JJNY : 5in1 "พท."ลั่นเกินใจรับได้│ชูวิทย์อัดตู่ปิดปากปชช.│ก้าวไกลเปิดเอกสาร│หุ้นดิ่งแรง 26 จุด│รัสเซียตัดกำลังแวกเนอร์?

"พท."ลั่นเกินใจรับได้ ล็อกคอปิดปากป้าโวย “ประยุทธ์” ชี้ใช้ความรุนแรงกับประชาชนเสียเอง
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7556754
 
 
เกินใจรับได้ เพื่อไทย สับใช้ความรุนแรงเกินเหตุ เจ้าหน้าที่ล็อกคอปิดปากป้าโวย “ประยุทธ์” ฉะปากบอกลงพื้นที่ไปติดตามนโยบายให้ประชาชน แต่กลับไปใช้ความรุนแรงกับประชาชนเสียเอง
 
วันที่ 13 มี.ค. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีเจ้าหน้าที่บุกล็อกคอปิดปากหญิงสูงวัย ที่ตะโกนตำหนิการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ระหว่างลงพื้นที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี แล้วใช้ร่มบังไม่ให้สื่อจับภาพ อ้างจะพาป้าไปหาหมอ พร้อมขอดูบัตรสื่อที่ถ่ายภาพว่า
  
ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาการเสนอแนะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เป็นไปด้วยความยากลำบากและมีข้อจำกัดอย่างมาก การบุกล็อกคอปิดปากหญิงสูงวัยในครั้งนี้ ยากเกินกว่าที่ประชาชนจะทำใจรับได้ ปากบอกลงพื้นที่ไปติดตามนโยบายให้ประชาชน แต่กลับไปใช้ความรุนแรงกับประชาชนเสียเอง
  
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ทนรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ก็ควรนอนอยู่บ้าน ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพลงพื้นที่หาคะแนนเสียงไปเป็นภาระของประชาชน 8 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยกลัวใคร ทำไมกับเพียงหญิงสูงวัยถึงใช้ความรุนแรงถึงเพียงนี้ การใช้ความรุนแรงกับประชาชนในครั้งนี้ เป็นการเปลือยตัวตนอีกครั้งของพล.อ.ประยุทธ์ ว่ามีทัศนคติอย่างไรต่อประชาชน
 
” สโลแกนทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ของพล.อ.ประยุทธ์ หวังว่าคงไม่รวมไปถึงการใช้ความรุนแรงกับประชาชนแบบรุนแรงแล้ว รุนแรงอยู่ รุนแรงต่อ” นายอนุสรณ์ กล่าว
  


ชูวิทย์ อัดบิ๊กตู่ ปิดปากประชาชน มันวิสัยเผด็จการ เย้ยถ้าฟังคำด่าไม่ได้ ก็อยู่บ้านเถอะ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3871332
 
ชูวิทย์ อัดบิ๊กตู่ ปิดปากประชาชน มันวิสัยเผด็จการ เย้ยถ้าฟังคำด่าไม่ได้ ก็อยู่บ้านเถอะ
 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง และอดีตนักธุรกิจกลางคืนชื่อดัง ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นกรณีที่มีสุภาพสตรีสูงอายุ 1 คน จะมายืนดักขบวน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ระหว่างลงตรวจราชการที่อำเภอบ้างโป่ง จ.ราชบุรี เพื่อแสดงออก พร้อมตะโกนด่าและตำหนิการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ถูกเจ้าหน้าที่กระชาก ลากตัว และปิดปาก จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมถึงความรุนแรงว่า
 
“ปิดปากประชาชน
 
เมื่อนายกฯ เลือกเส้นทางเป็นนักการเมือง ต้องไม่กลัวประชาชนด่า ไม่จำเป็นต้องปิดปากประชาชน สิ่งที่ประชาชนพูด ต้องรับฟังให้ได้ จะเดินสายพบแค่ประชาชนที่เอาแต่ตบมือเชียร์ มอบดอกไม้ให้อย่างเดียวเท่านั้นหรือ?
 
หากจะด่า ก็ต้องปล่อยให้ด่าไปตามความรู้สึก อย่าไปคิดปิดปาก และอย่าไปเอาร่มปิดบังความจริงที่ประชาชนคนหนึ่งเขาอยากพูด การรับฟังความจริงจากประชาชน เป็นความรู้สึกจริง มากกว่าคนรอบข้างที่เอาแต่ชื่นชมยกย่อง เพราะนั่นไม่ใช่ความจริง
 
การเป็นนักการเมืองจึงต้องเรียนรู้ว่า ‘ความรู้สึกของประชาชนเป็นสิ่งที่ต้องรับฟัง ส่วนท่านจะสื่อสารตอบประชาชนอย่างไรก็เป็นสิทธิของท่าน’
นั่นคือ ‘ประชาธิปไตยที่สวยงาม’
 
แต่การไปปิดปากประชาชน มันคือวิสัยของ ‘เผด็จการ’ หากไม่อยากฟัง ก็นั่งอยู่ที่บ้านดีกว่าครับ”
 
https://www.facebook.com/ChuvitKamolvisit/posts/pfbid0m8M1gL3JJfDD5SWFgDiWfc6mPFiWugHkD4cdgpkdGWKQTwVTW5uowxCWxir1W8GTl
 

   
‘สุรเชษฐ์’ ก้าวไกล เปิดเอกสารข้อเสนอ ‘บีอีเอ็ม’ ชนะประมูลรถไฟสายสีส้ม
https://www.matichon.co.th/politics/news_3871050

‘สุรเชษฐ์’ เปิดเอกสารข้อเสนอ ‘บีอีเอ็ม’ ที่ชนะประมูลสัมปทานรถไฟสายสีส้ม ยืนยันข้อเท็จจริงส่วนต่าง 6.8 หมื่นล้านบาท คืนผลตอบแทนให้รัฐน้อยกว่าข้อเสนอ ‘บีทีเอส’ ชัดเจน ขอสังคมจับตาอย่าปล่อยจับยัดเข้า ครม. ย้ำถ้าเป็นรัฐบาลก้าวไกลจะเปิดประมูลใหม่ให้โปร่งใส
 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวเปิดเผยเอกสารหลักฐานที่เพิ่งได้รับ กรณีข้อสงสัยการทุจริตประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้ม เพื่อให้เห็นถึงความพยายามกีดกันคู่แข่งของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ชนะการประมูล ซึ่งก็คือบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ให้ออกไปจากการแข่งขัน โดยมีส่วนต่างที่รัฐต้องจ่ายอุดหนุนให้เอกชนสูงถึงกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท ว่านี่คือการประมูลที่เกิดขึ้นถึงสองครั้ง เพื่อสร้างสิ่งเดียวกัน แต่มีส่วนต่างสูงถึง 6.8 หมื่นล้านบาท และตนขอยืนยันอีกครั้ง ว่าส่วนต่างมีอยู่จริง แม้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะพยายามปฏิเสธเพียงใดก็ตาม
 
นายสุรเชษฐ์กล่าวว่า โดยสิ่งที่ปรากฏอยู่ในเอกสารที่ตนได้มาครั้งนี้ คือเครื่องยืนยันที่ดีที่สุด นั่นคือข้อเสนอของฝ่ายบีอีเอ็มที่ตนได้พยายามขอมาหลายครั้งผ่านทุกช่องทางแล้วแต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานใดๆ ที่เกี่ยวข้องเลย กระทั่งข้าราชการที่รักความยุติธรรมเริ่มเคลื่อนไหว ส่งข้อมูลมาให้ตนในที่สุด
 
เมื่อนำข้อมูลข้อเสนอจากทั้งสองฝ่ายมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ว่าข้อเสนอของบีทีเอส จะขอเงินจากรัฐอุดหนุนค่าก่อสร้าง ในปีที่ 3-8 ยอดรวม 79,820 ล้านบาท โดยจะมีกำไรจ่ายคืนรัฐในปีที่ 20 เป็นต้นไป รวมเป็นเงินจำนวน 70,145 ล้านบาท ผลรวมจะเท่ากับเกิดส่วนต่างที่รัฐต้องอุดหนุนเพียง 9,675 ล้านบาท
 
นายสุรเชษฐ์กล่าวว่า ขณะที่ข้อเสนอของบีอีเอ็มนั้น มีการขอเงินรัฐอุดหนุนค่าก่อสร้าง ในปีที่ 3-8 เป็นจำนวน 81,871 ล้านบาท โดยผลตอบแทนที่บีอีเอ็มจะให้ตั้งแต่ปีที่ 14 เป็นต้นไป จะคืนเป็นยอดรวมเพียง 3,583 ล้านบาทเท่านั้น กล่าวคือขณะที่บีทีเอสมีข้อเสนอจะจ่ายคืนให้รัฐ 70,145 ล้านบาท บีอีเอ็มจะคืนให้เพียง 3,583 ล้านบาท โดยที่ค่าก่อสร้างแทบไม่ต่างกันเลย ผิดกับที่ฝ่าย รฟม.มักออกมาอ้างว่าจำเป็นต้องใช้เทคนิคชั้นสูงในการสร้างอุโมงค์ใต้ดิน ทำให้ต้องใช้งบประมาณมากขึ้น แต่หากลงไปดูในรายละเอียดเปรียบเทียบกันแล้ว จะพบว่าทั้งสองข้อเสนอแทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย

ดังนั้น ที่ต่างจริงๆ ก็คือผลตอบแทนที่จะคืนให้รัฐ ซึ่งบีอีเอ็มให้น้อยกว่าบีทีเอสมาก คำถามคือส่วนต่างนี้จะเอาไปทอนให้ใคร แน่นอนว่าทั้งหมดจะอยู่ในกระเป๋าของบีอีเอ็ม แต่บีอีเอ็มจะเอาไปให้ใคร หรือให้พรรคการเมืองใดบ้างหรือไม่ ผมอยากให้พี่น้องสื่อมวลชนและประชาชนร่วมกันติดตาม” นายสุรเชษฐ์กล่าว
 
นายสุรเชษฐ์กล่าวว่า จากวันนี้ไปจนถึงการเลือกตั้ง คณะรัฐมนตรียังมีเวลาเหลืออย่างมากอีกเพียง 2 ครั้งที่จะอนุมัติเรื่องต่างๆ คือในการประชุม ครม.พรุ่งนี้ (14 มีนาคม)
 
หรือหากยังไม่มีการยุบสภาเร็วๆ นี้ ก็จะต้องเป็นการประชุม ครม.สัปดาห์หน้า ที่ต้องจับตาคือจะมีการยัดเรื่องนี้เข้าไปหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าถ้าทุกคนเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อไร จะมีการนำเข้าไปแน่นอน รวมทั้งอาจมีการใช้กระบวนการยุติธรรมมาฟอกขาวว่าข้อเสนอของบีทีเอสเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวน
ทั้งนี้ ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของฝั่ง รฟม.และกระทรวงคมนาคม กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่คล้ายคลึงกับกรณีป้ายสถานีรถไฟกรุงเทพอภิวัฒน์ ที่เป็นการทำให้ถูกต้อง ‘โดยกระบวนการ’ แต่ในข้อเท็จจริงเป็นการทุจริตแบบเห็นๆ ตนจึงขอฝากทุกคนให้ติดตามเรื่องนี้ต่อไป อย่าปล่อยให้เมกะโปรเจ็กต์กลายเป็นเมกะดีล และที่โครงการล่าช้า ทั้งที่ควรเปิดให้บริการประชาชนได้เร็วๆ นี้แล้ว ก็เป็นเพราะการเอาโครงการมาหากินกัน
 
นายสุรเชษฐ์กล่าวว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอ และจะดำเนินการต่อหากได้เป็นรัฐบาล คือการเปิดประมูลใหม่อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม ให้ทั้งอัยการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามากางปัญหาร่วมกัน เพื่อให้มีความโปร่งใส ตรงไปตรงมา แล้วทุกอย่างจะดำเนินการผ่านไปได้อย่างเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่าย



หุ้นดิ่งแรง 26 จุด เซ่นพิษวิกฤตแบงก์สหรัฐปิด ฉุดหุ้นแบงก์รูดยกแผง
https://www.matichon.co.th/economy/news_3871252

หุ้นดิ่งแรง 26 จุด เซ่นพิษวิกฤตแบงก์สหรัฐปิด ฉุดหุ้นแบงก์รูดยกแผง
 
วันที่ 13 มีนาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,592.60 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,573.07 จุด ปรับลดลง 26.58 จุด หรือ 1.66% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,602.65 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,572.65 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 79,662.39 ล้านบาท
 
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ดัชนีปรับลดลงอย่างร้อนแรง เป็นภาพเดียวกับตลาดหุ้นอื่นรอบบ้าน ตอบรับข่าววิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐ ในกรณีการปิดธนาคาร Silvergate Capital และธนาคาร Silicon Valley (SVB) ประสบปัญหาสภาพคล่องหนัก ทำให้สหรัฐต้องออกมาตรการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน สร้างความกังวลให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ยังมีทิศทางไหลออกต่อเนื่อง หลังจากเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยเป็นเดือนแรก ซึ่งเป็นผลจากความกังวลวิกฤตธนาคารสหรัฐดังกล่าว ส่งผลกดดันดัชนีปรับตัวลงลึกในช่วงท้ายก่อนปิดตลาด
 
นายชัยยศ กล่าวว่า ประเมินแนวรับถัดไปที่ระดับ 1,555 จุด ซึ่งเป็นที่ดัชนีย่อตัวลงไปในรอบก่อนหน้านี้ โดยมองว่าดัชนีที่ลดลงไป 26 จุดนั้น ยังไม่ถึงจุดต่ำสุดของการปรับลดลงด้วย เพราะทิศทางฟันด์โฟลว์ยังเป็นตัวกดดันอยู่ ส่วนปัจจัยบวกที่จะเข้ามาสนับสนุนตลาดให้ดีดตัว (รีบาวด์) ขึ้นมาได้ คงต้องรอดูพัฒนาการของมาตรการที่จะเข้ามาช่วยเหลือของแบงก์สหรัฐที่ปิดตัวลง ว่าจะได้ผลมากน้อยอย่างไร รวมถึงแบงก์อื่นๆ ในสหรัฐที่อาจได้รับผลกระทบหรือมีปัญหาตามด้วย โดยกลยุทธ์ที่แนะนำการลงทุน ยังเป็นจุดเข้าซื้อสะสมได้ของผู้ที่ยังไม่มีหุ้น เน้นหุ้นรายตัว อาทิ กลุ่มไอซีที โรงพยาบาล ส่วนผู้ที่ติดหุ้นอยู่แล้ว สามารถซื้อถั้วราคาได้ในระดับ 1,555 จุด แต่ต้องรับความเสี่ยงที่อาจเกิดความผันผวนได้
 
กระแสที่จะมาช่วยได้บ้าง เป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ที่น่าจะเข้าใกล้มากขึ้นแล้ว ทั้งการยุบสภา และการเลือกตั้งใหม่ในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งปกติแล้วเมื่อมีการเลือกตั้ง ก็จะมีเม็ดเงินเข้ามาช่วยสนับสนุนให้ดีดตัวขึ้นได้บ้าง ส่วนฟันด์โฟลว์แนวโน้มในเดือนมีนาคมนี้ น่าจะยังขายออกอยู่ เพราะมีความกดดันการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และแรงกดดันจากเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องใหม่ด้วย” นายชัยยศ กล่าว
 
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคาร ดัชนีอยู่ที่ระดับ 367.90 จุด ปรับลดลง 10.00 จุด หรือลบ 2.65% โดยธนาคาร 3 อันดับแรกที่ปรับลดลงมากสุด ได้แก่ 1.ธนาคารกสิกรไทย ลดลง 7.50 บาทต่อหุ้น 2.ธนาคารกรุงเทพ ลดลง 5.50 บาทต่อหุ้น และ 3.ธนาคารไทยพาณิชย์ ลดลง 2.50 บาทต่อหุ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่