JJNY : 5in1 หนุ่มไม่อยากเกณฑ์ทหาร ก่อนพบเป็นศพ│ถ้าพท.เป็นรบ.│'พิธา'รับไม่ได้พปชร.│ฝุ่นควัน คร่าชีวิต│‘หมอแล็บ’เตือนระวัง

หนุ่มวัย 21 บอกพ่อ ไม่อยากเกณฑ์ทหาร ก่อนพบเป็นศพที่ทุ่งนาหลังบ้าน 
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7592560
 
 
หนุ่มวัย 21 บอกพ่อ ไม่อยากเกณฑ์ทหาร ก่อนพบเป็นศพที่ทุ่งนาหลังบ้าน พ่อแม่ร่ำไห้แทบขาดใจ เผยมาขอขมาบอกแม่เหมือนเป็นลางก่อนเกิดเหตุ
 
วันที่ 2 เม.ย.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวานนี้ (1 เม.ย.66) ตร.สภ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี รับแจ้งจากผู้ใหญ่บ้านบ้านโคกกลาง หมู่ 5 ต.นาม่วง อ.ประจักษ์ศิลปาคม ว่าพบคนเสียชีวิตที่ทุ่งนา ตรวจสอบพร้อม หน่วยกู้ชีพ อบต.นาม่วง แพทย์เวร รพ.ประจักษ์ศิลปาคม ที่หลังบ้าน ซึ่งเป็นทุ่งนา พบศพ นายณัฐวุฒิ (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืน .38 โดยมีพ่อแม่ ร้องไห้แทบขาดใจที่ต้องสูญเสียลูกชาย
  
สอบถามทราบว่า เช้าวันที่ 1 เม.ย. ลูกชายจะเดินทางไปเกณฑ์ทหาร ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอประจักษ์ศิลปาคม โดยพ่อจะพาไป แต่ลูกชายบอกว่าไม่อยากไปเกณฑ์ทหาร จากนั้นก็เดินมาหลังบ้านที่เกิดเหตุ ได้ยินเสียงปืน 1 นัดจึงรีบวิ่งมาดูลูกชายเสียชีวิตแล้ว
 
ต่อมาวันนี้ (2 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านหลังเกิดเหตุ ที่ตั้งศพนายณัฐวุฒิ ท่ามกลางความเสียใจของญาติๆ โดยจะมีพิธีฌาปนกิจศพในวันพรุ่งนี้ (3 เม.ย.) ขณะที่แม่ร้องไห้เสียใจไม่สะดวกให้สัมภาษณ์เพราะต้องสูญเสียลูกชาย ส่วน นายบรรดิษฐ (สงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี พ่อผู้เสียชีวิต พาไปดูที่เกิดเหตุพบว่าห่างจากบ้านประมาณ 50 เมตร เป็นที่นาหลังบ้าน ข้างๆ คันนามีรอยเลือดและปักธูปเอาไว้จุดที่เกิดเหตุ
 
นายบรรดิฐ เปิดเผยว่า ครอบครัวตนมีลูกชาย 2 คน ลูกชายคนโตทำงานที่ประเทศเกาหลี ส่วนลูกชายคนเล็กผู้เสียชีวิตอยู่กับพ่อกับแม่ วันเกิดเหตุกำลังขับรถพาลูกไปคัดเลือกทหารที่ว่าการอำเภอประจักษ์ฯ คุยกันไปมาลูกบอกว่าไม่อยากไปเกณฑ์ทหาร ตนพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลูกไปแต่ลูกไม่ยอม กระทั่งเขาเดินหลบไปทางหลังบ้านลงทุ่งนา ตนกลับมานั่งคุยกับตาและภรรยาว่าสักพักจะไปตามอีกไม่นานก็เดินกลับไปเกลี้ยกล่อมอีก พอไปถึงก็เห็นลูกชายนอนแน่นิ่งแล้ว โดยพบว่ามีเลือดไหลและอาวุธปืน พอไปถึงเห็นร่างลูกชายแล้วรู้สึกสะอึกพูดอะไรไม่ออก ตอนนั่งอยู่หน้าบ้านไม่ได้ยินเสียงปืน แต่คนที่บริเวณทุ่งนาได้ยิน
 
นายบรรดิฐ กล่าวต่อว่า ผู้ชายคนเล็กมีนิสัยร่าเริงชอบออกไปเล่นกับเพื่อนชอบสนุก เรียนจบชั้นม. 3 จากนั้นก็ออกมาช่วยงานพ่อแม่ เขาเป็นเด็กดี อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้คือวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ลูกชายมาขอขมาแม่ โดยมานั่งยกมือไหว้ เมื่อเห็นลูกมาขอขมาแม่ตอนแรกก็แปลกใจ แต่ไม่คิดว่าลูกชายก่อเหตุดังกล่าว
 
ด้าน นายสุบิน บำรุงภักดี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 บ้านโคกกลางและเป็นลุงของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นหลาน พ่อกับแม่เขาเตรียมตัวพาลูกไปคัดเลือกตามนัด ก่อนถึงเวลานัดหมายพ่อกับแม่เขาโทรศัพท์มาหาบอกให้ตนมาเกลี้ยกล่อมหลานให้หน่อย เพราะไม่อยากไปคัดเลือกทหาร จากนั้นเดินทางมาแต่หลานก็เดินไปหลบหลังบ้าน กระทั่งเวลานัด 07.00 น.จึงถึงเดินทางกลับไปที่ว่าการอำเภอเพื่อช่วยงาน ไม่นานก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าหลานก่อเหตุสลดแล้ว สำหรับสาเหตุในการก่อเหตุของหลานที่หลายคนบอกว่า เป็นเพราะไม่อยากไปเกณฑ์ทหารนั้นทางญาติไม่ขอฟันธง
  


พล.ท.ภราดร ย้ำยกเลิกเกณฑ์ทหารอยู่ที่ผู้นำ ลั่นถ้าพท.เป็นรบ. บอกลา จับใบดำใบแดงได้เลย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3906409

พล.ท.ภราดร ย้ำยกเลิกเกณฑ์ทหารอยู่ที่ผู้นำ ลั่นถ้า พท.เป็น รบ. บอกลาจับใบดำใบแดงได้เลย
 
เมื่อวันที่ 2 เมษายน พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)  กล่าวว่า ราชกิจจานุเบกษา 29 มีนาคม เผยแพร่คำสั่งกระทรวงกลาโหม ที่ 275/2566 เรื่อง การเลื่อนกำหนดเวลาทหารกองประจำการที่สมัครใจรับราชการในกองประจำการต่อเพื่อทดแทนการเรียกเกณฑ์ คำสั่งดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ากฎหมาย คำสั่ง ที่กระทรวงกลาโหมมีอยู่สามารถรับผู้สมัครใจเป็นทหารกองประจำการได้อยู่แล้ว หากได้รัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์เข้าใจบริบทสภาวะแวดล้อมของสังคมที่แปรเปลี่ยนไปตามกระแสของโลกาภิวัตน์ ย่อมรู้ว่ากฎหมายว่าด้วยการเกณฑ์ทหารสมควรจะปรับแก้ให้การเกณฑ์เหลือไว้เฉพาะในกรณีที่ประเทศต้องเข้าสู่สภาวะสงครามก็พอ กองทัพสามารถบริหารจัดการเลิกการเกณฑ์ แต่ปรับเปลี่ยนไปเป็นการสมัครใจแทนได้ ทั้งเพศชายและหญิง โดยการกำหนดสัดส่วนตำแหน่งอย่างเหมาะสมในการปฏิบัติงาน สร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้มีใจรักสมัครใจเข้ามาเป็นทหารกองประจำการ โดยให้พวกเขาไม่ต้องพะวงถึงคุณวุฒิ แม้เขาจะมีคุณวุฒิน้อยก็ไม่เป็นอุปสรรค เพราะเมื่อเข้ามาอยู่กับกองทัพก็จะมีการส่งเสริมการศึกษาให้มีคุณวุฒิสูงขึ้นสร้างความก้าวหน้าต่อในการรับราชการ รวมถึงโอกาสการเข้าศึกษาต่อเนื่องในโรงเรียนนายสิบไปถึงโรงเรียนนายร้อย หรือแม้กระทั่งเมื่อรับราชการไปห้วงเวลาหนึ่งแล้วประสงค์จะลาออกเพื่อไปประกอบอาชีพอื่น พวกเขาก็จะกลายเป็นกำลังสำรองที่มีคุณภาพของกองทัพได้ต่อไป
 
เรื่องดังกล่าวนี้สามารถทำเป็นรูปธรรมได้ทันที เพราะกฎกติกาที่มีอยู่มิได้ขัดขวางแต่ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลต้องชัดเจน ซึ่งนโยบายของพรรคเพื่อไทยว่าด้วยการจัดการกองทัพให้เป็นทหารอาชีพ กะทัดรัดจึงตรงเผงกับการนำมาขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้อย่างทันที 14 พฤษภาคม จึงขอพี่น้องประชาชนร่วมใจกันมาเลือก ส.ส.พรรคเพื่อไทยแบบแลนด์สไลด์ ให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เมื่อนั้นการจับ “ใบดำ–ใบแดง” จะบอกลา ใจรักสมัครใจจะมาแทนที่ แถมขยายผลให้ทหารเกณฑ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันปลดประจำการก่อนครบกำหนดก็ได้โดยมิได้ลดประสิทธิภาพของกองทัพ เพราะกองทัพจะกะทัดรัดเป็นมืออาชีพเข้ามาทดแทน



'ก้าวไกล' ก็เคยเจอคนเห็นต่าง แต่ไม่รุนแรง 'พิธา' รับไม่ได้ เวที พปชร.ใช้กำลัง
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7592164

‘ก้าวไกล’ ก็เคยเจอคนเห็นต่าง แต่ไม่รุนแรง ‘พิธา’ รับไม่ได้ เวที พปชร.ใช้กำลังกับนักกิจกรรม ชี้ชัดขัดแย้งกับสิ่งที่ ‘ประวิตร’ พูดเรื่องก้าวข้ามความขัดแย้ง
 
หลังเกิดการปะทะกันระหว่าง กลุ่มของ ตะวัน-แบม และ การ์ดพรรคพลังประชารัฐ ที่ สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 เขตบางพลัด พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในเวทีปราศรัยย่อยโซนธนบุรีเหนือ “พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ” ซึ่งมีภาพความรุนแรงถึงขั้นชกต่อย และรุมทำร้ายกลุ่มเยาวชนที่เข้าไปตั้งคำถามในงานดังกล่าว
 
วันที่ 2 เม.ย.2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการปะทะกันที่เวทีพรรคพลังประชารัฐ ว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับบุคลากรจากพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ได้เกิดขึ้น มองว่า เป็นเรื่องที่ทุกพรรคการเมือง รวมถึงพรรคก้าวไกลเวลามีเวทีปราศรัยอาจจะมีคนที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยมาพูดคุยหรือตั้งคำถามอย่างมีวุฒิภาวะ

สำหรับพรรคก้าวไกล พยายามเปิดพื้นที่ ซึ่งเวทีปราศรัยถือเป็นเวทีของพรรคการเมือง เราก็ต้องมีการควบคุมการพูดคุย หลังจากนั้นจะมีการพูดคุยหรือการตั้งคำถามกันก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พยายามพูดมาตลอดในเรื่องของการก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็นไปตามที่พูด



ฝุ่นควัน คร่าชีวิตปีละ 4 หมื่นคน เศรษฐกิจเสียหายปีละ 1 แสนล้าน
https://www.prachachat.net/economy/news-1251249

ประชาสังคมจี้รัฐเร่งออกกฎหมายอากาศสะอาด ชี้ปัญหาฝุ่นควันคร่าชีวิตคนภาคเหนือปีละ 4 หมื่นคน กระทบเศรษฐกิจเสียหายปีละ 1 แสนล้านบาท
 
วันที่ 2 เมษายน 2566 นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ เปิดเผยว่า มลพิษทางอากาศ PM 2.5 ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นโดยลำดับ จากงานวิจัยของ ศ นพ.ชัยชาญ โพธิรักษ์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่า มีผู้สูญเสียชีวิตปีละราว 40,000 คน และทางภาคธุรกิจประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจปีละราว 100,000ล้านบาท ส่งผลกระทบทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำให้โลกร้อนขึ้น หนักหน่วงมากขึ้นในระยะ 15 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ วิกฤตมลพิษทางอากาศ สัมพันธ์กับการเติบโต การพัฒนาการเติบโตของเมืองและการพัฒนาประเทศโดยรวม การเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์ การเพิ่มขึ้นของโรงงานอุตสาหกรรม การขยายตัวของพืชเชิงเดี่ยวทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน การที่ประเทศเรามีพื้นที่ป่าผลัดใบจำนวนมาก นอกจากนั้น ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสภาพอากาศ กระแสลม การระบายตัวของอากาศต่ำ เนื่องจากภาวะโลกร้อน รวมทั้งสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นบริบทของแต่ละพื้นที่ เช่น ภาคเหนือตอนบนเป็นแอ่งกระทะ ขณะที่กรุงเทพฯ ภาคกลางเป็นที่ราบ เป็นต้น
 
จากการทำงานของสภาลมหายใจเชียงใหม่ตั้งแต่ปี 2562ได้มีการวิเคราะห์สรุปบทเรียนจากการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย การจะแก้ปัญหามลพิษฝุ่นควัน PM 2.5 อย่างยั่งยืน จึงได้ร่วมกันสรุปข้อเสนอเชิงนโยบาย ดังนี้
 
1. ต้องมีการศึกษาวิเคราะห์และมีฐานข้อมูลแหล่งกำเนิดของฝุ่นควัน PM 2.5จากทุกแหล่งอย่างถูกต้องและรอบด้านมีงานวิชาการรองรับ โดยต้องเปิดเผยข้อมูลแก่สาธารณะ(open data) เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ร่วมกัน เข้าถึงได้ ตรวจสอบข้อมูลได้ และสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ วิกฤติมลพิษทางอากาศ สัมพันธ์กับการเติบโต การพัฒนาเมืองและการพัฒนาประเทศ เป็นต้น

2. ต้องออกกฎหมายบริหารจัดการอากาศสะอาดอย่างเร่งด่วน เปลี่ยนการแก้ฝุ่นควัน PM 2.5 แบบเฉพาะหน้าเป็นการแก้แบบยั่งยืน ที่ผ่านมาประเทศไทยแก้โดยใช้ พรบ.ป้องกันบรรเทาสาธารณะภัย 2550 เป็นกฎหมายเชิงรับซึ่งจะใช้คน เครื่องจักร งบประมาณได้เมื่อเกิดภัยพิบัติแล้ว โดยต้องทำงานเชิงรุก เชิงป้องกัน ต้องมีแผนยุทธศาสตร์ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว มีความต่อเนื่องนำไปสู่การแก้แบบยั่งยืน
 
ประเด็นสำคัญ ต้องออกกฎหมายบริหารจัดการอากาศสะอาด ที่มีกลไกที่มีอำนาจ บทบาทหน้าที่ทำงานเชิงรุกเชิงป้องกันอย่างต่อเนื่อง มีการกำหนดเป้าหมาย มีแผนยุทธศาสตร์ มีมาตรการ มีกลไก มีงบประมาณในการลดแหล่งกำเนิดฝุ่นควัน PM 2.5ทุกแหล่ง โดยสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากประชาชนทุกกลุ่ม และสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงการผลิตและวิถีชีวิตที่ยั่งยืน
 
3. นโยบายกระจายอำนาจในการแก้ปัญหา PM 2.5ให้สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น/จังหวัด นโยบายการสนับสนุนการจัดทำแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในระดับพื้นที่โดยชุมชนและองค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.)ที่มีคุณภาพและการสนับสนุนงบประมาณอย่างเพียงพอ ต้องมีนโยบายปลดล็อค แก้กฎหมายสร้างความมั่นคงในที่ดินทำกิน ความมั่นคงในที่ดินทำกินนำไปสู่การผลิตที่มั่นคง และยอมรับสิทธิชุมชนในการจัดการป่าอย่างยั่งยืน

4. นโยบายการบริหารจัดการเชื้อเพลิงที่ทุกฝ่ายยอมรับและสร้างแรงจูงใจให้การใช้ไฟทุกแหล่งอยู่ในระบบ โดยต้องพัฒนาระบบการจัดการบริหารเชื้อเพลิงให้มีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และต้องมีแผนจัดการบริหารเชื้อเพลิงที่มาจากชุมชนและองค์กรปกครองท้องถิ่น ที่ระบุชัดเจนว่ามีพื้นที่สำคัญที่จะร่วมกันรักษาแบบห้ามเผาเด็ดขาด
 
5. นโยบายลดพืชเชิงเดี่ยวที่เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นควันขนาดใหญ่ ต้องมีนโยบายลดพื้นที่การปลูกพืชเชิงเดียวลง และส่งเสริมการปลูกพืชที่ยั่งยืน โดยมีระบบแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนอย่างมั่นใจ การเพิ่มภาษีการรับซื้อผลผลิตที่มีการเผาและการเพิ่มภาษีนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเผาจนเข้ามากระทบต่อสุขภาพ เป็นต้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่