คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 108
กลายเป็นผมเองที่ได้ประโยชน์ไปกับกระทู้นี้
ทุกคน ผมสรุปได้แล้วว่า อนัตตา คืออะไร
เพราะผมได้อ่านข้อความของทุกคน ที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วย มานี้
อนัตตา เป็นความ "ไม่ใช่ตน"
และความ'ไม่ใช่ตน" ยังไม่ใช่ ปัญญา ที่เกิดจากการ พิจรนา
เช่น เราสามารถกำหนดรู้ได้ว่า ตา เป็นอนัตตา
เราแค่มาเล่าเรียน สิ่งที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เท่านั้นเอง แต่เราหลงกันว่าได้ปัญญากันแล้ว
"เราแค่มารู้สิ่ง ที่เป็นอนัตตา ว่ามันเป็นอนัตตา เฉยๆ พอคิดออกไหม"
แค่เรามารู้ปฏิจสมุปบาท ว่ามันทำงานอย่างไร กันแค่นี้เอง
มารู้ปฏิจสมุปบาท ว่า ไม่ใช่ตน
แต่สิ่งที่เราต้องมีไปมากกว่านี้.. ไม่ใช่เพียงรู้ ว่าอนัตตา(ไม่ใช่ตน)แล้วจบ!!
สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา(ไม่ใช่ตน)
ต้องเห็นต่อด้วยปัญญาอันชอบตามจริงว่า
"นั้นไม่ใช่เรา"
ต้องมามากำหนดรู้ลงไปอีกทีหนึ่ง แบบนี้
เห็นสิ่งที่
ไม่เที่ยง
เห็นสิ่งที่
เป็นทุกข์
เห็นสิ่งที่
ไม่ใช่ตน(อนัตตา)
ขันธ์5นี้
ว่าทั้งหมดนี้ "ไม่ใช่เรา"
ทุกคน ผมสรุปได้แล้วว่า อนัตตา คืออะไร
เพราะผมได้อ่านข้อความของทุกคน ที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วย มานี้
อนัตตา เป็นความ "ไม่ใช่ตน"
และความ'ไม่ใช่ตน" ยังไม่ใช่ ปัญญา ที่เกิดจากการ พิจรนา
เช่น เราสามารถกำหนดรู้ได้ว่า ตา เป็นอนัตตา
เราแค่มาเล่าเรียน สิ่งที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เท่านั้นเอง แต่เราหลงกันว่าได้ปัญญากันแล้ว
"เราแค่มารู้สิ่ง ที่เป็นอนัตตา ว่ามันเป็นอนัตตา เฉยๆ พอคิดออกไหม"
แค่เรามารู้ปฏิจสมุปบาท ว่ามันทำงานอย่างไร กันแค่นี้เอง
มารู้ปฏิจสมุปบาท ว่า ไม่ใช่ตน
แต่สิ่งที่เราต้องมีไปมากกว่านี้.. ไม่ใช่เพียงรู้ ว่าอนัตตา(ไม่ใช่ตน)แล้วจบ!!
สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา(ไม่ใช่ตน)
ต้องเห็นต่อด้วยปัญญาอันชอบตามจริงว่า
"นั้นไม่ใช่เรา"
ต้องมามากำหนดรู้ลงไปอีกทีหนึ่ง แบบนี้
เห็นสิ่งที่
ไม่เที่ยง
เห็นสิ่งที่
เป็นทุกข์
เห็นสิ่งที่
ไม่ใช่ตน(อนัตตา)
ขันธ์5นี้
ว่าทั้งหมดนี้ "ไม่ใช่เรา"
แสดงความคิดเห็น
เรียนคุณ โปรส้ม โปรหมูที่เคารพ
นั้นทำให้ผมได้ข้อสรุปว่า มีข้อความของกันขัดแย้ง เป็นข้าศึกกัน ในระดับ ความเห็น
หรือทัศนคติ
อยากให้เพื่อนๆหลายคนได้รับรู้ว่า คนที่มองโดยความเป็นกลางแบบผมจะรู้สึกท้อแท้ขนาดไหน เวลาแสดงธรรมให้กับเพื่อนๆ ถ้าหากเรายังมี ความเห็นที่ไม่ใช่มัจฉิมา ไม่เช่นนั้น การที่ผมจะอยู่เพื่อแสดงธรรมแล้วไม่มีใครเข้าใจเลย มันจะเหนื่อยเปล่า ลำบากแก่ตัวกระผม
ท่านแรกคือ คุณโปรส้ม มีความเห็นสุดโต่งไปทาง ความมี(อัตถิตา)
เราเตือนกันด้วยความหวังดี ไม่ได้ไส้ร้ายป้ายสี ผมทำหน้าที่กระจก แล้วคุณจะมองมาหรือไม่ก็ตามใจ
อีกท่านคือ โปรหมู มีความเห็นสุดโตงไปทางความไม่มี (นัตถิตา)
ไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับใคร แต่ผมคิดว่า ผมคือสิ่งที่ถูกต้อง ผมมีความเห็นที่ตรง ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ
การอธิบายเหมือนจะเข้าใจ ความเป็นสายปฏิจสมุปบาท แต่ย้อนไปดูดีๆ เอาความเป็นขันธ์5บังหน้าไว้ แล้วอธิบายถึงความ ไม่มีไม่เป็น ของสัตว์ทั้งปวง
ราวกับว่า แม้ผู้ใดจะตัดศรีษะบุคคลด้วยศาสรตราอันคม ก็ไม่เชื่อว่าใครปลงชีวิตใคร เป็นเพียงอาวุธอันคมผ่านไปตามช่องในระหว่างกาย ไม่มีใครบุคคลตัวตน ประมาณนี้
แต่ทางสายกลาง มองได้ยาก สัตว์ที่จะมองตามได้ นั้นแถบจะไม่มี ในตอนนี้ ที่ผมสังเกตุ
ิอยากให้ดู ท่านทั้ง2นี้เป็นตัวอย่าง ไม่ได้ชวนให้ใครทะเลาะ เราพูดกันโดยธรรม ผมเป็นคนถือศิลอุโบสถ
การศึกษาต้องค่อยเป็นค่อยไป
ถ้าคิดว่ารู้แล้วเมื่อไหร่ บอกเลยว่าพลาดแล้ว แน่ๆ