ย่ำแดนเหนือ โดย ตรัยโศก ณ ริมน่าน

คำเตือน เรื่องสั้นชุดนี้ข้าพเจ้าสงวนลิขสิทธิ์เด้อ  ห้ามมิให้ผู้ใดนำไปเผยแพร่ในช่องทางอื่นก่อนได้รับอนุญาต 
 

ย่ำแดนเหนือ

        ครืน...ฟ้าครางแว่วมาแต่ไกล  ทั่วอาณาบริเวณสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยทั้งแรงลมที่ปานจะถอนรากถอนโคนต้นไม้ทั้งป่า ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่  หากไม่ได้ผาหินปูนสูงหลายเมตรช่วยไว้  พรานกะเหรี่ยงสองคนที่ตามรอยกระทิงจนพากันทะเล่อทะล่าพลัดหลงจากกลุ่มมาติดแหงกอยู่ยังป่าปริศนาไม่คุ้นตาแต่รู้จักดีคงรอดยาก 

ทั้งที่ก่อนหน้าท้องฟ้าแสนจะสดใส  ทิศทางสามารถเดาได้จากสายลมแสงแดด  แต่อยู่ไม่อยู่ท้องฟ้าก็มืดมัว ฝนตั้งเค้าทั้งที่ไม่ใช่ฤดูกาลอันเหมาะสม พายุโหมกระหน่ำซัดใส่จากทั่วทุกทิศทุกทาง บีบบังคับให้จำต้องพากันวิ่งมาหลบยังใต้ผาแห่งนี้

จะออกจากจุดที่ว่าก็ไม่ได้  เพราะนอกจากจะเป็นผนังช่วยกันลมที่พัดกระหน่ำรุนแรง  หอบเอาละอองฝนฝ่าแมกไม้ต้องผิวกายทีมีอันสะดุ้งปานจะถูกชำแรกให้แยกเป็นชิ้น ๆ ด้วยเข็มและมีดที่สร้างโดยธรรมชาติเล่นเอาเจ็บแสบแทบดิ้นตาย  ผาหินปูนที่ทั้งคู่ใช้เป็นที่กำบังกาย  ยังมีเพิงง้ำลงมาเป็นหลังคาอีกชั้น ก้าวพ้นเงาหลังคาหินที่ว่าเมื่อใด  สายฟ้าเป็นส่งประกายฟาดลงใส่ยอดไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลให้มอดไหม้ไฟลุกแดงวาบ  ราวกับนั่นเป็นคำขู่  ปานว่าเทพเทวาไม่ก็ผีป่าผีเขาต้องการจะจองจำให้ทั้งคู่อยู่ตรงนั้นไปจนตาย  เหตุที่ต้องเชื่อแบบนั้น

เพราะพรานกะเหรี่ยงสองคนนี้  ถูกจองจำไว้ในกรงขังที่มองไม่เห็นมาร่วมสามวันแล้ว!

“กูไม่ไหวแล้ว! กูทนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว กูจะกลับบ้าน กูจะกลับไปหาลูกเมียกู!!”

“ไอ้เจซ่อง! อย่าไป!!!”  

ห้ามไปก็เท่านั้น ได้แต่มองแผ่นหลังเพื่อนพรานที่โตมาด้วยกันลับหายไปกับม่านฝุ่นและละอองฝน  ส่วนตนเชื่อว่าอย่างไรเสียหากยังหมกตัวอยู่ที่นี่ก็ต้องรอด  ถ้าจะตายก็ด้วยเหตุผลเดียว คืออดข้าวอดน้ำ  

อีกประการคือความเชื่ออันมีต้นกำเนิดจากคำบอกเล่าของเหล่าพรานรุ่นเก่า  ที่แม้ฟังดูแล้วจะเป็นการเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง  แต่เท่าที่รู้มา ป่าหรือหุบแห่งนี้  หากจะคร่าชีวิตพรานหรือชาวบ้าน มันจะเอาเพียงทีละคน ทีนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าอาถรรพ์แรงกล้าร้ายกาจนั้นจะเลือกใคร  พรานขี้ขลาดเช่นตน หรืออีกคนที่สติแตกวิ่งลุยดะออกไปอย่างพรานเจซ่อง...คำตอบ  คงได้แต่รอเท่านั้น  

เพียงไม่นาน  คล้อยหลังจากที่ถูกทิ้งให้นั่งกอดเข่าขอบตาแดงตัวสั่นอยู่ไม่เกินอึดใจพระพุทธ  บังเกิดมีสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางป่าไม่ใกล้ไม่ไกล  มันเป็นทิศทางเดียวกันกับที่เพื่อนพรานของตนมุ่งหน้าไปไม่ผิดแน่

“โธ่...ไอ้เจซ่อง...”  

เสียงครวญซึ่งแว่วระคนปนเปกับห่าฝนและลมกระหน่ำ  มีทั้งอาการโศกเศร้าที่เสียเพื่อนและโล่งใจเพราะคิดว่าตนรอดแล้ว นี่แหละหนาจิตใจเบื้องลึกอันยากจะหยั่งถึงของมนุษย์  ต่อให้รักกันปานจะกลืนกิน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอันตรายแล้วความตายเลือกอีกฝ่ายเป็นเหยื่อ  ตนย่อมบังเกิดความโล่งใจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็เหมือนกัน

ขณะเดียวกัน
“นี่ไอ้พรานลาพ่-อง  กับ  เจซ่องมันหายไปไหน?  กะอีแค่ตามรอยกระทิงต้องทิ้งพวกเราไว้สามวันเลยรึ?  กลับมาบอกกันก่อนก็ได้  ถ้าเกิดอะไรขึ้นในช่วงสามวันนี้จะเป็นยังไง? ใครจะรับผิดชอบ!?”

“จะ...ใจเย็น ๆ ก่อนนาย ประเดี๋ยวพวกนั้นก็กลับมา  นะ...นายกินกาแฟก่อนไหมเดี๋ยวลาจู่ชงให้”

พลั่ก!  คำตอบที่ได้รับหาใช่คำพูดแต่เป็นส้นเท้าที่กระแทบเข้าเบ้าหน้ากึ่งปากกึ่งจมูก  กะเหรี่ยงลาจู่มีอันหงายท้องเอามือกุมปากน้ำตาไหลพราก  นักการเมืองผู้นี้ว่าจ้างทั้งตน ลูกหาบคนอื่นและพรานนำทางมาเพื่อล่าสัตว์  

ด้วยเห็นว่ามันคือเงิน  มันคือรายได้ที่เอาไว้เลี้ยงครอบครัว  ทั้งตนและคนที่กล่าวมาจึงต้องทนถูกเหยียดหยามด่าทอราวกับไม่ใช่คน  เพียงเพราะถูกมองว่าชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเป็นพวกไร้ค่าไร้การศึกษา  สส. เปรมชัยจึงปฏิบัติต่อลูกจ้างทั้งหลายโดยไร้ซึ่งความให้เกียรติ

“มืงจะให้กูใจเย็นได้ยังไงวะ?  สามวัน! สามวันแล้วนะโว้ยที่ต้องอยู่นี่ไปไหนไม่ได้  สามวันมืงเข้าใจมั้ย!?” 
 
พร้อมการตะคอก  สส. บ้าอำนาจวาดแข้งขวาใส่อีกหนึ่งที ลาจู่มีอันกระเด็นตามแรงตีนนอนคู้งอก่องอขิงด้วยอาการเจ็บร้าวไปทั้งชายโครง ลูกหาบคนอื่น ๆ ได้แต่มองด้วยความเวทนา อยากช่วยก็เกรงกลัวอำนาจรัฐ  เพราะนักการเมืองผู้นี้ขู่เอาไว้  หากไม่บริการหรือปรนนิบัติต่อตนเยี่ยงราชา  บ้านจู่เข่ไค่หมู่บ้านกะเหรี่ยงเล็ก ๆ ติดขอบชายแดน จะต้องถูกกำจัดทิ้ง  

ผู้คนจะถูกอัปเปหิออกจากประเทศ  ไปเป็นเหยื่อกระสุนพม่าอย่างไม่ต้องสงสัย  แต่ก็ด้วยความรู้เกี่ยวกับกฎหมายยังไม่แพร่หลายเท่าใดนักนั่นเอง  บ้านจู่เข่ไค่จึงถูกหลอกและขู่เอาโดยง่าย

“พวกมืง! พวกมืงคนไหนก็ได้ไปตามไอ้พรานสองตัวนั่นมาให้กูเดี๋ยวนี้!!!”

“มะ...ไม่เอานาย เมื่อวานไอ้มะซะบอกว่าเห็นร่องรอยพรานลาพ่-องกะเจซ่องไปทางหุบสี่คนหาม  มะ...ไม่มีใครกล้าเข้าไปที่นั่นหรอกนาย มันเป็นหุบผี  มีแต่ผีเท่านั้นที่เข้าไป”  ลูกหาบคนหนึ่งในจำนวนที่ถูกวาดนิ้วชี้สั่งงานละล่ำละลั่กบอก

“ก็ไอ้พรานสองตัวนั่นไงเข้าไปแล้ว  ร่องรอยก็มีพวกมืงก็เข้าไปเซ่!”

“มะ...ไม่เอานาย  ไม่เข้า”

“มืงอยากตายรึไงวะ!?”  

ไม่ถามเปล่า  สส.เปรมชัยชัก 9มม.จากซองหนัง ปลดเซฟขึ้นนกหมายจะยิงขู่ด้วยความโมโห  เปรี้ยง!  ทุกคนทุกกิริยาอาการนิ่งสนิททันควัน  ปืนถูกยิงแผดสนั่นจากคนอื่นไม่ใช่สส.บ้าอำนาจ  และวิถีกระสุนก็ชี้ขึ้นฟ้าหาใช่จ่อใส่หน้าผู้คนจนอาจเกิดอันตราย

“พวกมืงเป็นใคร?”  สส.เปรมชัยถามเมื่อมองเห็นต้นตอของเสียงปืนเมื่อครู่  ชายหนุ่มสองคนก้าวอาด ๆ เข้ามาหน้าตาบ่งบอกถึงความโกรธจัดที่พร้อมปะทุ  อาวุธในมือเป็นลูกซองเดี่ยวสถานะพร้อมยิงซ้ำ  มองจากภาพรวมแล้วเจตนาของสองชายปริศนาไม่ได้มาดีเป็นแน่

“พะ...พวกมืงเป็นโจรรึ?  ไม่รู้รึไงกูเป็นใคร?  กูเป็นสอ...”  พลั่ก!  เท่านั้นเอง สส.เปรมชัยก็มีอันจอดับ เมื่อท้ายทอยถูกกระแทกด้วยด้ามปืน

“ไม่แรงไปหน่อยรึวะไอ้ทัน?  อย่างน้อยก็น่าจะให้มันพูดจบก่อน” 

“ใครจะไปใจหินทนได้อย่างมืงวะไอ้เมฆ?  กูกะจะระเบิดสมองมันทิ้งตั้งแต่เอาลูบหน้าคนอื่นแล้ว  รึมืงไม่เห็นใจพวกนี้เลย มืงเองก็คิดว่าพวกกะเหรี่ยงไม่มีค่ารึไง?”

“เฮ้ย ๆ ใจเย็น ๆ น่า...ไอ้เมฆมันไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก  ใช่ว่ามืงจะเพิ่งรู้จักมัน  นิสัยใจคอมันเป็นยังไงเองก็น่าจะรู้นะไอ้ทัน  เมื่อครู่  ถ้ากูไม่สะกิดให้มันยิงขึ้นฟ้า  สส. ห่านั้นคงม่องไปแล้ว”

“สส. ห่านั่น?  มืงเป็นผู้ใหญ่บ้านประเภทไหนวะไอ้ผุย  อย่างน้อยหน้าที่การงานของมืงน่าจะเกี่ยวพันกะมันไม่ใช่รึไง?  หยาบคายจริง ๆ ใครมันตาบอดเอามืงขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่กันว้า...?”  

พรานเมฆถามเกาหัวแกรก  เงียบไปครู่  ก่อนทั้งสามจะหัวเราะให้แก่กัน  สร้างความงง-งันให้แก่เหล่ากะเหรี่ยงลูกหาบทั้งหลาย  พ่อหนุ่มสามคนนี้เป็นใครกัน  แล้วไม่กลัวฟ้าดินลงโทษหรือไรที่จัดการเสีย สส.เปรมชัยร่วงแน่นิ่งแบบนั้น  

ใช่แล้ว...สามหนุ่ม  ขณะนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวการผจญภัยในวัยกระทงของพรานเมฆและผู้ใหญ่ผุย  พ่อบ้านหมาด ๆ อุ่น ๆ ของบ้านหนองคำดีที่ลักลอบหนีไปท่องป่าทิ้งหน้าที่รับผิดชอบให้ลุงดูแลจนกว่าตนจะเบื่อการท่องเที่ยว  โดยการมาครั้งนี้  ทั้งคู่เลือกมาเยือนเรือนสหายในภาคเหนือนามว่า พรานทัน และการกระทำทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นนั้น  ก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ

ระหว่างที่พรานทันพูดคุยกับเหล่าลูกหาบกะเหรี่ยงว่าเกิดอะไรขึ้น  พรานเมฆและผู้ใหญ่ผุยจัดการพันธนาการ สส. ปากดีซึ่งยังอยู่ในภาวะไร้สติเข้ากับไม้ใหญ่ด้วยเชือกล่ามควาย หันหน้านักการเมืองผู้นั้นเข้าป่าไม่ให้แลเห็นแค้มป์พัก  เมื่อตื่นมาจะได้เข้าใจว่าถูกโจรปล้นและจับมัดไว้  นี่เป็นเพียงการสั่งสอนเท่านั้น  วันสองวันก็ปล่อยแล้ว  ผู้ใหญ่ผุยคิดเช่นนั้น

“ยังไงเล่าทันเกลอแก้ว?  ได้ความอะไรบ้าง  ก็ไหนมืงบอกว่าป่าแถบนี้ไม่ใคร่มีใครอยากเข้ามาไม่ใช่รึ?  แล้วไหงไอ้แค้มป์นั่นถึงมาโผล่อยู่ตรงนี้ได้?”

“ก็เพราะไอ้นี่แหละ”  พรานทันเบะปากพยักพเยิดไปทางนักการเมืองที่ว่า  “ทั้งที่ชาวบ้านขอร้องแล้วขอร้องอีก  ปรามแล้วปรามอีก  เตือนแล้วเตือนอีกว่าอย่าเข้ามา มันก็ใช้อำนาจที่มีข่มขู่จนลากเอาพวกนั้นกับพรานอีกสองคนมาที่นี่จนได้  หึ...พูดแล้วโมโห! ขมับสักทีดีมั้ง!!!”

ผู้ใหญ่ผุยต้องเข้ารั้งตัวสหายชาวเหนือเอาไว้อุตลุด  พูดปลอบใจพลางยื่นใบไม้วิเศษให้เคี้ยวเสียหน่อยจะได้ใจชื้นขึ้น

“แล้วพรานที่ว่าเล่าหายไปไหน?”  พรานเมฆตั้งกระทู้อีกข้อ

“ก็ไปในที่ ๆ มืงกะไอ้ผุยอยากไปนั่นล่ะ  หุบสี่คนหาม  เห็นว่าหายไปสามวันแล้ว  ร่องรอยชี้ชัดว่าเข้าไปที่นั่น เฮ่อ...ไม่พ้นต้องลองไปดูเสียหน่อยกระมัง”

ได้ยินเช่นนั้นสองสหายจากบ้านหนองคำดีแลสบตาและยิ้มให้แก่กัน  อะไรจะโชคดีปานนี้  ก่อนหน้าจะมาเจอแค้มป์พักนักการเมืองโดยบังเอิญ  ทั้งคู่พยายามอ้อนวอนขอร้องให้พรานทันพาเข้าไปในหุบสี่คนหามแทบก้มกราบ  ด้วยว่าอยากสัมผัส อยากรับรู้ว่าอาถรรพ์หรือปีศาจในหุบนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร  คาถาอาคมหรือจิตอันกล้าแข็งของพวกตนสามารถสยบได้หรือไม่  แต่พรานทันปฏิเสธถ่ายเดียว  บอกเพียงว่าไม่อยากให้เพื่อนทั้งสองเอาชีวิตไปทิ้งดั่งพ่อของตน  แต่เวลานี้สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว

“ดูเหมือนว่า...จะมีเหตุให้ต้องเข้าไปแล้วสินะเกลอเอ๋ย...”

“ดีใจออกนอกหน้าเชียวนะมืงไอ้เมฆ  เฮ่อ...ไปก็ไป!”  พรานทันกล่าวด้วยอาการไม่สบายใจนัก  ต่างกับสองหนุ่มบ้านหนองคำดี แอบชนหมัดกันลับหลังยิ้มร่าหัวเราะคิกคัก

หุบสี่คนหาม  เป็นหุบลึกอันอุดมสมบูรณ์ด้วยแมกไม้นานาพันธุ์  ทั้งที่หุบนั้นไม่มีโป่งทั้งใหญ่และเล็ก  ผลหมากรากไม้เองก็ใช่จะดกพอให้สัตว์ได้กิน มีเพียงไม้ยืนต้นขึ้นหนาทึบรกครึ้มเป็นหลังคาโลกเท่านั้น  แต่ที่นั่นกลับมีสัตว์มากมายอาศัยอยู่  

พรานสมัยเก่าก่อนต่างก็เคยเห็นหุบแห่งนั้นดั่งขุมทรัพย์  พากันแบกปืนเข้าไปหมายเนื้อ หนัง เขา ของสัตว์ป่ามาขายไม่ก็ประทังชีวิต  สุดท้ายก็ต้องหามกันออกมาในสภาพไร้วิญญาณ  เพราะที่นั่นแรงชนิดฉุดไม่อยู่ ผีป่าผีเขาดุดันไม่เกรงใจใคร  แรงทั้งสัตว์ทั้งผี  อาการที่ต้องหามกันออกมานั้นราวกับขบวนแห่ศพ  ไม่ว่าจะเป็นครั้งใดเวลาไหนก็ไม่เคยเปลี่ยน  สุดท้ายจึงได้ชื่อว่า หุบสี่คนหาม โก้หรูดูอาถรรพ์ไม่หยอก

หลัง ๆ หนักเข้าไม่ใช่แค่การหามออก  หุบแห่งนี้ได้ยกระดับความน่ากลัวโดยครอบครองผืนป่ารอบบริเวณเป็นวงกว้าง  พรานกลุ่มใดวิชาและจิตใจไม่กล้าแข็งพอ  ผีป่าจากหุบที่ว่าจะมาคร่าเอาชีวิตไป  หามเอาดวงจิตวิญญาณที่ยังคงรูปเป็นตัวตนหายเข้าไปในหุบนั้นต่อหน้าต่อตาเพื่อนพรานคนอื่น  ทั้งที่เจ้าตัวเองนอนสิ้นใจใหลตายอยู่ตรงนั้น  

นั่นเอง  หุบสี่คนหามและป่าโดยรอบจึงถูกพูดถึงปากต่อปากว่าอย่าได้เข้ามาถ้ายังอยากแก่ตาย ซึ่งป่าโดยรอบที่ว่า เหมารวมถึงจุดที่ สส. เปรมชัยมาตั้งปางพักล่าสัตว์ หรือก็คือจุดที่สามสหายยืนอยู่ ณ เวลานี้ด้วยเช่นกัน  

ทว่า...แปลกนัก  เหตุใดกันปางพักแห่งนี้จึงไม่ถูกรังควาญ  อยู่มาได้ตั้งสามวัน ทั้งที่ทุกชีวิตหาได้มีวิชาอาคมเยี่ยงพรานผู้เก่งกาจเลยสักคนเดียว เป็นเพียงลูกหาบตาดำ ๆ เท่านั้น  พรานทันตั้งกระทู้กับตนเองในใจ
(มีต่อครับ)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่