เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 33

*****คำเตือน*** จขกท. ปากหมากรุณาอย่าถือสาภาษาที่ใช้ตอบคอมเม้นท์

สำหรับกระทู้นี้ เราไม่ได้จะมาลงเรื่องราว การเห็น นิมิต ภาคใหม่ของเรา

แต่เราจะขอมาวิเคราะห์ความคิดของเรา เกี่ยวกับ นิมิต เรื่องราวที่เราเห็น

ถ้ามีใครมาบอกคุณว่า "ความจริงทุกอย่างที่คุณอยากรู้ มันอยู่ที่ปลายจมูกของคุณ" คุณจะคิดยังไงค่ะ

สำหรับเราแล้ว สำหรับคำกล่าวแบบนั้น แน่นอนว่าเราครั้งแรกที่เราได้ยิน เราก็คงจะไม่เชื่อ

และคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ความจริงทุกอย่าง มันจะอยู่ที่ปลายจมูกของเราเอง

เพราะมันเป็นอะไรที่ใกล้ตัวมาก จะเป็นไปได้อย่างไงที่สิ่งใกล้ตัวอย่างนั้น เราจะมองไม่เห็น

แต่มันก็คือ ความจริง ค่ะ ความจริงที่ว่าไม่มีใครมองปลายจมูกของตัวเองเห็นเลย

แม้ว่ามันจะอยู่ใกล้มาก และเหมือนจะเห็นรำไร แต่ยังไงก็มองไม่เห็น

ทางเดียวที่จะปลายจมูกของตัวเองเห็นได้คือ ต้องไปส่องกระจก มองดูตัวเองเท่านั้น

และนั่นก็คือ คำตอบ สิ่งที่เราต้องทำก็คือ "การมองดูตัวเอง" เพื่อที่จะได้เห็นปลายจมูกของตน

แต่ไม่ค่อยมีใครทำกัน จริงมั๊ยละคะ เพราะไม่ค่อยมีใครอยากจะส่องกระจกมองดูตัวเองกันเท่าไหร่

เพราะเวลาที่เรามองดูตัวเองในกระจก เราก็มันจะเห็นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกซอก ทุกมุม ของตัวเอง

บางสิ่งก็สวยงามน่ามองก็อยากจะทำให้มันดูน่ามองขึ้น ก็แต่งเสริมมันเข้าไป แต่บางสิ่งที่ไม่น่ามอง ก็จะปกปิดมันไว้ ไม่อยากให้ใครมาเห็น มาพบเจอเข้า

ส่วนมุมไหนที่เราอยากให้คนอื่นเห็นเราก็จะหันมุมนั้นออกไปในที่สว่าง มุมไหนที่ไม่อยากให้ใครรู้ ใครเห็นเราก็จะเก็บมันไว้ในที่มืด

สุดท้ายแล้ว แม้ว่าทีแรกเราต้องการจะมองให้เห็นแต่ความจริงที่ตรงปลายจมูก

แต่เรากลับไปเห็นส่วนอื่นๆของร่างกายตัวเองมากมาย จนเราได้หลงลืมสิ่งที่เราต้องการจะมองให้เห็นในตอนแรก คือปลายจมูกเท่านั้น

ท้ายที่สุดแล้ว เราก็มองข้ามปลายจมูกตัวเองไปอยู่ดี ถึงแม้ว่ามันยังอยู่ที่เดิม อยู่ตรงนั้น ตรงกลางใบหน้าเราแท้ๆ

แต่จะมีสักกี่คน ที่จะสนใจมองดูมันอย่างจริงจัง และจดจ้องอยู่กับมันได้นานๆ โดยไม่คิด ไม่มอง ไม่หันไปดู ไม่ไปยินดียินร้ายและสนใจร่างกายส่วนอื่นๆ ของตน

และให้ความสนใจแต่ที่ปลายจมูกของตัวเองเท่านั้น เพื่อให้เห็นความจริง ตามคำกล่าวที่ว่า "ความจริงทุกอย่างที่อยากรู้ มันอยู่ที่ปลายจมูกของตัวเอง"

ถ้าสมมุติว่า คำกล่าวที่ว่านั้นเป็นความจริงล่ะ! คุณจะพากันหันกลับมามอง ปลายจมูกของตัวเองกันมั๊ย!

หรือจะยังมองข้ามมันเช่นทุกครั้งที่คุณส่องกระจกเหมือนก่อนหน้านี้

ทีนี้เราจะขอแสดงความคิดของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยการตั้งสมมุติฐาน และหาหลักการเหตุผลที่เป็นคำอธิบายที่เราคิดว่า มันมีความน่าจะเป็นไปได้ มากที่สุดแล้วมาให้ลองคิดกันดู

เรื่องบางเรื่อง แม้มันจะเป็นเรื่องที่เราคิดว่ามันไม่น่าเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าเราตัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไป และแทนค่ามันด้วยความจริงที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด

คำตอบที่ได้ แม้มันจะเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ แต่มันก็คือความจริงที่อยู่ตรงหน้า เราหนีไปไหนไม่ได้ แม้เราจะไม่ยอมรับมันก็ตาม

มันก็เหมือนกับการแทนค่า X ด้วยความจริงใน สมการ คณิตศาสตร์ทั่วๆไป

ตัวอย่างเช่น 7 + X = 9

คำตอบของ X ก็คือ 2

แต่ว่า คำตอบของสมการนี้ ไม่ได้มี 2 แค่คำตอบเดียว

X อาจจะเป็น 1+1 ก็ได้

X อาจจะเป็น 1.5+0.5 ก็ได้

และ X ยังมีคำตอบอื่นๆอีกมากมาย ที่สามารถแทนค่าแล้ว ทำให้สมการนี้สมบูรณ์

**แต่ถ้ามันมีตัวกำหนด เช่น กำหนดให้ X เป็นจำนวนเต็ม

คำตอบของ X ก็จะเป็นได้แค่ 2 ตัวเดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำให้สมการนี้ สมบูรณ์

ในกระทู้ของเรา ภาคนึงที่เราเล่าเรื่องราวการเห็นนิมิต เกี่ยวกับสมการ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกับ สมการ

หลังจากเราเห็น นิมิตเรื่องนั้นของเรา เราก็ได้ไปทำความรู้จักกับ Golden radio, เป็นตัวเลขสัดส่วนทองคำ

ซึ่งตัวเลขนี้มีความเกี่ยวของกับทุกชนิดบนโลกนี้เลยก็ว่าได้ ชาวกรีกโบราณเรียกตัวเลขนี้ว่า สัดส่วนพระเจ้า

ซึ่งตอนที่เราไปเจอและได้เข้าไปศึกษาตัวเลขดังกล่าวนี้ ก็เกี่ยวข้องกับการทำงานของเรา

เราจึงคิดว่า มันไม่บังเอิญแน่ๆ อะไรมันจะพอดีเหมาะเจาะกันขนาดนั้น

ตัวเลข 0.618, 1.618, 0.382 และ 2.618 ที่ได้นี้ มีความสัมพันธ์กันเองอย่างลึกซึ้งอีกด้วย

กล่าวคือ

2.618 - 1.618 = 1

1 - 0.618 = 0.382

1.618 - 0.618 = 1

2.618 x 0.382 = 1

1.618 x 0.618 = 1

1.618 x 1.618 = 2.618

2.618 x 0.618 = 1.618

0.618 x 0.618 = 3.82

ซึ่งเป็นสัดส่วน 0.618, 1.618, 0.382 และ 2.618 นี้มีความสำคัญและเป็นสัดส่วนที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในธรรมชาติ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัดส่วน 0.618 และ 1.618 นั้นถือเป็นหัวใจสำคัญที่เราเรียกกันว่าสัดส่วนทองคำ (Golden Ratio) สัดส่วนที่ว่ากันว่าชวนมองเป็นธรรมชาติที่สุดครับ

สัดส่วนทองคํากับสถาปัตยกรรมและธรรมชาติ

สัดส่วนทองคำนี้ไม่ใช่เพิ่งมารู้จักกันในสมัยของฟีโบนาซี่นะครับ

อันที่จริงคนเราค้นพบสัดส่วนทองคำนี้มาตั้งนานแล้วครับพวกกรีกโบราณเรียกตัวเลขนี้ว่าค่าเฉลี่ยทองคำ (Golden Mean) และใช้สัญญลักษณ์ () หรือที่เรียกว่า“ ซี” (PH) เป็นตัวแทนสัดส่วน 1.618 นี่แหละครับ

เพลโต้ปรัญชาเมธีชาวกรีกเขียนไว้ในหนังสือ Tinaeus ของเขาว่าสัดส่วน Phi นี้เป็นเสมือนตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคณิตศาสตร์ทั้งมวล

และเป็นกุญแจสำคัญของฟิสิกส์ว่าด้วยเอกภพและจักรวาลนั้นเชียวครับโครงสร้างของวิหารพาเธนอน (Pathenon) ของกรีกตลอดจนปิรามิดแห่งเมืองกิซ่าของอียิปต์ก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยใช้สัดส่วนทองคำแหละครับ

เราจะสามารถเห็นสัดส่วนทองคำนี้ได้ในธรรมชาติทั่วไปเพียง แต่เราไม่ได้สังเกตเท่านั้นตัวอย่างเช่นร่างกายของคนเราก็เป็นไปตามสัดส่วนทองคำครับ

คนที่มีรูปร่างงดงามจะมีสัดส่วนจากสะดือถึงหัวเมื่อเทียบกับจากสะดือถึงเท้าแล้วเท่ากับ 0.618 พอดี

ความยาวจากสะดือถึงหัวไหล่ของคนเราจะมีสัดส่วนเท่ากับ 0.382 เท่า

ในขณะที่สัดส่วนจากหัวถึงปลายมือของเราจะมีสัดส่วนเท่ากับ 0.382 เท่าของความยาวจากสะดือไปยังปลายเท้าเช่นกัน

นอกจากนี้แม้แต่ในส่วนที่เล็กที่สุดและมีความสำคัญต่อชีวิตที่สุดคือดีเอ็นเอ (DNA: Dioxy ribo-Nucleic Acid)

ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต (บางท่านเรียก DNA ว่าเกลียวชีวิตครับ) ก็เป็นไปตามสัดส่วนทองคำด้วย (ตามที่แสดงในรูป)

แต่สัดส่วนทองคำที่เห็นได้บ่อยที่สุดจะอยู่ในรูปของวงก้นหอย (ดังแสดงในรูป)

ซึ่งวงก้นหอยนี้สามารถสร้างได้จากสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีด้านยาวเป็น 1.618 เท่าของด้านกว้าง

เราเรียกสี่เหลี่ยมนี้ว่าสี่เหลี่ยมทองคำ (Golden Rectangle) โดยเราสามารถสร้างสี่เหลี่ยมทองคำขนาดเล็กขึ้นจากสี่เหลี่ยมทองคำอันเดิมได้ไม่รู้จบเมื่อโยงเส้นโค้งตามแนวทแยงมุมจะได้วงก้นหอยที่ขดตัวไม่รู้จบ

โดยวงก้นหอยนี้จะมีรัศมีที่ค่อยๆขยายตัวเป็นสัดส่วนเท่ากับ 1.618 และมีความยาวของเส้นรอบวงขยายตัวด้วยสัดส่วนเดียวกัน

การขยายตัวแบบวงก้นหอยนี้ จะพบเห็นได้ทั่วไปเช่นในเปลือกหอย, ลูกสน, เขาแกะ, หางม้า, วังวนของกระแสน้ำ, การม้วนตัวของคลื่น,

การหมุนตัวของพายุเฮอริเคน, และแม้แต่การขยายตัวของเอกภพก็เป็นไปตามแบบแผนนี้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ถ้าเราพบสัดส่วนทองคำ ในสภาวะธรรมชาติทั่วไปได้แล้ว

ทำไมเราจะพบสัดส่วนทองคำในตลาดหุ้นบ้างไม่ได้ คำอธิบายก็คือ

เนื่องจากมันเป็นธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยดังนั้นคนเราส่วนใหญ่ก็มักจะประพฤติตัวตามสัดส่วนทองคำนี้ด้วย

เพียงแต่มันเป็นพฤติกรรมที่เราทำไปโดยสัญชาตญาณและไม่ได้ใส่ใจนึกถึงมันเท่านั้นเอง

นั่นคือข้อความที่เราได้คัดลอกมา จากแหล่งข้อมูลนึงที่เราใช้ศึกษาเพื่อใช้ในการทำงานของเรา

ถ้าคุณสนใจอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง Golden Ratio ก็สามารถค้นหาเพิ่มเติมได้ในอินเตอร์เน็ต

ทีนี้ เมื่อเราพูดถึง สมการ และเห็นว่ามันสัมพันธ์เชื่อมโยงกับงานที่เราทำอยู่แล้ว

เราก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก และมีนทำให้เราตั้งคำถามขึ้นในใจ และลองคิดเล่นต่อไปว่า

ถ้าสมมุติฐานเรื่อง สมการ นี้ของเราเป็นความจริง ที่ว่ามันเกี่ยวข้องกับทุกๆอย่าง ทุกๆสิ่ง และเราสามารถหาคำตอบของทุกคำถาม ทุกความสงสัย ทุกที่มา ที่ไป ได้จากการคำนวณนี้แล้ว

โจทย์สมการ ในการขุดหาเหรียญคริปโต มันมาจากไหน มันเป็นสูตร ที่ต้องแทนค่าหาคำตอบของอะไร

และตัวเลขที่อยู่ในโจทย์ มันเป็นตัวเลขที่เป็นค่าของอะไร

ไม่แน่ว่า คำตอบที่ได้จากการแก้โจทย์สมการ ในการขุดหาเหรียญคริปโตเหล่านั้น อาจจะเป็นกุญแจ

ในการไขคำตอบของอะไรสักอย่าง และมันต้องมีค่า มีความสำคัญมากแน่ๆ ไม่เช่นนั้นแล้ว

คงไม่ให้ค่าตอบแทนมากมาย จากการขุดเหรียญอย่างแน่นอน

และโจทย์สมการ ก็ไม่ใช่โจทย์ง่ายๆ ที่คนธรรมดาอย่างเราๆจะสามารถคิดคำนวณได้

จำเป็นต้องสร้างตัวช่วยคำนวณจากคอมพิวเตอร์หรือสมองกลเท่านั้น

แต่ไม่ว่าคำตอบที่ได้จากการสมการเหล่านั้น จะนำพาไปสู่คำตอบอะไร

เราก็ไม่ได้คิดจะสนใจ ใคร่รู้คำตอบของมัน เพราะเราคิดว่า รู้ไปมันก็เท่านั้น เราไม่เห็นว่ามันจะเกิดประโยชน์อะไรกับตัวเอง

แค่สร้างความสงสัย ให้เราเฉยๆ แต่ก็ไม่แน่ว่าเราอาจจะรู้คำตอบนั้น ในวันนึง

เราแค่ต้องจดจ่อ อยู่กับปลายจมูกของตัวเองต่อไป เหมือนที่เราทำอยู่ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา

เพราะไม่แน่ ว่าคำกล่าวข้างต้นที่เราพูดไป มันอาจจะเป็นความจริง

ที่คำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง มันอาจจะยังอยู่ที่ปลายจมูกของเราจริงๆ

เพราะตลอดที่ผ่านมา เราก็ไม่ได้ออกไปหาข้อมูล หาคำตอบ ของที่มาที่ไป หรือความสงสัยใดๆของเราจากที่อื่นเลย

เราก็แค่จดจ้อง จดจ่อ สังเกตเฉพาะที่ปลายจมูกของตัวเองเท่านั้น

และเรื่องปลายจมูก มันอาจจะเป็นคำตอบของความสงสัยที่ว่า ทำไมการปฎิบัติธรรม การทำกรรมฐาน

แนวทางปฏิบัติส่วนใหญ่ จะกำหนดให้เราสังเกตลมหายใจ เข้าออก ซึ่งมันก็เกี่ยวกับปลายจมูกอีกนั่นแหละ

เราจึงคิดว่า มันมีความสมเหตุสมผล และมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว

ที่คำกล่าวข้างต้นที่ว่านั้นจะเป็นความจริง แม้ว่าใครก็ตามที่ได้ยินในตอนแรก จะคิดว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย

และมันค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ดูจะไร้สาระและงมงาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะมองข้ามไปทั้งนั้น

แต่เมื่อเรามองดูโลกนี้ดีๆ เราจะเห็นว่ามีสิ่งต่างมากมายที่เคยเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เหลวไหล ในอดีต

แต่มันกลายเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องปกติไปแล้วในปัจจุบันนี้

อย่างเช่น เรือเหาะในเรื่อง แก้วหน้าม้า ซึ่งในปัจจุบันก็มี เหาะให้เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน วันละหลายๆเที่ยว

นั่นก็คือเครื่องบินนั่นเอง ซึ่งเครื่องบินในปัจจุบัน มันก็ไม่ได้ต่างจาก เรือเหาะ ในเรื่องแก้วหน้าม้าเลย

เรือเหาะที่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เหลวไหล ในเรื่องแก้วหน้าม้าในอดีต กลับกลายมาเป็นเครื่องบิน ที่เป็นที่ยอมรับของทุกคนในปัจจุบันได้ เพราะอะไร

เราคิดว่า เพราะการค้นค้น ทดลอง ทดสอบ และสามารถพิสูจน์ อธิบายที่มา ที่ไปของการเหาะเหิน เดินอากาศได้ของเครื่องบินในปัจจุบัน

แต่ในเรื่องแก้วหน้าม้า มันยังคงเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เหลวไหล เพราะมันไม่มีหลักการ เหตุผล คำอธิบายใดๆที่เป็นที่มา ที่ไป ของสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนในปัจจุบันนั่นเอง




แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่