เกษตรกรโอด หมูราคาตก วอนรัฐดูแล แฉขายหน้าฟาร์ม-เขียงหมูราคาต่างกันอื้อ (มีคลิป)
https://www.matichon.co.th/region/news_3849975
เกษตรกรโอด หมูราคาตก วอนรัฐดูแล แฉขายหน้าฟาร์ม-เขียงหมูราคาต่างกันอื้อ
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 เกษตรกรผู้เสียงหมูหลายรายในจังหวัดนครราชสีมา ได้รับผลกระทบหลังราคารับซื้อหมูหน้าฟาร์มราคาถูก โดยเฉพาะ นาย
สำราญ มอญกลาง อายุ 63 ปี เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายหนึ่งใน ตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา บอกว่า ตนเองมีอาชีพเลี้ยงหมูมานานกว่า 20 ปี แล้ว โดยในปีนี้ ได้ลงทุนเลี้ยงหมู จำนวน 18 ตัว ซึ่งต้องแบกรับภาระต้นทุนในการเลี้ยงหมูเฉลี่ยตัวละ 6,000 บาท จนกว่าหมูจะโตมีน้ำหนัก 100 กิโลกรัม ซึ่งพ่อค้าจะมารับซื้อหมูหน้าฟาร์มกิโลกรัมละ 85 บาท หรือ 100 กิโลกรัมเป็นเงิน 8,500 บาท หักลบค่าอาหารแล้วจะเหลือกำไรจากการขายหมูตัวละ 2,500 บาท ซึ่งนับว่าเป็นกำไรที่น้อยมากหากเปรียบเทียบกับระยะเวลาในการเลี้ยงหมูหลายเดือน เพราะกว่าหมูจะโตก็หมดค่าใช้จ่ายต่างๆมากมาย
ซึ่งปัจจุบันราคาอาหารหมูตกกระสอบละ 900 บาท จากเมื่อก่อนกระสอบละ 720 บาท จึงทำให้ต้นทุนในการเลี้ยงหมูสูงขึ้นหลายเท่าตัว แต่ราคาขายหน้าฟาร์มถูกมาก ตนเองจึงอยากให้ทางภาครัฐหรือพ่อค้าที่มารับซื้อหมูเห็นใจเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูด้วยเพราะต้นทุนในการเลี้ยงหมูในแต่ละครั้งสูงมาก ซึ่งราคารับซื้อหมูหน้าฟาร์มกับราคาขายเนื้อหมูหน้าเขียงราคาไม่สอดคล้องกัน
(คลิปอยู่ในข่าวครับ)
ประมงสตูลเดือด! รัฐเมินแก้ปัญหา นำเรือกว่า 70 ลำปิดปากอ่าว เรียกร้องแก้ปัญหาเขตทำประมงหลังหยุดเรือนับเดือน (มีคลิป)
https://www.matichon.co.th/region/news_3850002
ประมงสตูลเดือด! รัฐเมินแก้ปัญหา นำเรือกว่า 70 ลำปิดปากอ่าว เรียกร้องแก้ปัญหาเขตทำประมงหลังหยุดเรือนับเดือน
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ผู้สื่อรายงานว่าจากกรณีปัญหาเรือประมงขนาดเล็กเครื่องมือพาณิชย์ในพื้นที่ จ.สตูล ต้องหยุดเรือเนื่องจากในทะเลมีกฏหมายทับซ้อนกัน 2 ฉบับ คือกฏหมายประมงและกฏหมายอุทยานฯจนทำให้เรือประมงขนาดเล็กเครื่องมือพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดไม่เกิน 25 ตันกรอส นั้นไม่สามารถออกทำมาหากินได้ เนื่องจากไม่มีพื้นที่ในการทำประมง เพราะพื้นที่กฏหมาย 2 ฉบับทับซ้อนกันและพื้นที่จ.สตูล เป็นพื้นที่ที่มีเกาะแก่งมากมาย และเมื่อออกทำประมงก็เสี่ยงถูกจับ จนกระทั่งเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เรือประมงถูกจับไปแล้วจำนวน 27 ลำ และชาวประมงเรียกร้องให้ภาครัฐแก้ปัญหามาโดยตลอด แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้
และกระทั่งล่าสุดเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 ก.พ. 66 ทางกลุ่มเรือประมงฯตัดสินใจนำเรือปิดปากอ่าวบริเวณปากคลองปากบารา ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งแก้ปัญหา โดยมีการตั้งเต้นท์และนำเรือจากหลายพื้นที่ทั้ง อ.เมือง อ.ละงู และพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามาสมทบกว่า 100 ลำ ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขปัญหาจะยุติการเดินเรือเส้นทางดังกล่าวต่อไป ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเรือท่องเที่ยวและเรือทุกชนิดที่จะเข้าออกบริเวณดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ต่อมานาย
ชาตรี ณ ถลาง รองผวจ.สตูลพร้อมด้วยปลัดอ.ละงู ชุดสืบสวนสภ.ละงู ได้ลงไปดูในที่เกิดเหตุพร้อมขอต่อรอง เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่กำลังแก้ปัญหาให้ แต่จะรีบเร่งทันควันนั้นไม่ได้ และขอให้มีการเปิดเส้นทางเพื่อไม่ให้กระทบต่อกลุ่มประมงพื้นบ้านและเรือนักท่องเที่ยวที่เข้า-ออกในวันนี้ ซึ่งทางกลุ่มผู้เรียกร้องขอให้เร่งแก้ปัญหาเพราะเดือดร้อนจริงๆ
ด้านนายส
มบัติ พัทคง ชาวประมง กล่าวว่า พวกตนทำมาหากินกันอย่างสุจริตและยึดถือกฏหมายประมงมาตลอด ไม่ว่าออกกฏหมายอย่างไร แต่พวกเราเป็นเรือขนาดเล็กแต่มีเครื่องมือประมงพาณิชย์จึงเข้าข่ายประมงพาณิชย์หมด แต่เรือของเราไม่สามารถออกไปในทะเลลึกได้ เพราะไม่สามารถต้านคลื่นลมที่มีความสูงมากกว่า 2 เมตรได้ ออกเกิน 25 ไมล์เราก็เจอไหล่ทวีปแล้ว เราทำประมงตามกฏหมายมาตลอด แต่เมื่ออุทยานประกาศเขต 10 ไมล์ทะเล ซึ่งกฏหมาย 2 ตัวเขตทับซ้อนกันอยู่เราไม่มีที่ทำกินสำหรับเราเลย การนำเรือมาปิดปากอ่าวบริเวณร่องน้ำปากคลองปากบารา ก็เพื่อแสดงออกว่าให้ภาครัฐเร่งแก้ปัญหาให้เพราะเราทำกินไม่ได้เลย เดือดร้อนกันหมด
“
จึงอยากให้เห็นใจพวกเราบ้าง ต้องหยุดเรือนับเดือนออกไปแล้วก็ต้องถูกจับ มันหมดที่ทำมาหากินกันแล้วแบบนี้ ที่ผ่านมา เราไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร แต่หากภาครัฐยังนิ่งเฉยไม่เห็นใจพวกเรา ดังนั้นเราก็จำเป็นที่จะต้องปิดทั้งหมด โดยเรือที่ได้รับความเดือดร้อนมีประมาณ 400 ลำ และขณะนี้มีเรือจากอำเภอต่างๆ เข้ามาวบทบประมาณ 100 ลำ เพื่อร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ในครั้งนี้ด้วย” นาย
สมบัติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตามล่าสุดทางกลุ่มชาวประมงแจ้งว่า หากไม่มีการแก้ปัญหา พวกเขาอาจจะต้องปิดเส้นทางการเดินเรือทั้งหมดในช่วงหลัง 8โมงเช้าของวันที่ 1 มี.ค.66 ต่อไป
(คลิปอยู่ในข่าวครับ)
“เศรษฐา” โนคอมเมนต์ “ประยุทธ์” แซะประเทศไม่ใช่ธุรกิจ กั๊กตอบรับแคนดิเดตนายกฯ
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7536625
“เศรษฐา” กั๊กตอบรับแคนดิเดตนายกฯ พท. ชี้ต้องให้เกียรติคนในพรรค พร้อมแปะมือลงพื้นที่หาเสียงแทน “อิ๊งค์” โนคอมเมนต์ “ประยุทธ์” แซะประเทศไม่ใช่ธุรกิจ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 มี.ค.2566 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นาย
เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เดินทางเข้าพรรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการภายหลังได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งดังกล่าว โดยมี นาย
เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรค นาง
พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพฯ นาย
จักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค นาย
เผ่าภูมิ โรจนสกุล น.ส.
ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรค ให้การต้อนรับ
นาย
เศรษฐา กล่าวเปิดใจว่า ตนเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ได้มีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษา และพูดคุยกับผู้ใหญ่ภายในพรรคมาโดยตลอด วันนี้จึงเป็นฤกษ์ดีที่ถึงเวลาแล้วที่ต้องมาทำงานการเมืองให้มากขึ้น ส่วนการเดินหน้าทำการเมืองเพื่อรณรงค์ไปสู่การเลือกตั้ง ขอให้เป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งตลอดการหาเสียงช่วงที่ผ่านมา น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก็ทำได้ด้วยดีมาโดยตลอด แต่คนที่ตั้งครรภ์ 7 เดือนก็มีขีดจำกัด ส่วนตัวก็พร้อมที่จะมาช่วยในลักษณะที่ตนถนัด
เมื่อถามว่านี่คือก้าวแรกของการเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ นาย
เศรษฐา กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปถึงขั้นนั้นเลย ขอให้เป็นขั้นตอนเพราะยังมีอีกหลายเรื่อง ซึ่งต้องให้เกียรติสมาชิกพรรคพท.ด้วย โดยมีหลายท่านที่มีความเหมาะสม
เมื่อถามย้ำว่าหลายฝ่ายฟันธงไปแล้วว่านาย
เศรษฐาคือแคนดิเดตนายกฯ ไปแล้ว นาย
เศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ตนมาเป็นที่ปรึกษาให้ น.ส.
แพทองธาร มาช่วยเติมเต็มในส่วนที่คิดว่าจะช่วยประเทศชาติได้ หลังจากนี้จะไปช่วยหาเสียง ที่ผ่านมาเราทำธุรกิจก็อยู่แค่เมืองหลวงอย่างเดียว ซึ่งการลงพื้นที่ต่างจังหวัดเพื่อรับฟังความเห็นของประชาชนก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นการลงพื้นที่ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ตนไปทำ แต่ก็ต้องมีความเป็นตัวตนของตนด้วย และทำในสิ่งที่ตนเองถนัด
เมื่อถามว่าในช่วงสุดสัปดาห์นี้ที่พรรคพท.จะเปิดเวทีปราศรัยที่ จ.นครราชสีมา บุรีรัมย์และสุรินทร์นั้น จะไปร่วมลงพื้นที่ด้วยหรือไม่ นาย
เศรษฐา กล่าวว่า ขออนุญาตคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคก่อน ตนพร้อมจะลงพื้นที่หากผู้ใหญ่มอบหมาย และขึ้นกับว่าทางพรรคจะให้ทำอะไรบ้าง ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป
เมื่อถามว่าการเข้ามาในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 เดือนก่อนการเลือกตั้ง เป็นช่วงที่กระชั้นชิดไปหรือไม่ นาย
เศรษฐา กล่าวว่า หากถามว่ากระชั้นไปหรือเปล่านั้น ตนเชื่อว่าพรรคพท.มีนโยบายที่เหมาะสม เข้าถึงประชาชนได้ มีนโยบายภาพใหญ่ที่ดีและทำได้จริง เมื่อเวลากระชั้นเข้ามาก็ต้องทำงานให้หนักขึ้น และเรามีทีมงานที่พร้อมจะทำงานอยู่แล้ว
เมื่อถามว่านาย
เศรษฐาจะนำทัพเดินสายหาเสียงทั่วประเทศเลยใช่หรือไม่ นาย
เศรษฐา กล่าวว่า อย่าใช้คำว่านำทัพเลย เพราะยังมีผู้ใหญ่อีกหลายท่าน และมีคนที่มีคุณภาพเยอะ ขอให้เข้ามาช่วยกันดีกว่า
เมื่อถามต่อว่าหากคณะกรรมการรบริหารเสนอให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพท.พร้อมจะรับหรือไม่ นาย
เศรษฐา กล่าวว่า ขอให้ถึงวันนั้นก่อนดีกว่า ต้องให้เกียรติ หากไปพูดก่อนจะเป็นการกดดันคนอื่นที่มีศักยภาพ ตนเป็นน้องใหม่ ยังมีผู้ใหญ่หลายท่านที่มีคุณภาพ
เมื่อถามย้ำว่าขณะนี้พร้อมแล้วหรือไม่ นาย
เศรษฐา กล่าวว่า จะพร้อมหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องพูด เป็นระบอบพรรคการเมือง เราไม่ใช่คนตัดสิน ต้องให้เกียรติผู้บริหารพรรคด้วย ทที่สำคัญขณะนี้ยังไม่ยุบสภาฯ ขอทำหน้าที่ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก่อน ในฐานะที่มีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจมากว่า 30 ปี ตนจะขอทำให้เต็มที่จนถึงที่สุด หวังว่าขอเสนอแนะของตนจะเป็นประโยชน์พรรคการเมือง
เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ระบุว่าประเทศชาติไม่ใช่ธุรกิจ นายเศรษฐา กล่าวว่า ท่านเองก็เป็นผู้ใหญ่ ท่านพูดอะไร ตนมีวัยวุฒิและประสบการณ์การเมืองที่น้อยกว่า ตนคิดว่าที่ท่านพูดอะไรออกมาตนก็ฟัง ไม่มีคอมเมนต์อะไรมากกว่านี้
JJNY : โอดหมูราคาตก│ประมงสตูลเดือด!รัฐเมินแก้│“เศรษฐา”โนคอมเมนต์“ประยุทธ์”แซะ│ฟินแลนด์เริ่มสร้างกำแพงกั้นชายแดนรัสเซีย
https://www.matichon.co.th/region/news_3849975
เกษตรกรโอด หมูราคาตก วอนรัฐดูแล แฉขายหน้าฟาร์ม-เขียงหมูราคาต่างกันอื้อ
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 เกษตรกรผู้เสียงหมูหลายรายในจังหวัดนครราชสีมา ได้รับผลกระทบหลังราคารับซื้อหมูหน้าฟาร์มราคาถูก โดยเฉพาะ นายสำราญ มอญกลาง อายุ 63 ปี เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายหนึ่งใน ตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา บอกว่า ตนเองมีอาชีพเลี้ยงหมูมานานกว่า 20 ปี แล้ว โดยในปีนี้ ได้ลงทุนเลี้ยงหมู จำนวน 18 ตัว ซึ่งต้องแบกรับภาระต้นทุนในการเลี้ยงหมูเฉลี่ยตัวละ 6,000 บาท จนกว่าหมูจะโตมีน้ำหนัก 100 กิโลกรัม ซึ่งพ่อค้าจะมารับซื้อหมูหน้าฟาร์มกิโลกรัมละ 85 บาท หรือ 100 กิโลกรัมเป็นเงิน 8,500 บาท หักลบค่าอาหารแล้วจะเหลือกำไรจากการขายหมูตัวละ 2,500 บาท ซึ่งนับว่าเป็นกำไรที่น้อยมากหากเปรียบเทียบกับระยะเวลาในการเลี้ยงหมูหลายเดือน เพราะกว่าหมูจะโตก็หมดค่าใช้จ่ายต่างๆมากมาย
ซึ่งปัจจุบันราคาอาหารหมูตกกระสอบละ 900 บาท จากเมื่อก่อนกระสอบละ 720 บาท จึงทำให้ต้นทุนในการเลี้ยงหมูสูงขึ้นหลายเท่าตัว แต่ราคาขายหน้าฟาร์มถูกมาก ตนเองจึงอยากให้ทางภาครัฐหรือพ่อค้าที่มารับซื้อหมูเห็นใจเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูด้วยเพราะต้นทุนในการเลี้ยงหมูในแต่ละครั้งสูงมาก ซึ่งราคารับซื้อหมูหน้าฟาร์มกับราคาขายเนื้อหมูหน้าเขียงราคาไม่สอดคล้องกัน
(คลิปอยู่ในข่าวครับ)
ประมงสตูลเดือด! รัฐเมินแก้ปัญหา นำเรือกว่า 70 ลำปิดปากอ่าว เรียกร้องแก้ปัญหาเขตทำประมงหลังหยุดเรือนับเดือน (มีคลิป)
https://www.matichon.co.th/region/news_3850002
ประมงสตูลเดือด! รัฐเมินแก้ปัญหา นำเรือกว่า 70 ลำปิดปากอ่าว เรียกร้องแก้ปัญหาเขตทำประมงหลังหยุดเรือนับเดือน
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ผู้สื่อรายงานว่าจากกรณีปัญหาเรือประมงขนาดเล็กเครื่องมือพาณิชย์ในพื้นที่ จ.สตูล ต้องหยุดเรือเนื่องจากในทะเลมีกฏหมายทับซ้อนกัน 2 ฉบับ คือกฏหมายประมงและกฏหมายอุทยานฯจนทำให้เรือประมงขนาดเล็กเครื่องมือพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดไม่เกิน 25 ตันกรอส นั้นไม่สามารถออกทำมาหากินได้ เนื่องจากไม่มีพื้นที่ในการทำประมง เพราะพื้นที่กฏหมาย 2 ฉบับทับซ้อนกันและพื้นที่จ.สตูล เป็นพื้นที่ที่มีเกาะแก่งมากมาย และเมื่อออกทำประมงก็เสี่ยงถูกจับ จนกระทั่งเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เรือประมงถูกจับไปแล้วจำนวน 27 ลำ และชาวประมงเรียกร้องให้ภาครัฐแก้ปัญหามาโดยตลอด แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้
และกระทั่งล่าสุดเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 ก.พ. 66 ทางกลุ่มเรือประมงฯตัดสินใจนำเรือปิดปากอ่าวบริเวณปากคลองปากบารา ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งแก้ปัญหา โดยมีการตั้งเต้นท์และนำเรือจากหลายพื้นที่ทั้ง อ.เมือง อ.ละงู และพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามาสมทบกว่า 100 ลำ ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขปัญหาจะยุติการเดินเรือเส้นทางดังกล่าวต่อไป ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเรือท่องเที่ยวและเรือทุกชนิดที่จะเข้าออกบริเวณดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ต่อมานายชาตรี ณ ถลาง รองผวจ.สตูลพร้อมด้วยปลัดอ.ละงู ชุดสืบสวนสภ.ละงู ได้ลงไปดูในที่เกิดเหตุพร้อมขอต่อรอง เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่กำลังแก้ปัญหาให้ แต่จะรีบเร่งทันควันนั้นไม่ได้ และขอให้มีการเปิดเส้นทางเพื่อไม่ให้กระทบต่อกลุ่มประมงพื้นบ้านและเรือนักท่องเที่ยวที่เข้า-ออกในวันนี้ ซึ่งทางกลุ่มผู้เรียกร้องขอให้เร่งแก้ปัญหาเพราะเดือดร้อนจริงๆ
ด้านนายสมบัติ พัทคง ชาวประมง กล่าวว่า พวกตนทำมาหากินกันอย่างสุจริตและยึดถือกฏหมายประมงมาตลอด ไม่ว่าออกกฏหมายอย่างไร แต่พวกเราเป็นเรือขนาดเล็กแต่มีเครื่องมือประมงพาณิชย์จึงเข้าข่ายประมงพาณิชย์หมด แต่เรือของเราไม่สามารถออกไปในทะเลลึกได้ เพราะไม่สามารถต้านคลื่นลมที่มีความสูงมากกว่า 2 เมตรได้ ออกเกิน 25 ไมล์เราก็เจอไหล่ทวีปแล้ว เราทำประมงตามกฏหมายมาตลอด แต่เมื่ออุทยานประกาศเขต 10 ไมล์ทะเล ซึ่งกฏหมาย 2 ตัวเขตทับซ้อนกันอยู่เราไม่มีที่ทำกินสำหรับเราเลย การนำเรือมาปิดปากอ่าวบริเวณร่องน้ำปากคลองปากบารา ก็เพื่อแสดงออกว่าให้ภาครัฐเร่งแก้ปัญหาให้เพราะเราทำกินไม่ได้เลย เดือดร้อนกันหมด
“จึงอยากให้เห็นใจพวกเราบ้าง ต้องหยุดเรือนับเดือนออกไปแล้วก็ต้องถูกจับ มันหมดที่ทำมาหากินกันแล้วแบบนี้ ที่ผ่านมา เราไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร แต่หากภาครัฐยังนิ่งเฉยไม่เห็นใจพวกเรา ดังนั้นเราก็จำเป็นที่จะต้องปิดทั้งหมด โดยเรือที่ได้รับความเดือดร้อนมีประมาณ 400 ลำ และขณะนี้มีเรือจากอำเภอต่างๆ เข้ามาวบทบประมาณ 100 ลำ เพื่อร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ในครั้งนี้ด้วย” นายสมบัติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตามล่าสุดทางกลุ่มชาวประมงแจ้งว่า หากไม่มีการแก้ปัญหา พวกเขาอาจจะต้องปิดเส้นทางการเดินเรือทั้งหมดในช่วงหลัง 8โมงเช้าของวันที่ 1 มี.ค.66 ต่อไป
(คลิปอยู่ในข่าวครับ)
“เศรษฐา” โนคอมเมนต์ “ประยุทธ์” แซะประเทศไม่ใช่ธุรกิจ กั๊กตอบรับแคนดิเดตนายกฯ
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7536625
“เศรษฐา” กั๊กตอบรับแคนดิเดตนายกฯ พท. ชี้ต้องให้เกียรติคนในพรรค พร้อมแปะมือลงพื้นที่หาเสียงแทน “อิ๊งค์” โนคอมเมนต์ “ประยุทธ์” แซะประเทศไม่ใช่ธุรกิจ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 มี.ค.2566 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เดินทางเข้าพรรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการภายหลังได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งดังกล่าว โดยมี นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรค นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพฯ นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรค ให้การต้อนรับ
นายเศรษฐา กล่าวเปิดใจว่า ตนเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ได้มีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษา และพูดคุยกับผู้ใหญ่ภายในพรรคมาโดยตลอด วันนี้จึงเป็นฤกษ์ดีที่ถึงเวลาแล้วที่ต้องมาทำงานการเมืองให้มากขึ้น ส่วนการเดินหน้าทำการเมืองเพื่อรณรงค์ไปสู่การเลือกตั้ง ขอให้เป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งตลอดการหาเสียงช่วงที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก็ทำได้ด้วยดีมาโดยตลอด แต่คนที่ตั้งครรภ์ 7 เดือนก็มีขีดจำกัด ส่วนตัวก็พร้อมที่จะมาช่วยในลักษณะที่ตนถนัด
เมื่อถามว่านี่คือก้าวแรกของการเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปถึงขั้นนั้นเลย ขอให้เป็นขั้นตอนเพราะยังมีอีกหลายเรื่อง ซึ่งต้องให้เกียรติสมาชิกพรรคพท.ด้วย โดยมีหลายท่านที่มีความเหมาะสม
เมื่อถามย้ำว่าหลายฝ่ายฟันธงไปแล้วว่านายเศรษฐาคือแคนดิเดตนายกฯ ไปแล้ว นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ตนมาเป็นที่ปรึกษาให้ น.ส.แพทองธาร มาช่วยเติมเต็มในส่วนที่คิดว่าจะช่วยประเทศชาติได้ หลังจากนี้จะไปช่วยหาเสียง ที่ผ่านมาเราทำธุรกิจก็อยู่แค่เมืองหลวงอย่างเดียว ซึ่งการลงพื้นที่ต่างจังหวัดเพื่อรับฟังความเห็นของประชาชนก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นการลงพื้นที่ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ตนไปทำ แต่ก็ต้องมีความเป็นตัวตนของตนด้วย และทำในสิ่งที่ตนเองถนัด
เมื่อถามว่าในช่วงสุดสัปดาห์นี้ที่พรรคพท.จะเปิดเวทีปราศรัยที่ จ.นครราชสีมา บุรีรัมย์และสุรินทร์นั้น จะไปร่วมลงพื้นที่ด้วยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขออนุญาตคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคก่อน ตนพร้อมจะลงพื้นที่หากผู้ใหญ่มอบหมาย และขึ้นกับว่าทางพรรคจะให้ทำอะไรบ้าง ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป
เมื่อถามว่าการเข้ามาในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 เดือนก่อนการเลือกตั้ง เป็นช่วงที่กระชั้นชิดไปหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า หากถามว่ากระชั้นไปหรือเปล่านั้น ตนเชื่อว่าพรรคพท.มีนโยบายที่เหมาะสม เข้าถึงประชาชนได้ มีนโยบายภาพใหญ่ที่ดีและทำได้จริง เมื่อเวลากระชั้นเข้ามาก็ต้องทำงานให้หนักขึ้น และเรามีทีมงานที่พร้อมจะทำงานอยู่แล้ว
เมื่อถามว่านายเศรษฐาจะนำทัพเดินสายหาเสียงทั่วประเทศเลยใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า อย่าใช้คำว่านำทัพเลย เพราะยังมีผู้ใหญ่อีกหลายท่าน และมีคนที่มีคุณภาพเยอะ ขอให้เข้ามาช่วยกันดีกว่า
เมื่อถามต่อว่าหากคณะกรรมการรบริหารเสนอให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพท.พร้อมจะรับหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอให้ถึงวันนั้นก่อนดีกว่า ต้องให้เกียรติ หากไปพูดก่อนจะเป็นการกดดันคนอื่นที่มีศักยภาพ ตนเป็นน้องใหม่ ยังมีผู้ใหญ่หลายท่านที่มีคุณภาพ
เมื่อถามย้ำว่าขณะนี้พร้อมแล้วหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า จะพร้อมหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องพูด เป็นระบอบพรรคการเมือง เราไม่ใช่คนตัดสิน ต้องให้เกียรติผู้บริหารพรรคด้วย ทที่สำคัญขณะนี้ยังไม่ยุบสภาฯ ขอทำหน้าที่ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก่อน ในฐานะที่มีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจมากว่า 30 ปี ตนจะขอทำให้เต็มที่จนถึงที่สุด หวังว่าขอเสนอแนะของตนจะเป็นประโยชน์พรรคการเมือง
เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ระบุว่าประเทศชาติไม่ใช่ธุรกิจ นายเศรษฐา กล่าวว่า ท่านเองก็เป็นผู้ใหญ่ ท่านพูดอะไร ตนมีวัยวุฒิและประสบการณ์การเมืองที่น้อยกว่า ตนคิดว่าที่ท่านพูดอะไรออกมาตนก็ฟัง ไม่มีคอมเมนต์อะไรมากกว่านี้