สวัสดีค่ะ วันนี้จะหยิบเอาเรื่องเล่าเขย่าขวัญตอนหนึ่งจากเว็บงานแปลของเราเองที่ชื่อว่า "นอนไม่หลับ" ซึ่งเราเลือกเอาเรื่องเล่าน่ากลัวๆ จากบอร์ด Reddit มาแปลให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน โดยปกติเราจะอัปเดตบ่อยๆ อาทิตย์ละประมาณ 2-3 เรื่องในเว็บของเราเองชื่อ "นอนไม่หลับ" ค่ะ (ลิงก์นี้นะคะ)
ถ้าอ่านแล้วชอบ สามารถตามไปอ่านตอนอื่นๆ ได้นะคะ ^^
**ปล. ก่อนแปลทุกครั้ง เราได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องเป็นการส่วนตัว และได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้วทั้งสิ้น ทั้งนี้สำนวนการแปลเป็นถือเป็นลิขสิทธิ์ของเรา ห้ามก๊อบปี้ไปลงเว็บอื่น หรือเอาไปอ่านลง Youtube โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดค่ะ**
มาเริ่มกันเลยจ้า
**************************************
ป้ากับลุงเลี้ยงฉันมา พวกเขาเกลียดฉันเข้าไส้
ตอนฉันอายุ 4 ขวบเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นและมันคร่าชีวิตแม่ของฉัน แถมยังทำเอาร่างกายส่วนบนด้านขวาของฉันเสียทรงผิดรูป หน้าของฉันบิดเบี้ยวและนิ้วมือหงิกงอเหมือนกิ่งไม้แห้งๆ หัวไหล่ฉันเต็มไปด้วยแผลเป็นและหนังตาย
สิ่งเดียวที่ดีเกี่ยวกับฉันคือเส้นผม ผมของฉันเงางามเอามากๆ ไม่ว่าจะใช้แชมพูแย่ขนาดไหนก็ตาม
ป้าฉันจะหวีผมให้ฉันทุกวันไม่มีวันหยุด ไม่ใช่เพราะแกแคร์อะไรฉัน แต่แกบอกว่าสำหรับฉันแล้ว ผมเป็นสิ่งเดียวที่ดูดีและฉันจะต้องพยายามดูแลมันให้ดีที่สุด
แกจะมาหวีผมให้ทุกคืนก่อนนอนด้วยสีหน้าขยะแขยงพยายามเลี่ยงที่จะไม่มองใบหน้าแสนขี้เหร่ของฉัน
"พอมีผู้ชายมาชอบแก รีบโผเข้าหาเขาเลยนะ แกมันขี้เหร่เกินกว่าจะเลือกมาก แถมฉันเองก็ไม่มีตังมากพอจะเลี้ยงดูเด็กขี้เกียจอย่างแกไปได้ตลอดชีวิต" ป้าพูด
ตอนนั้นฉันเพิ่งอายุได้ 6 ขวบ...
ป้าพูดแบบนี้ทุกคืนจนกระทั่งวันหนึ่ง.. สิบปีหลังจากนั้น.. ที่ฉันทำตามที่ป้าแกพร่ำบอก
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ฉันต้องทนทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของครอบครัวเดียวที่ฉันมี นั่นคือป้าฉันซึ่งก็คือน้องสาวของแม่ และไอ้ผัวตัวดีของแก
ลุงจะมาปลุกฉันกลางดึกใช้ให้ฉันทำกับข้าวให้แกกิน หรือไม่ก็ทำความสะอาดนู่นนี่แล้วแต่แกจะสั่ง พอฉันตกใจกลัวเพราะถูกปลุกกลางดึก แกจะหัวเราะเยาะ
"กูแค่หิว ไม่ได้จะทำอะไรหรอก หน้าแบบนี้ใครจะไปเอาลงวะ ถ้ามีใครเอาลงก็โชคดีมากแล้วล่ะ!"
ฉันร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจพลางเตรียมอาหารให้ลุง มือบิดเบี้ยวเอาแต่จะทำช้อนส้อมหลุดมือหลายต่อหลายครั้ง
พอต้องออกจากบ้าน ป้าฉันจะบังคับให้ฉันใช้รองพื้นหนาเตอะเพื่อบดบังรอยแผลบนใบหน้าบิดเบี้ยวของฉัน แต่ฉันต้องเดินไปโรงเรียนท่ามกลางแสงแดดแผดเผา กว่าจะไปถึงห้องเรียนรองพื้นก็ละลายเละเทะเหนียวเหนอะไปหมด
ตอนแรกฉันไม่ได้เกลียดลุงกับป้าหรอกนะ เพราะฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีคุณค่ามากพอที่จะมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนคนอื่น
พอเข้าช่วงวัยรุ่น ปรากฎว่ารูปร่างฉันเว้าโค้งเซ็กซี่ นั่นทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
พวกผู้ชายที่เห็นรูปร่างเซ็กซี่และผมเงางามจากด้านหลังมักจะชอบใจ ออกปากแซวและเดินเข้าหา แต่พอฉันหันไปมองและพอพวกเขาได้เห็นว่าฉันหน้าตาบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยแผลเป็น พวกเขาสบถด่าว่าฉันเสียๆ หายๆ บางครั้งพูดว่าฉันเป็นตัวประหลาดที่ควรจะตายๆ ไปเสีย เสร็จแล้วก็ชกหน้าฉัน
เด็กผู้ชายที่โรงเรียนก็พูดล้อเลียนเรื่องจะมีเซ็กซ์กับฉันในที่มืดโดยเอาผ้าขี้ริ้วมาปิดหน้าฉันไว้ หรือไม่ก็ว่าจะกรีดคอฆ่าฉันเสีย
ฉันไม่เคยคิดฆ่าตัวตายด้วย เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองมีค่าพอจะคิดแบบนั้น ฉันแค่ร้องไห้ตอนอยากร้องไห้ เหมือนตอนฉันไปเข้าห้องน้ำตอนรู้สึกอยากฉี่หรืออึ
แต่โดยไม่รู้ตัว ฉันเริ่มเกลียดป้าที่เมื่อก่อนก็ยากจนเหมือนกันกับแม่ฉัน แต่ตอนนี้โชคดีได้แต่งงานกับไอ้ชั่วที่หาเงินได้มากพอที่ป้าจำเป็นจะต้องทำงาน ฉันเกลียดที่แกมีใบหน้าอ่อนเยาว์สวยงามไร้ร่องรอย ทั้งๆ ที่จิตใจหยาบกระด้างชั่วช้า
ฉันเกลียดที่ป้ารูปร่างเล็กมากพอที่จะไม่เคยต้องถูกแซวเรื่องมีร่างกายเว้าโค้ง ฉันเกลียดที่ผัวของแกพูดเล่นเรื่องจะเอาฉันทำเมีย
ฉันเกลียดที่ป้ากับลุงบังคับให้ฉันย้ายไปอยู่ในเต้นท์หลังบ้านเพราะป้าตั้งท้องและอยากใช้ห้องนอนฉันเป็นห้องเก็บของสำหรับลูกที่ยังไม่เกิดของแก ตอนนั้นฉันอายุแค่ 14 และถูกเตะออกจากบ้านเหมือนหมาป่วย ฉันต้องอาบน้ำนอกบ้านและใช้ชีวิตยากลำบาก แต่ป้ายังมาหวีผมให้ฉันทุกคืนไม่ขาดเพราะอยากจะกำจัดฉันให้พ้นๆ ไปเสียที
และวันหนึ่งที่ฉันคิดจะฆ่าตัวตาย ฉันได้พบอัลแตร์ มอร์ติเมอร์ ฉันเพิ่งลาออกจากโรงเรีบนและเดินเร่ร่อนอยู่ในเมืองอยู่สามวันเต็มๆ เนื้อตัวฉันเหม็นสาปและต้องขอเศษอาหารกินจากคนแปลกหน้าที่เดินผ่านไปมา ไม่ก็คุ้ยหาอาหารจากถังขยะ นั่นเป็นตอนที่เขาปรากฎตัว
ฉันมารู้ทีหลังว่าชื่อจริงของเขาคือ เรจินัล บริกซ์ แต่ชื่อปลอมที่เขาตั้งให้ตัวเองตอนนั้นก็เหมาะกับเขาดี เขาเป็นสุภาพบุรุษและคุยสนุก บอกฉันว่าผมของฉันสวยและเขาจะจ่ายค่าอาหารให้ แม้ว่าฉันจะอยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่ต่างไปจากผ้าขี้ริ้วก็ตาม
พวกเราคุยกันอยู่หลายชั่วโมงและเขาไม่เคยละสายตาไปจากใบหน้าขี้ริ้วขี้เหร่ของฉันเลย จากนั้นเขายื่นมือมาทางฉัน "เธอดูไม่มีความสุข มาอยู่กับฉันเถอะนะ"
และฉันตอบตกลง
***
อัลแตร์มีเสน่ห์และทำอาหารอร่อย บ้านของเขาอยู่ถัดออกไปจากเมืองนี้และเขาขับกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี บ้านหลังใหญ่สะอาดสะอ้าน อาจจะไม่หรูหามากมายแต่ก็ดูมีเสน่ห์แบบโบราณ
มีผู้หญิงอีก 4 คนอยู่ที่นี่ด้วย ทุกคนสวยงามแตกต่างกันไป มีแต่ฉันคนเดียวที่ขี้เหร่และอายุน้อยที่สุด อัลแตร์อายุ 32 ปี และสาวๆ ที่นั่นอายุประมาณ 18 ถึง 26 ปี คุณอาจจะคิดว่าบ้านหลายเมียแบบนี้คงปวดหัวน่าดู แต่ไม่เลย พวกเราไม่แคร์อะไรมากมาย เพราะทุกคนถูกถึงออกมาจากกองขยะเหมือนกันกับฉัน
พวกเรานั่งกินข้าวด้วยกันที่โต๊ะอาหาร นั่นเป็นการกินข้าวบนโต๊ะอาหารร่วมกับคนอื่นครั้งแรกในชีวิตของฉัน
"ฉันอยากให้พวกเธอปฏิบัติกับลิซ่าอย่างดี" อัลแตร์พูดน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ก็เต็มไปด้วยพลังอำนาจ
ความจริงก็คือทุกคนในบ้านอาศัยอยู่เป็นนางบำเรอของอัลแตร์ ใช้เวลาทั้งวันรอบตัวเขา..
พวกเราไม่จำเป็นต้องทำงานอะไร แต่ก็มีเงินและมีอาหารตลอด เราใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการดูแลเอาใจใส่อัลแตร์สามีของเรา ดูแลบ้านและพอว่างก็ใช้เวลาไปกับงานอดิเรก
อัลแตร์ช่างแสนดีนัก สาวๆ คนอื่นในบ้านมักจะเลี่ยงฉัน แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร และนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน พวกเขาให้งานบ้านที่คนอื่นไม่อยากทำกับฉัน แต่ฉันไม่สน ตอนนี้ฉันมีห้องเป็นของตัวเองและมีชีวิตที่สงบสุข มันมากกว่าที่ฉันควรค่าจะได้รับเสียอีก
ฉันไม่รู้ว่ารักอัลแตร์หรือเปล่า แต่ฉันชอบใช้เวลาอยู่กับเขา และเต็มใจทำทุกอย่างที่เขาขอให้ทำ เสน่ห์ของเขามากล้นและทุกอย่างเกี่ยวกับเขาช่างน่าค้นหา
ตอนนั้นฉันไม่คิดว่ามันแปลกอะไรที่ฉันต้องเช็ดคราบเลือดออกจากผนังห้องหลังจากเขาจัดงานปาร์ตี้เมื่อคืน ฉันไม่ได้โต้แย้งตอนพยายามจะเปิดประตูห้องๆ หนึ่งซึ่งล็อกอยู่และอัลแตร์บอกฉันว่าไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดห้องนั้นเลยขณะฉันเห็นมีเม็ดเหงื่อผุดที่หน้าผากเขา
และฉันไม่ไดคิดว่ามันแปลกตอนเขาขอเป็นนักบำบัดให้ฉัน ขอให้ฉันเล่าเรื่องราวชีวิตทั้งหมดให้เขาฟัง และเขาจะช่วยให้ฉันได้เข้าใจถึงวิธีการที่จะเอาชนะทุกอย่างที่ฉันได้ประสบมา
ฉันเริ่มคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้และทำตามกฎทุกข้อที่เขาบอก ฉันเริ่มไปร่วมงานปาร์ตี้ที่เขาจัดแทนที่จะหลบอยู่ในห้องเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งบางครั้ง ฉันจะนอนกับใครก็ได้ ทั้งผู้หญิงผู้ชายต่างพาฉันไปที่มุมมืด แต่พวกเขาดีกับฉัน ฉันเลยโอเคกับไอเดียที่ว่าไม่มีใครอยากเห็นหน้าฉันตอนทำเรื่องอย่างว่า
นอกจากอัลแตร์แล้ว ไม่เคยมีใครมองตาฉันตรงๆ เลย ทั้งตอนนอนด้วยกัน และในเวลาอื่น
การบำบัดของเราดำเนินไปทุกวัน ฉันสังเกตเห็นว่าไม่มีเมียคนไหนของเขาใช้เวลากับเขามากเท่ากับฉัน
ไม่นานหลังจากนั้น ฉันรวบรวมความกล้าและถามเขาถึงสิ่งที่อยากรู้มานาน
"ทำไมคุณถึงพาฉันมาที่นี่คะ?"
"เพราะเธอไม่มีความสุขน่ะสิ" เขาตอบ
"แต่ฉันมันตัวประหลาดที่ไม่มีประโยชน์อะไร"
"นั่นไม่จริงเลยลิซ่า เธออาจจะดูไม่เหมือนกับภาพที่ทุกคนคิดว่าสวย แต่ฉันเห็นบางอย่างในตัวเธอ"
ฉันเริ่มใช้เวลาว่างทั้งหมดในห้องสมุด ฉันเลิกเรียนเพราะทนไม่ได้กับเรื่องแย่ๆ ที่ต้องเผชิญทุกวัน แต่ก็อยากเรียนรู้เรื่องต่างๆ หลายสัปดาห์ต่อมา ตอนใกล้วันเกิดปีที่ 18 ของฉัน ฉันได้พบคัมภีร์ทำมือเล่มหนึ่ง
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ความเกลียดชังทั้งหมดที่ฉันรู้สึกต่อทุกคนที่เคยทำร้ายฉันปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟ การเปิดหนังสือเล่มนั้นเป็นเหมือนการเปิดจิตวิญญาณของฉันเอง ปลดปล่อยความเจ็บปวดและความโกรธที่มีอยู่ทั้งหมด ในที่สุดฉันก็รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์และมีความรู้สึก...
ฉันสแกนหนังสือด้วยตาและเข้าใจเนื้อหาด้วยจิตใจ แม้แต่ส่วนที่เป็นภาษาละติน มันเหมือนกับว่าฉันกำลังดูดซับคัมภีร์และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
พออ่านจบ ฉันรีบวาดรูปเดียวกันกับในหนังสือด้วยความตื่นเต้น
มือผิดรูปของฉันไม่ได้ทำให้การวาดยากลำบากแม้แต่น้อย ไม่มีอะไรมาขวางทางฉันได้ในตอนนั้น ฉันรู้สึกถึงพลังที่พลุ่งพล่านในตัว สรรสร้างขึ้นจากความรู้สึกที่มืดมนที่สุด
จากนั้นฉันล้มตัวลงนอนในวงกลมแสนสมบูรณ์แบบที่ฉันวาดขึ้นแล้วหลับตานอนอย่างเป็นสุข
ฉันรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปไม่นานแต่พอรู้สึกตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว ฉันลุกขึ้นพลางมองมือตัวเอง
มือฉันไม่เพียงดูธรรมดาเท่านั้นแต่ยังงดงามอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
ฉันงุนงงราวถูกสะกดจิตอยู่พักใหญ่กับความจริงที่ว่าร่างกายของฉันหายเป็นปลิดทิ้งจากร่อยรอยถูกเผาไหม้ จนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจหอบๆ แปลกๆ ข้างหลัง มันฟังดูเหมือนตัวอะไรบางอย่างเพิ่งมีปอดและพยายามอย่างที่สุดที่จะใช้มันหายใจ
ไม่ได้มีฉันคนเดียวในห้อง..
บางอย่างแปลกพิลึกพิลั่นจนทำให้สมองฉันหยุดทำงาน ฉันพยายามสุดกำลังที่จะเข้าใจว่ากำลังมองอะไรอยู่ มันคือสิ่งมีชีวิตที่ฉันอัญเชิญมา..
มันสูงเกือบสี่เมตร หัวเป็นตั๊กแตนขนาดมหึมา คอของมันเป็นขาของผู้หญิงที่มีรองเท้าส้นเข็มสีแดงสดที่ส่วนปลาย มันทั้งยาวทั้งน่าขัน แต่เป็นความตลกที่ผิดแปลกวิปลาสที่ทำให้ฉันหวาดกลัวสุดชีวิต
ร่างของมันคล้ายมนุษย์แต่ทำจากหู ตา และมือหลายสิบชิ้นที่เต้นเป็นจังหวะและเคลื่อนไหวกระเพื่อมขึ้นลง
นอกจากขาสองข้างแล้ว ยังมีปล้องขายาวสีเขียวอีกสองอันข้างหลังพร้อมปีกบางยาวโปร่งแสงเหมือนปีกแมลงปอแต่ใหญ่กว่าหลายร้อยเท่า เส้นสายแบบบางบนปีกสะท้อนสีรุ้งงดงามน่าขนลุก! มันเป็นสิ่งเดียวที่สวยงามเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดตนนี้
ใบหน้าคล้ายแมลงของมันเผยอแสยะยิ้มจากนั้นเริ่มพูด เสียงของมันอื้ออึงเหมือนเสียงสะท้อนในหู
"มองกระจกสิ ตราบเท่าที่เจ้าทำลายล้างทุกอย่างบนโลกนี้ ข้าจะให้พลังอำนาจกับเจ้า"
พอฉันหันไปทางกระจกปีศาจก็หายวับไป ฉันมองดูตัวเองในกระจกอย่างสนอกสนใจ
ใบหน้าของฉันสวยสดงดงามอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน รูปหน้าสมบูรณ์แบบ ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ขนตางอนยาว รูปร่างโค้งเว้าชวนถวิลหา
หลังจากจ้องมองความสวยสดตรงหน้าอยู่พักใหญ่ ฉันนึกขึ้นมาได้ถึงความโกรธขึ้งที่รู้สึกตอนทำพิธีเมื่อครู่โดยไม่รู้ตัว พอไฟแห่งความโกรธากลับมา นิ้วมือของฉันถูกแทนที่ด้วยด้วยมีดดาบคมกรีบพร้อมจู่โจม สิบนิ้ว.. สิบมีดดาบ..
***
การสังหารหมู่เกิดขึ้นในเมืองหลังจากนั้น..
ฉันไปที่โรงเรียนฉันเป็นที่แรก ฉันแทงนักเรียนและครูทุกคนด้วยมือเปล่า จากนั้นจุดไฟเผาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครรอดชีวิต หลังจากเสร็จธุระที่นั่น ฉันเดินจากโรงเรียนไปบ้านป้ากับลุงอย่างใจเย็นและหั่นผู้ชายทุกคนที่กล้าแซวฉันระหว่างทางเป็นชิ้นๆ
พอไปถึงบ้านป้า ฉันแล่ลูกน้อยของป้าเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าป้ากับลุง จากนั้นฉันลากพวกเขาสองคนข้ามถนนเพื่อทรมานพวกเขาช้าๆ และขังพวกเขาไว้ในห้องใต้ดินบ้านอัลแตร์ แล้วค่อยจัดการทีหลัง
จากนั้นฉันแทงพลเมืองทุกคนอย่างไม่คิดอะไรโดยเฉพาะกับคนที่ฉันจำได้ว่าใจร้ายกับฉันสมัยก่อน ฉันไม่เคยลืม ฉันไว้ชีวิตตำรวจคนหนึ่งเพราะเขาเคยใจดีกับฉัน แต่เห็นได้ชัดว่าเขาดันเอาเรื่องที่ฉันทำไปบอกเจ้าหน้าที่
ภาครัฐต้องเข้าตรวจสถานที่และลบออกเมืองทั้งเมืองออกจากแผนที่ แต่ก็นั่นแหละ เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักอยู่แล้ว
การคร่าชีวิตคน...
ถ้าฉันสวยจะไม่มีอะไรเอาชนะฉันได้ (เรื่องแปล)
ถ้าอ่านแล้วชอบ สามารถตามไปอ่านตอนอื่นๆ ได้นะคะ ^^
**ปล. ก่อนแปลทุกครั้ง เราได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องเป็นการส่วนตัว และได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้วทั้งสิ้น ทั้งนี้สำนวนการแปลเป็นถือเป็นลิขสิทธิ์ของเรา ห้ามก๊อบปี้ไปลงเว็บอื่น หรือเอาไปอ่านลง Youtube โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดค่ะ**
มาเริ่มกันเลยจ้า
**************************************
ป้ากับลุงเลี้ยงฉันมา พวกเขาเกลียดฉันเข้าไส้
ตอนฉันอายุ 4 ขวบเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นและมันคร่าชีวิตแม่ของฉัน แถมยังทำเอาร่างกายส่วนบนด้านขวาของฉันเสียทรงผิดรูป หน้าของฉันบิดเบี้ยวและนิ้วมือหงิกงอเหมือนกิ่งไม้แห้งๆ หัวไหล่ฉันเต็มไปด้วยแผลเป็นและหนังตาย
สิ่งเดียวที่ดีเกี่ยวกับฉันคือเส้นผม ผมของฉันเงางามเอามากๆ ไม่ว่าจะใช้แชมพูแย่ขนาดไหนก็ตาม
ป้าฉันจะหวีผมให้ฉันทุกวันไม่มีวันหยุด ไม่ใช่เพราะแกแคร์อะไรฉัน แต่แกบอกว่าสำหรับฉันแล้ว ผมเป็นสิ่งเดียวที่ดูดีและฉันจะต้องพยายามดูแลมันให้ดีที่สุด
แกจะมาหวีผมให้ทุกคืนก่อนนอนด้วยสีหน้าขยะแขยงพยายามเลี่ยงที่จะไม่มองใบหน้าแสนขี้เหร่ของฉัน
"พอมีผู้ชายมาชอบแก รีบโผเข้าหาเขาเลยนะ แกมันขี้เหร่เกินกว่าจะเลือกมาก แถมฉันเองก็ไม่มีตังมากพอจะเลี้ยงดูเด็กขี้เกียจอย่างแกไปได้ตลอดชีวิต" ป้าพูด
ตอนนั้นฉันเพิ่งอายุได้ 6 ขวบ...
ป้าพูดแบบนี้ทุกคืนจนกระทั่งวันหนึ่ง.. สิบปีหลังจากนั้น.. ที่ฉันทำตามที่ป้าแกพร่ำบอก
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ฉันต้องทนทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของครอบครัวเดียวที่ฉันมี นั่นคือป้าฉันซึ่งก็คือน้องสาวของแม่ และไอ้ผัวตัวดีของแก
ลุงจะมาปลุกฉันกลางดึกใช้ให้ฉันทำกับข้าวให้แกกิน หรือไม่ก็ทำความสะอาดนู่นนี่แล้วแต่แกจะสั่ง พอฉันตกใจกลัวเพราะถูกปลุกกลางดึก แกจะหัวเราะเยาะ
"กูแค่หิว ไม่ได้จะทำอะไรหรอก หน้าแบบนี้ใครจะไปเอาลงวะ ถ้ามีใครเอาลงก็โชคดีมากแล้วล่ะ!"
ฉันร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจพลางเตรียมอาหารให้ลุง มือบิดเบี้ยวเอาแต่จะทำช้อนส้อมหลุดมือหลายต่อหลายครั้ง
พอต้องออกจากบ้าน ป้าฉันจะบังคับให้ฉันใช้รองพื้นหนาเตอะเพื่อบดบังรอยแผลบนใบหน้าบิดเบี้ยวของฉัน แต่ฉันต้องเดินไปโรงเรียนท่ามกลางแสงแดดแผดเผา กว่าจะไปถึงห้องเรียนรองพื้นก็ละลายเละเทะเหนียวเหนอะไปหมด
ตอนแรกฉันไม่ได้เกลียดลุงกับป้าหรอกนะ เพราะฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีคุณค่ามากพอที่จะมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนคนอื่น
พอเข้าช่วงวัยรุ่น ปรากฎว่ารูปร่างฉันเว้าโค้งเซ็กซี่ นั่นทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
พวกผู้ชายที่เห็นรูปร่างเซ็กซี่และผมเงางามจากด้านหลังมักจะชอบใจ ออกปากแซวและเดินเข้าหา แต่พอฉันหันไปมองและพอพวกเขาได้เห็นว่าฉันหน้าตาบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยแผลเป็น พวกเขาสบถด่าว่าฉันเสียๆ หายๆ บางครั้งพูดว่าฉันเป็นตัวประหลาดที่ควรจะตายๆ ไปเสีย เสร็จแล้วก็ชกหน้าฉัน
เด็กผู้ชายที่โรงเรียนก็พูดล้อเลียนเรื่องจะมีเซ็กซ์กับฉันในที่มืดโดยเอาผ้าขี้ริ้วมาปิดหน้าฉันไว้ หรือไม่ก็ว่าจะกรีดคอฆ่าฉันเสีย
ฉันไม่เคยคิดฆ่าตัวตายด้วย เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองมีค่าพอจะคิดแบบนั้น ฉันแค่ร้องไห้ตอนอยากร้องไห้ เหมือนตอนฉันไปเข้าห้องน้ำตอนรู้สึกอยากฉี่หรืออึ
แต่โดยไม่รู้ตัว ฉันเริ่มเกลียดป้าที่เมื่อก่อนก็ยากจนเหมือนกันกับแม่ฉัน แต่ตอนนี้โชคดีได้แต่งงานกับไอ้ชั่วที่หาเงินได้มากพอที่ป้าจำเป็นจะต้องทำงาน ฉันเกลียดที่แกมีใบหน้าอ่อนเยาว์สวยงามไร้ร่องรอย ทั้งๆ ที่จิตใจหยาบกระด้างชั่วช้า
ฉันเกลียดที่ป้ารูปร่างเล็กมากพอที่จะไม่เคยต้องถูกแซวเรื่องมีร่างกายเว้าโค้ง ฉันเกลียดที่ผัวของแกพูดเล่นเรื่องจะเอาฉันทำเมีย
ฉันเกลียดที่ป้ากับลุงบังคับให้ฉันย้ายไปอยู่ในเต้นท์หลังบ้านเพราะป้าตั้งท้องและอยากใช้ห้องนอนฉันเป็นห้องเก็บของสำหรับลูกที่ยังไม่เกิดของแก ตอนนั้นฉันอายุแค่ 14 และถูกเตะออกจากบ้านเหมือนหมาป่วย ฉันต้องอาบน้ำนอกบ้านและใช้ชีวิตยากลำบาก แต่ป้ายังมาหวีผมให้ฉันทุกคืนไม่ขาดเพราะอยากจะกำจัดฉันให้พ้นๆ ไปเสียที
และวันหนึ่งที่ฉันคิดจะฆ่าตัวตาย ฉันได้พบอัลแตร์ มอร์ติเมอร์ ฉันเพิ่งลาออกจากโรงเรีบนและเดินเร่ร่อนอยู่ในเมืองอยู่สามวันเต็มๆ เนื้อตัวฉันเหม็นสาปและต้องขอเศษอาหารกินจากคนแปลกหน้าที่เดินผ่านไปมา ไม่ก็คุ้ยหาอาหารจากถังขยะ นั่นเป็นตอนที่เขาปรากฎตัว
ฉันมารู้ทีหลังว่าชื่อจริงของเขาคือ เรจินัล บริกซ์ แต่ชื่อปลอมที่เขาตั้งให้ตัวเองตอนนั้นก็เหมาะกับเขาดี เขาเป็นสุภาพบุรุษและคุยสนุก บอกฉันว่าผมของฉันสวยและเขาจะจ่ายค่าอาหารให้ แม้ว่าฉันจะอยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่ต่างไปจากผ้าขี้ริ้วก็ตาม
พวกเราคุยกันอยู่หลายชั่วโมงและเขาไม่เคยละสายตาไปจากใบหน้าขี้ริ้วขี้เหร่ของฉันเลย จากนั้นเขายื่นมือมาทางฉัน "เธอดูไม่มีความสุข มาอยู่กับฉันเถอะนะ"
และฉันตอบตกลง
***
อัลแตร์มีเสน่ห์และทำอาหารอร่อย บ้านของเขาอยู่ถัดออกไปจากเมืองนี้และเขาขับกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี บ้านหลังใหญ่สะอาดสะอ้าน อาจจะไม่หรูหามากมายแต่ก็ดูมีเสน่ห์แบบโบราณ
มีผู้หญิงอีก 4 คนอยู่ที่นี่ด้วย ทุกคนสวยงามแตกต่างกันไป มีแต่ฉันคนเดียวที่ขี้เหร่และอายุน้อยที่สุด อัลแตร์อายุ 32 ปี และสาวๆ ที่นั่นอายุประมาณ 18 ถึง 26 ปี คุณอาจจะคิดว่าบ้านหลายเมียแบบนี้คงปวดหัวน่าดู แต่ไม่เลย พวกเราไม่แคร์อะไรมากมาย เพราะทุกคนถูกถึงออกมาจากกองขยะเหมือนกันกับฉัน
พวกเรานั่งกินข้าวด้วยกันที่โต๊ะอาหาร นั่นเป็นการกินข้าวบนโต๊ะอาหารร่วมกับคนอื่นครั้งแรกในชีวิตของฉัน
"ฉันอยากให้พวกเธอปฏิบัติกับลิซ่าอย่างดี" อัลแตร์พูดน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ก็เต็มไปด้วยพลังอำนาจ
ความจริงก็คือทุกคนในบ้านอาศัยอยู่เป็นนางบำเรอของอัลแตร์ ใช้เวลาทั้งวันรอบตัวเขา..
พวกเราไม่จำเป็นต้องทำงานอะไร แต่ก็มีเงินและมีอาหารตลอด เราใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการดูแลเอาใจใส่อัลแตร์สามีของเรา ดูแลบ้านและพอว่างก็ใช้เวลาไปกับงานอดิเรก
อัลแตร์ช่างแสนดีนัก สาวๆ คนอื่นในบ้านมักจะเลี่ยงฉัน แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร และนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน พวกเขาให้งานบ้านที่คนอื่นไม่อยากทำกับฉัน แต่ฉันไม่สน ตอนนี้ฉันมีห้องเป็นของตัวเองและมีชีวิตที่สงบสุข มันมากกว่าที่ฉันควรค่าจะได้รับเสียอีก
ฉันไม่รู้ว่ารักอัลแตร์หรือเปล่า แต่ฉันชอบใช้เวลาอยู่กับเขา และเต็มใจทำทุกอย่างที่เขาขอให้ทำ เสน่ห์ของเขามากล้นและทุกอย่างเกี่ยวกับเขาช่างน่าค้นหา
ตอนนั้นฉันไม่คิดว่ามันแปลกอะไรที่ฉันต้องเช็ดคราบเลือดออกจากผนังห้องหลังจากเขาจัดงานปาร์ตี้เมื่อคืน ฉันไม่ได้โต้แย้งตอนพยายามจะเปิดประตูห้องๆ หนึ่งซึ่งล็อกอยู่และอัลแตร์บอกฉันว่าไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดห้องนั้นเลยขณะฉันเห็นมีเม็ดเหงื่อผุดที่หน้าผากเขา
และฉันไม่ไดคิดว่ามันแปลกตอนเขาขอเป็นนักบำบัดให้ฉัน ขอให้ฉันเล่าเรื่องราวชีวิตทั้งหมดให้เขาฟัง และเขาจะช่วยให้ฉันได้เข้าใจถึงวิธีการที่จะเอาชนะทุกอย่างที่ฉันได้ประสบมา
ฉันเริ่มคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้และทำตามกฎทุกข้อที่เขาบอก ฉันเริ่มไปร่วมงานปาร์ตี้ที่เขาจัดแทนที่จะหลบอยู่ในห้องเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งบางครั้ง ฉันจะนอนกับใครก็ได้ ทั้งผู้หญิงผู้ชายต่างพาฉันไปที่มุมมืด แต่พวกเขาดีกับฉัน ฉันเลยโอเคกับไอเดียที่ว่าไม่มีใครอยากเห็นหน้าฉันตอนทำเรื่องอย่างว่า
นอกจากอัลแตร์แล้ว ไม่เคยมีใครมองตาฉันตรงๆ เลย ทั้งตอนนอนด้วยกัน และในเวลาอื่น
การบำบัดของเราดำเนินไปทุกวัน ฉันสังเกตเห็นว่าไม่มีเมียคนไหนของเขาใช้เวลากับเขามากเท่ากับฉัน
ไม่นานหลังจากนั้น ฉันรวบรวมความกล้าและถามเขาถึงสิ่งที่อยากรู้มานาน
"ทำไมคุณถึงพาฉันมาที่นี่คะ?"
"เพราะเธอไม่มีความสุขน่ะสิ" เขาตอบ
"แต่ฉันมันตัวประหลาดที่ไม่มีประโยชน์อะไร"
"นั่นไม่จริงเลยลิซ่า เธออาจจะดูไม่เหมือนกับภาพที่ทุกคนคิดว่าสวย แต่ฉันเห็นบางอย่างในตัวเธอ"
ฉันเริ่มใช้เวลาว่างทั้งหมดในห้องสมุด ฉันเลิกเรียนเพราะทนไม่ได้กับเรื่องแย่ๆ ที่ต้องเผชิญทุกวัน แต่ก็อยากเรียนรู้เรื่องต่างๆ หลายสัปดาห์ต่อมา ตอนใกล้วันเกิดปีที่ 18 ของฉัน ฉันได้พบคัมภีร์ทำมือเล่มหนึ่ง
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ความเกลียดชังทั้งหมดที่ฉันรู้สึกต่อทุกคนที่เคยทำร้ายฉันปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟ การเปิดหนังสือเล่มนั้นเป็นเหมือนการเปิดจิตวิญญาณของฉันเอง ปลดปล่อยความเจ็บปวดและความโกรธที่มีอยู่ทั้งหมด ในที่สุดฉันก็รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์และมีความรู้สึก...
ฉันสแกนหนังสือด้วยตาและเข้าใจเนื้อหาด้วยจิตใจ แม้แต่ส่วนที่เป็นภาษาละติน มันเหมือนกับว่าฉันกำลังดูดซับคัมภีร์และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
พออ่านจบ ฉันรีบวาดรูปเดียวกันกับในหนังสือด้วยความตื่นเต้น
มือผิดรูปของฉันไม่ได้ทำให้การวาดยากลำบากแม้แต่น้อย ไม่มีอะไรมาขวางทางฉันได้ในตอนนั้น ฉันรู้สึกถึงพลังที่พลุ่งพล่านในตัว สรรสร้างขึ้นจากความรู้สึกที่มืดมนที่สุด
จากนั้นฉันล้มตัวลงนอนในวงกลมแสนสมบูรณ์แบบที่ฉันวาดขึ้นแล้วหลับตานอนอย่างเป็นสุข
ฉันรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปไม่นานแต่พอรู้สึกตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว ฉันลุกขึ้นพลางมองมือตัวเอง
มือฉันไม่เพียงดูธรรมดาเท่านั้นแต่ยังงดงามอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
ฉันงุนงงราวถูกสะกดจิตอยู่พักใหญ่กับความจริงที่ว่าร่างกายของฉันหายเป็นปลิดทิ้งจากร่อยรอยถูกเผาไหม้ จนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจหอบๆ แปลกๆ ข้างหลัง มันฟังดูเหมือนตัวอะไรบางอย่างเพิ่งมีปอดและพยายามอย่างที่สุดที่จะใช้มันหายใจ
ไม่ได้มีฉันคนเดียวในห้อง..
บางอย่างแปลกพิลึกพิลั่นจนทำให้สมองฉันหยุดทำงาน ฉันพยายามสุดกำลังที่จะเข้าใจว่ากำลังมองอะไรอยู่ มันคือสิ่งมีชีวิตที่ฉันอัญเชิญมา..
มันสูงเกือบสี่เมตร หัวเป็นตั๊กแตนขนาดมหึมา คอของมันเป็นขาของผู้หญิงที่มีรองเท้าส้นเข็มสีแดงสดที่ส่วนปลาย มันทั้งยาวทั้งน่าขัน แต่เป็นความตลกที่ผิดแปลกวิปลาสที่ทำให้ฉันหวาดกลัวสุดชีวิต
ร่างของมันคล้ายมนุษย์แต่ทำจากหู ตา และมือหลายสิบชิ้นที่เต้นเป็นจังหวะและเคลื่อนไหวกระเพื่อมขึ้นลง
นอกจากขาสองข้างแล้ว ยังมีปล้องขายาวสีเขียวอีกสองอันข้างหลังพร้อมปีกบางยาวโปร่งแสงเหมือนปีกแมลงปอแต่ใหญ่กว่าหลายร้อยเท่า เส้นสายแบบบางบนปีกสะท้อนสีรุ้งงดงามน่าขนลุก! มันเป็นสิ่งเดียวที่สวยงามเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดตนนี้
ใบหน้าคล้ายแมลงของมันเผยอแสยะยิ้มจากนั้นเริ่มพูด เสียงของมันอื้ออึงเหมือนเสียงสะท้อนในหู
"มองกระจกสิ ตราบเท่าที่เจ้าทำลายล้างทุกอย่างบนโลกนี้ ข้าจะให้พลังอำนาจกับเจ้า"
พอฉันหันไปทางกระจกปีศาจก็หายวับไป ฉันมองดูตัวเองในกระจกอย่างสนอกสนใจ
ใบหน้าของฉันสวยสดงดงามอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน รูปหน้าสมบูรณ์แบบ ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ขนตางอนยาว รูปร่างโค้งเว้าชวนถวิลหา
หลังจากจ้องมองความสวยสดตรงหน้าอยู่พักใหญ่ ฉันนึกขึ้นมาได้ถึงความโกรธขึ้งที่รู้สึกตอนทำพิธีเมื่อครู่โดยไม่รู้ตัว พอไฟแห่งความโกรธากลับมา นิ้วมือของฉันถูกแทนที่ด้วยด้วยมีดดาบคมกรีบพร้อมจู่โจม สิบนิ้ว.. สิบมีดดาบ..
***
การสังหารหมู่เกิดขึ้นในเมืองหลังจากนั้น..
ฉันไปที่โรงเรียนฉันเป็นที่แรก ฉันแทงนักเรียนและครูทุกคนด้วยมือเปล่า จากนั้นจุดไฟเผาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครรอดชีวิต หลังจากเสร็จธุระที่นั่น ฉันเดินจากโรงเรียนไปบ้านป้ากับลุงอย่างใจเย็นและหั่นผู้ชายทุกคนที่กล้าแซวฉันระหว่างทางเป็นชิ้นๆ
พอไปถึงบ้านป้า ฉันแล่ลูกน้อยของป้าเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าป้ากับลุง จากนั้นฉันลากพวกเขาสองคนข้ามถนนเพื่อทรมานพวกเขาช้าๆ และขังพวกเขาไว้ในห้องใต้ดินบ้านอัลแตร์ แล้วค่อยจัดการทีหลัง
จากนั้นฉันแทงพลเมืองทุกคนอย่างไม่คิดอะไรโดยเฉพาะกับคนที่ฉันจำได้ว่าใจร้ายกับฉันสมัยก่อน ฉันไม่เคยลืม ฉันไว้ชีวิตตำรวจคนหนึ่งเพราะเขาเคยใจดีกับฉัน แต่เห็นได้ชัดว่าเขาดันเอาเรื่องที่ฉันทำไปบอกเจ้าหน้าที่
ภาครัฐต้องเข้าตรวจสถานที่และลบออกเมืองทั้งเมืองออกจากแผนที่ แต่ก็นั่นแหละ เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักอยู่แล้ว
การคร่าชีวิตคน...