***คำเตือน*** จขกท. ปากหมากรุณาอย่าถือสาภาษาที่ใช้ตอบคอมเม้นท์
เรื่องราวเกี่ยวกับ นิมิต ที่เราจะบอกเล่าในวันนี้ ค่อนข้างจะแปลกมาก สิ่งที่เราเห็นใน นิมิต นั้น เราเห็นตัวเองเป็นแค่ ดวงไฟดวงนึง ที่ส่องประกายรัศมีออกมาเป็นเส้นวงกลม
ซึ่งวงกลมทุกเส้นจะมีจุดกำเนิด จุดเดียวกัน มันเหมือนกับเราอยู่บนจุดที่เป็นต้นกำเนิดของวงกลมทุกเส้นที่ลากผ่านตัวเราและรัศมีของวงกลมเหล่านั้นก็แผ่ขยายออกไป กว้างขึ้น กว้างขึ้น และกว้างขึ้นเรื่อยๆ
แต่ไม่ว่าวงกลมแต่ละเส้นจะมีรัศมีกว้างออกไปไกลเท่าไหร่ วงกลมทุกเส้นจะกลับมาที่จุดเริ่มต้น ที่จุดเดิม คือจุดที่เราอยู่ ณ ตอนแรกทุกวง
ในความคิดที่เป็น นิมิต นั้นของเรา เราเหมือนกำลังมองจุดที่เราอยู่ แล้วเราก็เห็นวงกลมรัศมีที่เริ่มต้นจากเส้นเล็กๆ วงเล็กๆและกว้างออกไป กว้างออกไป
เราเหมือนกำลังเคลื่อนผ่านตัดกลางของเส้นรัศมีวงกลมเหล่านั้น ไปทีละเส้น ทีละเส้น ที่แต่ละเส้นมีจุดกำเนิดและจุดจบ จุดเดียวกัน คือจุดที่เราอยู่ในตอนแรกและในแต่ละเส้นรัศมีวงกลมที่เราเคลื่อนผ่าน เราจะเห็นว่าในรัศมีนั้นๆ เป็นเหมือนคลังความรู้เรื่องนึงๆ
ที่เราสามารถเข้าถึงได้เลย เหมือนกับว่าเราสามารถ อัพโหลดความรู้เหล่านั้นเข้าสมองเราได้โดยตรง ยังไงอย่างนั้น และความรู้ที่อยู่ในรัศมีวงกลมนั้นๆ มันเป็นเหมือน สมการ มีเหตุมีผล สามารถพิสูจน์ได้ สมบูรณ์และเป็นความจริง
ซึ่งในความคิดของเรา ถ้าเราเลือกเฉพาะเจาะจงที่จะ พิสูจน์ สมการ พวกนั้นสักแขนงนึงๆ เราเชื่อแน่เหลือเกินว่าเราสามารถ แสดงวิธีหาคำตอบโดยการแทนค่าตัวแปรจากสิ่งที่เรารู้มาจากใน นิมิต นั้นได้
แต่เรากลับเคลื่อนผ่านมันไปตรงๆ โดยไม่ได้คิดสนใจ คิดไขว่คว้า ไปยึดเอาความรู้เหล่านั้น มาสักแขนงนึงเลย เหมือนกับเราได้เข้าไปอยู่ในคลังแสงที่มีทองมากมายเป็นชั้นๆ แต่เราทำได้แค่เคลื่อนผ่านมันไปเท่านั้น
ทำได้แค่รู้ แค่เห็น ว่ามันมีทอง มีของมีค่าอยู่ที่นั่น อยู่ในนั้น แต่เราไม่ได้หยิบ ไม่ได้จับเอาอะไรไปเลย และอีกอย่างที่เราเห็นคือความรู้ทุกอย่าง ทุกสิ่งที่เราเห็นใน นิมิต นั้นเกี่ยวข้องกับ สมการ ทั้งหมด
พูดง่ายๆคือ เราสามารถหาคำตอบจากทุกคำถาม อธิบายที่มาที่ไปของทุกอย่างได้ ด้วย สมการ แต่เราไม่สามารถ มาอธิบายเรื่อง สมการ ให้ใครเข้าใจตามเราได้ เพราะมันค่อยข้างที่จะต้องใช้เวลาในการเรียบเรียง
และเราก็ไม่ได้หยุดอยู่ ณ จุดใดจุดนึงเช่นกัน เราเคลื่อนตัดผ่านรัศมีวงกลมพวกนั้นไปเรื่อยๆ และไปรับเอาสิ่งใหม่เข้ามาในหัวอยู่ตลอด มันจึงทับถม ทับซ้อนกันอยู่ในสมองเรา จนเราไม่สามารถโฟกัสที่เรื่องใดเรื่องนึงเพื่อเรียบเรียงมาบอกเล่าแก่คนอื่นได้
เหมือนเราจะไปหยุด หรือยึดมันไว้ไม่ได้ จำเป็นต้องปล่อยผ่านมันไป และทำได้แค่เฝ้าดูมันเท่านั้นเอง เราไม่รู้ว่าวงกลมเหล่านี้จะแผ่ขยายออกไปกว้างเท่าไหร่ แต่ที่เราเห็นคือ เรายังคงเคลื่อนผ่านมันไป แค่นั้น
และใน นิมิต นี้ของเรา เราไม่ได้เห็น ดวงไฟบนจุดที่เราอยู่เท่านั้น เราเห็นแสงที่เหมือนหลอดไฟกระจายอยู่มากมาย เหมือนกับเห็นแสงดาวบนท้องฟ้า แต่จุดที่เราเห็น คล้ายกับเราอยู่บนฟ้า และมีดวงดาวที่ส่องแสงกระจายอยู่รอบๆตัวเราเต็มไปหมด
ซึ่งบางดวงก็มีแสงรัศมีออกมา บางดวงแต่สว่าง บางดวงสว่างมาก บางดวงสว่างน้อย แต่ทุกดวงจะมีแสงในตัวเอง ถ้าให้เราคิดเอาเอง เราคิดว่าแสงเหล่านั้นน่าจะเป็นแสงจากดวงจิต ที่อยู่ภายใน
แต่จะใช่หรือไม่ เราเองก็ไม่รู้
เพราะเราเป็นแค่ผู้รู้เห็น เราไม่ใช่ผู้รู้จริง
เราเห็นอะไร เห็นเป็นอย่างไร เราจะอธิบาย จะบอกไป ตามที่เราเห็น ส่วนสิ่งที่เราเห็น จะเป็นอะไร เป็นจริงหรือไม่ เราก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้
และเราไม่ก็ไม่ได้อยากรู้ อยากเห็น อยากหาคำตอบอะไร
เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 29
เรื่องราวเกี่ยวกับ นิมิต ที่เราจะบอกเล่าในวันนี้ ค่อนข้างจะแปลกมาก สิ่งที่เราเห็นใน นิมิต นั้น เราเห็นตัวเองเป็นแค่ ดวงไฟดวงนึง ที่ส่องประกายรัศมีออกมาเป็นเส้นวงกลม
ซึ่งวงกลมทุกเส้นจะมีจุดกำเนิด จุดเดียวกัน มันเหมือนกับเราอยู่บนจุดที่เป็นต้นกำเนิดของวงกลมทุกเส้นที่ลากผ่านตัวเราและรัศมีของวงกลมเหล่านั้นก็แผ่ขยายออกไป กว้างขึ้น กว้างขึ้น และกว้างขึ้นเรื่อยๆ
แต่ไม่ว่าวงกลมแต่ละเส้นจะมีรัศมีกว้างออกไปไกลเท่าไหร่ วงกลมทุกเส้นจะกลับมาที่จุดเริ่มต้น ที่จุดเดิม คือจุดที่เราอยู่ ณ ตอนแรกทุกวง
ในความคิดที่เป็น นิมิต นั้นของเรา เราเหมือนกำลังมองจุดที่เราอยู่ แล้วเราก็เห็นวงกลมรัศมีที่เริ่มต้นจากเส้นเล็กๆ วงเล็กๆและกว้างออกไป กว้างออกไป
เราเหมือนกำลังเคลื่อนผ่านตัดกลางของเส้นรัศมีวงกลมเหล่านั้น ไปทีละเส้น ทีละเส้น ที่แต่ละเส้นมีจุดกำเนิดและจุดจบ จุดเดียวกัน คือจุดที่เราอยู่ในตอนแรกและในแต่ละเส้นรัศมีวงกลมที่เราเคลื่อนผ่าน เราจะเห็นว่าในรัศมีนั้นๆ เป็นเหมือนคลังความรู้เรื่องนึงๆ
ที่เราสามารถเข้าถึงได้เลย เหมือนกับว่าเราสามารถ อัพโหลดความรู้เหล่านั้นเข้าสมองเราได้โดยตรง ยังไงอย่างนั้น และความรู้ที่อยู่ในรัศมีวงกลมนั้นๆ มันเป็นเหมือน สมการ มีเหตุมีผล สามารถพิสูจน์ได้ สมบูรณ์และเป็นความจริง
ซึ่งในความคิดของเรา ถ้าเราเลือกเฉพาะเจาะจงที่จะ พิสูจน์ สมการ พวกนั้นสักแขนงนึงๆ เราเชื่อแน่เหลือเกินว่าเราสามารถ แสดงวิธีหาคำตอบโดยการแทนค่าตัวแปรจากสิ่งที่เรารู้มาจากใน นิมิต นั้นได้
แต่เรากลับเคลื่อนผ่านมันไปตรงๆ โดยไม่ได้คิดสนใจ คิดไขว่คว้า ไปยึดเอาความรู้เหล่านั้น มาสักแขนงนึงเลย เหมือนกับเราได้เข้าไปอยู่ในคลังแสงที่มีทองมากมายเป็นชั้นๆ แต่เราทำได้แค่เคลื่อนผ่านมันไปเท่านั้น
ทำได้แค่รู้ แค่เห็น ว่ามันมีทอง มีของมีค่าอยู่ที่นั่น อยู่ในนั้น แต่เราไม่ได้หยิบ ไม่ได้จับเอาอะไรไปเลย และอีกอย่างที่เราเห็นคือความรู้ทุกอย่าง ทุกสิ่งที่เราเห็นใน นิมิต นั้นเกี่ยวข้องกับ สมการ ทั้งหมด
พูดง่ายๆคือ เราสามารถหาคำตอบจากทุกคำถาม อธิบายที่มาที่ไปของทุกอย่างได้ ด้วย สมการ แต่เราไม่สามารถ มาอธิบายเรื่อง สมการ ให้ใครเข้าใจตามเราได้ เพราะมันค่อยข้างที่จะต้องใช้เวลาในการเรียบเรียง
และเราก็ไม่ได้หยุดอยู่ ณ จุดใดจุดนึงเช่นกัน เราเคลื่อนตัดผ่านรัศมีวงกลมพวกนั้นไปเรื่อยๆ และไปรับเอาสิ่งใหม่เข้ามาในหัวอยู่ตลอด มันจึงทับถม ทับซ้อนกันอยู่ในสมองเรา จนเราไม่สามารถโฟกัสที่เรื่องใดเรื่องนึงเพื่อเรียบเรียงมาบอกเล่าแก่คนอื่นได้
เหมือนเราจะไปหยุด หรือยึดมันไว้ไม่ได้ จำเป็นต้องปล่อยผ่านมันไป และทำได้แค่เฝ้าดูมันเท่านั้นเอง เราไม่รู้ว่าวงกลมเหล่านี้จะแผ่ขยายออกไปกว้างเท่าไหร่ แต่ที่เราเห็นคือ เรายังคงเคลื่อนผ่านมันไป แค่นั้น
และใน นิมิต นี้ของเรา เราไม่ได้เห็น ดวงไฟบนจุดที่เราอยู่เท่านั้น เราเห็นแสงที่เหมือนหลอดไฟกระจายอยู่มากมาย เหมือนกับเห็นแสงดาวบนท้องฟ้า แต่จุดที่เราเห็น คล้ายกับเราอยู่บนฟ้า และมีดวงดาวที่ส่องแสงกระจายอยู่รอบๆตัวเราเต็มไปหมด
ซึ่งบางดวงก็มีแสงรัศมีออกมา บางดวงแต่สว่าง บางดวงสว่างมาก บางดวงสว่างน้อย แต่ทุกดวงจะมีแสงในตัวเอง ถ้าให้เราคิดเอาเอง เราคิดว่าแสงเหล่านั้นน่าจะเป็นแสงจากดวงจิต ที่อยู่ภายใน
แต่จะใช่หรือไม่ เราเองก็ไม่รู้
เพราะเราเป็นแค่ผู้รู้เห็น เราไม่ใช่ผู้รู้จริง
เราเห็นอะไร เห็นเป็นอย่างไร เราจะอธิบาย จะบอกไป ตามที่เราเห็น ส่วนสิ่งที่เราเห็น จะเป็นอะไร เป็นจริงหรือไม่ เราก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้
และเราไม่ก็ไม่ได้อยากรู้ อยากเห็น อยากหาคำตอบอะไร