทว่า...แปลกนัก เหตุใดกันปางพักแห่งนี้จึงไม่ถูกรังควาญ อยู่มาได้ตั้งสามวัน ทั้งที่ทุกชีวิตหาได้มีวิชาอาคมเยี่ยงพรานผู้เก่งกาจเลยสักคนเดียว เป็นเพียงลูกหาบตาดำ ๆ เท่านั้น พรานทันตั้งกระทู้กับตนเองในใจ
(มีต่อครับ)