เท่าที่ได้ฟังนโยบายแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ยังสงสัยอยู่หลายเรื่องเลยครับ
บางคนบอกสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ พอประชาชนใช้เงินดิจิทัล เงินจะเปลี่ยนมือหลายรอบ
ทำให้มีการจ่ายภาษี ทั้ง VAT และภาษีเงินได้ ซึ่งเงินภาษีจะวนไปสนับสนุนโครงการ
แต่พอลองคิดดีๆ คนที่ได้เงินเต็มๆ 10,000 บาท ก็คือประชาชนที่รับเงินครั้งแรก
จากนั้นพอเอาเงินไปซื้อของจากแม่ค้า แม่ค้าก็ต้องเอาเงินส่วนนึงไปจ่ายซัพพลายเออร์ สมมติ 7,000 บาท
สุดท้ายแม่ค้าเหลือกำไรเอาไปใช้จ่ายแค่ 3,000 บาท
ดังนั้น แต่ละรอบที่เงินเปลี่ยนมือ มันไม่ใช่ 10,000 บาทเต็มๆ ผลทวีคูณมันจะน้อยลงเรื่อยๆ
ต่อให้เงินเปลี่ยนมือไป 15 รอบ ก็ไม่น่าทำให้เก็บภาษีได้มากพอจะที่ซัพพอร์ตโครงการนี้ได้ทั้งหมด
แถมสินค้าบางประเภทได้รับยกเว้น VAT ก็ไม่มีภาษีให้เก็บ พ่อค้าแม่ค้าที่รายได้น้อยก็ไม่เสียภาษีเงินได้อีก
แค่เก็บภาษีได้ประมาณ 30% ของโครงการก็เก่งแล้ว ที่เหลือ 70% จะเอาเงินมาจากไหน เพื่อมาสนับสนุนนโยบายนี้?
แต่สุดท้าย เหมือนคุณเศรษฐา ทวีสิน ออกทีวี บอกจะใช้เงินงบประมาณ แล้วตัดเงินสวัสดิการรัฐอื่นๆเพิ่มเติม
การแจกเงินให้ประชาชนนำไปจับจ่ายใช้สอย มักกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ระยะสั้น ไม่ต่างจากโครงการแจกเงินที่ผ่านๆมา
เงิน 5 แสนล้านที่จะไปกระตุ้นการบริโภค มันจะได้ประโยชน์กว่าการนำเงินนั้นไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาประเทศจริงเหรอครับ?
แล้วเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นจากเงิน 5 แสนล้าน จะกระทบความเป็นอยู่ประชาชน หลังจากที่ effect ของเงินก้อนนี้แผ่วลงมั้ย?
อีกเรื่องนึงที่ผมสงสัยคือ เพื่อไทยจะทำระบบเงินดิจิทัลสำหรับนโยบายนี้ทันจริงเหรอครับ?
จริงอยู่ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยพัฒนาเงินบาทดิจิทัล (CBDC) มาหลายปีแล้ว
แต่ระบบของเพื่อไทยจะจำกัดระยะทางที่รัศมี 4 กิโลเมตรตามที่อยู่ตามบัตรประชาชน มันจะทำได้จริงโดยไม่เกิดโกลาหลเหรอครับ?
ขนาด Google Map ยังคลาดเคลื่อน เพื่อไทยมีระบบค้นหาตำแหน่งตามที่อยู่บัตรประชาชนที่เป๊ะขนาดนั้นเชียวหรอครับ?
ถ้าต้องคอยมาตามแก้ปัญหาให้คนที่พิกัดตำแหน่งคลาดเคลื่อน มันคงวุ่นวายพอดู
แล้วระบบนี้จะป้องกันทุจริตยังไง? ถ้ามีนายหน้ารับแปลงเงินดิจิทัลเป็นเงินสด(หักค่าธรรมเนียม)
โดยทำธุรกรรมอำพรางแบบเนียนๆ อาจทำให้ไม่เกิดผลบวกทางเศรษฐกิจมากเท่าที่คาดหวังเอาไว้ก็ได้
ดีไม่ดีกลายเป็นประเด็นให้ฝ่ายตรงข้ามฟ้องร้องทุจริต ฟ้องอาญา ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ข้อสงสัยเกี่ยวกับนโยบายเพื่อไทย แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
บางคนบอกสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ พอประชาชนใช้เงินดิจิทัล เงินจะเปลี่ยนมือหลายรอบ
ทำให้มีการจ่ายภาษี ทั้ง VAT และภาษีเงินได้ ซึ่งเงินภาษีจะวนไปสนับสนุนโครงการ
แต่พอลองคิดดีๆ คนที่ได้เงินเต็มๆ 10,000 บาท ก็คือประชาชนที่รับเงินครั้งแรก
จากนั้นพอเอาเงินไปซื้อของจากแม่ค้า แม่ค้าก็ต้องเอาเงินส่วนนึงไปจ่ายซัพพลายเออร์ สมมติ 7,000 บาท
สุดท้ายแม่ค้าเหลือกำไรเอาไปใช้จ่ายแค่ 3,000 บาท
ดังนั้น แต่ละรอบที่เงินเปลี่ยนมือ มันไม่ใช่ 10,000 บาทเต็มๆ ผลทวีคูณมันจะน้อยลงเรื่อยๆ
ต่อให้เงินเปลี่ยนมือไป 15 รอบ ก็ไม่น่าทำให้เก็บภาษีได้มากพอจะที่ซัพพอร์ตโครงการนี้ได้ทั้งหมด
แถมสินค้าบางประเภทได้รับยกเว้น VAT ก็ไม่มีภาษีให้เก็บ พ่อค้าแม่ค้าที่รายได้น้อยก็ไม่เสียภาษีเงินได้อีก
แค่เก็บภาษีได้ประมาณ 30% ของโครงการก็เก่งแล้ว ที่เหลือ 70% จะเอาเงินมาจากไหน เพื่อมาสนับสนุนนโยบายนี้?
แต่สุดท้าย เหมือนคุณเศรษฐา ทวีสิน ออกทีวี บอกจะใช้เงินงบประมาณ แล้วตัดเงินสวัสดิการรัฐอื่นๆเพิ่มเติม
การแจกเงินให้ประชาชนนำไปจับจ่ายใช้สอย มักกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ระยะสั้น ไม่ต่างจากโครงการแจกเงินที่ผ่านๆมา
เงิน 5 แสนล้านที่จะไปกระตุ้นการบริโภค มันจะได้ประโยชน์กว่าการนำเงินนั้นไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาประเทศจริงเหรอครับ?
แล้วเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นจากเงิน 5 แสนล้าน จะกระทบความเป็นอยู่ประชาชน หลังจากที่ effect ของเงินก้อนนี้แผ่วลงมั้ย?
อีกเรื่องนึงที่ผมสงสัยคือ เพื่อไทยจะทำระบบเงินดิจิทัลสำหรับนโยบายนี้ทันจริงเหรอครับ?
จริงอยู่ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยพัฒนาเงินบาทดิจิทัล (CBDC) มาหลายปีแล้ว
แต่ระบบของเพื่อไทยจะจำกัดระยะทางที่รัศมี 4 กิโลเมตรตามที่อยู่ตามบัตรประชาชน มันจะทำได้จริงโดยไม่เกิดโกลาหลเหรอครับ?
ขนาด Google Map ยังคลาดเคลื่อน เพื่อไทยมีระบบค้นหาตำแหน่งตามที่อยู่บัตรประชาชนที่เป๊ะขนาดนั้นเชียวหรอครับ?
ถ้าต้องคอยมาตามแก้ปัญหาให้คนที่พิกัดตำแหน่งคลาดเคลื่อน มันคงวุ่นวายพอดู
แล้วระบบนี้จะป้องกันทุจริตยังไง? ถ้ามีนายหน้ารับแปลงเงินดิจิทัลเป็นเงินสด(หักค่าธรรมเนียม)
โดยทำธุรกรรมอำพรางแบบเนียนๆ อาจทำให้ไม่เกิดผลบวกทางเศรษฐกิจมากเท่าที่คาดหวังเอาไว้ก็ได้
ดีไม่ดีกลายเป็นประเด็นให้ฝ่ายตรงข้ามฟ้องร้องทุจริต ฟ้องอาญา ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่