นิยายเรื่องนี้ ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์มิให้นำไปเผยแพร่ในทุกช่องทาง
ตรัยโศก ณ ริมน่าน
ตอนที่2 ชบาผู้น่าสงสาร(2.2)
ว่าแล้วจันทร์ทาก็จ้ำพรวดตรงไปยังดอนหินปูนตรงหน้าทันที ข้าพเจ้าหันกลับไปมองเพื่อนทหารคนอื่น ๆ เพื่อขอคำปรึกษา สายตาและท่าทางยักไหล่ของแต่ละคนเป็นคำตอบที่ชัดเจนกว่าการพูดว่า
‘คุณมืงเป็นหัวหน้า คุณมืงตัดสินใจเอาเลยครับผม’
“เอาวะ! มาถึงนี่แล้วก็ไม่มีทางเลือก” ข้าพเจ้าบ่นกับตัวเอง ลุกขึ้นแล้วก้าวฉับ ๆ ตามหลังจันท์ทาที่ทิ้งห่างไปพอสมควร
“นาย! อย่าเพิ่งเข้ามา!!!” จันทร์ทาตะโกนบอกดังลั่นพร้อมกับรั้งตัวเองถอยหลังจนสะดุดหงายท้อง
แรกทีเดียวข้าพเจ้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ อะไร? เดี๋ยวบอกให้ตามไป เดี๋ยวบอกว่าอย่าเพิ่ง จนเมื่อได้ยินเสียงคำรามลั่นก้องสะท้อนออกมาจากภายในโถงใต้เงื้อมหิน พร้อมกับร่างของนักล่าลายเหลืองดำกระโจนพรวดออกมานั่นล่ะจึงตระหนักถึง
ปืนในมือของข้าพเจ้าตวัดขึ้นปลดเซฟเล็งอย่างประณีตวาดตามร่างที่ลอยคว้างอย่างสง่างาม กระทั่งมันลงพื้นนิ้วของข้าพเจ้าก็รั้งไกปืนเข้าหาตัว
เปรี้ยง! กระสุนนัดนั้นแม่นเหมือนจับวาง จริงอยู่เองข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่าจะยิงสัตว์สักตัวให้ล้มหรือสิ้นฤทธิ์ เป้าใหญ่อันควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือซอกขาหน้า แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถทำได้ในเวลานี้
ตอนฝึกทหารเป้ากระดาษระยะยี่สิบห้าหลาหรือไกลกว่านั้น ข้าพเจ้าทำได้ดี แต่เหยื่อกระสุนคราวนี้มิได้อยู่นิ่งรอให้ยิง มันเคลื่อนไหวฉับไว ฉะนั้น ยิงโดนขาหลังก็นับว่าบุญหัวแล้ว
ทว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าวาดไว้ในใจกลับตาลปัตร แทนที่จะเห็นเสือโคร่งตัวนั้นร้องลั่นดิ้นพลาด ๆ เพราะกระสุนปืนของข้าพเจ้าอานุภาพก็ไม่ใช่ย่อย ๆ กลับกลายเป็นว่าบั้นท้ายมันมีอาการสะบัดเพียงเล็กน้อย เลือดไม่มีกระเซ็นสักหยด ซ้ำยังหันหน้ามามองพวกเราขู่คำรามแล้วกระโจนหนีไป
“เกิดอะไรขึ้นจันทร์ทา? ไหนว่าไอ้เสือเวรตะไรนั่นไม่อยู่กับศพไม่ใช่รึ?”
“ฉันคาดผิดไปนาย” จันทร์ทาตอบ “มันฉลาด มันรู้ว่าเรามา มันรอขย้ำเราอยู่ มันรอจังหวะ มัน...ไม่ใช่เสือธรรมดา! ตอนฉันเห็นมันตอนแรก มันไม่ใช่เสือแต่...!!”
‘สิ่งที่คร่อมร่างพี่ชายฉันเอาไว้ไม่ใช่เสือแต่เป็นคน เป็นผู้หญิง แก้ผ้าแก้ผ่อนไม่อายผีสางเทวดา เนื้อตัวเจ้าหล่อนขาวโพลนปานหยวกกล้วย แต่มีริ้วรอยคาดดำเต็มพรืดไปหมด มันเป็นรอยสักหรืออักขระเลขยันต์อะไรสักอย่าง’
คำพูดของจันทร์แล่นปราดเข้ามาในหัวของข้าพเจ้า เรื่องราวเมื่อครั้งที่เขาบุกเดี่ยวอย่างห้าวหาญไปช่วยพี่ชายแล้วได้พบกับสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้บนโลกนี้แก่ตาตนเอง
“หรือว่า...”
“จริงอย่างที่จันทร์ทามันบอกครับผู้กอง” ลิ้นข้าพเจ้ายังไม่ทันเข้าปาก คำถามยังค้างเติ่งไม่จบดี จ่าหาญก็ร้องบอก เขาไปอยู่ยังจุดที่เสือใหญ่ตัวนั้นกระโจนลงพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
“จ่าหมายความว่ายังไง?” ข้าพเจ้าตั้งกระทู้ทันที ความจริงในใจอยากจะถามว่าไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน ไม่ใช่ว่าจันทร์ทามันเมาแดดเลยเห็นเสือเป็นอย่างอื่นไปหรือ? จ่าหาญกวักมือเรียกข้าพเจ้าไปหา กางมือออกวางทาบกับพื้นดินข้าง ๆ รอยเท้าที่มันทิ้งไว้
“ดูสิครับผู้กอง รอยตีนขนาดนี้มีไม่ต่ำกว่าเก้าศอก ดีไม่ดีโดดไปถึงสิบ สิบเอ็ดศอกโน่นกระมัง แล้วสังเกตดูนะครับ ถ้าเป็นเสือทั่วไปรอยบุ๋มของนิ้วจะมีแค่สี่ แต่ไอ้ตัวนี้มีห้า อีกอย่าง ผู้กองก็เห็นกับตาแล้วว่ายิงไม่มันเข้า ไม่ใช่พลาดแต่โดนจัง ๆ มันทิ้งไว้แต่รอยตีนกับกระจุกขน เสือโลกไหนทำได้แบบนี้บ้างล่ะครับ?”
ว่าแล้วจ่าหาญก็หันไปถามจันทร์ทา คาดคั้นจะเอารายละเอียดเพื่อเสริมความมั่นใจ
“เมื่อครู่ที่บอกว่าเห็นมันเป็นอย่างอื่นก่อนจะเป็นเสือ เอ็งเห็นมันเป็นอะไร? คน? หรือสัตว์อย่างอื่น?”
“คนนาย...ซ้ำยังเป็นคนที่ฉันรู้จักด้วย”
จ่าหาญลุกขึ้นเดินไปหาพรานหนุ่มตั้งกระทู้ถามอีกข้อด้วยอาการจริงจัง “ใคร?”
“ตามี พรานคนหนึ่งในหมู่บ้าน หายเข้าป่าไปร่วมอาทิตย์ เมื่อสามวันก่อน ชบาลูกสาวของแกอดรนทนไม่ไหวเลยออกจากหมู่บ้านมาตามหาเอง”
“แล้วเจอมั้ย?” จ่าหาญถามอีก ในใจข้าพเจ้าพึมพำว่า ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย
“ชบามันแอบหนีออกไปตอนเช้า อาศัยว่าเป็นคนบ้านนี้เลยไม่กลัวหลงป่ากระมัง แต่มันคิดสั้นไป คิดสั้นตามประสาลูกสาวที่มีพ่อเป็นทุกอย่างในชีวิต ป่าแห่งนี้ไม่ได้ใจดีให้ความปราณีแก่ใครทั้งนั้น พอตกบ่ายแก่วันเดียวกัน ศพตามีก็ถูกหามกลับเข้าหมู่บ้านโดยบรรดาพรานที่ไม่นิ่งนอนใจ แต่มันสายไปแล้ว...อีชบามันออกไปก่อนหน้า แล้วก็ไม่รู้ว่ามันไปทางไหนด้วยถึงได้คลาดกัน”
ความเงียบงันอึดอัดเข้าครอบงำทั่วอาณาบริเวณอยู่พักใหญ่ ข้าพเจ้าเชื่อว่า นอกจากตัวจันทร์ทาเองแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็คิดในแบบเดียวกับที่ข้าพเจ้ากลัวจะได้ยิน แต่จนแล้วจนรอด จ่าหาญก็ตั้งกระทู้อีกข้อ คราวนี้เสียงของเขาทุ้มต่ำราวกับจะบอกใบ้เตือนให้จันทร์ทารู้ หากคิดว่าสิ่งที่พูดออกมาพอได้ยินแล้วจะต้องหดหู่ใจก็ไม่ต้องบอก
“แล้วคิดว่าพวกเราจะบังเอิญได้เจอแม่สาวชบานั่นรึเปล่า?”
“เจอนาย” จันทร์ทาตอบเสียงเรียบ ทว่าข้าพเจ้าจับความรู้สึกเศร้าหมองได้ในน้ำเสียง “พวกเราเจอมันแล้ว นอนอืดอยู่นั่นไง...”
ปานฟ้าถล่มดินทลายลงมาทับจนข้าพเจ้าหายใจไม่ออก แม้จะเดาเอาไว้อยู่บ้างว่าศพที่กำลังส่งกลิ่นในโถงนั้นอาจเป็นเด็กสาว แต่พอความจริงมันเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็อดสะอึกจนลืมหายใจไม่ได้ นี่เหล่าเทวดามันนั่งนิ่งหรือหลับตานอนงอก่องอขิงอยู่หรืออย่างไร? จึงไม่คิดจะปกป้องเด็กผู้หญิงที่ออกมาตามหาพ่อให้พ้นเงื้อมมือมัจจุราช หากจะมาอ้างเวรอ้างกรรมก็รู้จักหากินเองไม่ต้องให้มนุษย์เซ่นสรวง เพราะให้ไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าพเจ้าพาลโกรธไปถึงเทวดาเมื่อเห็นว่าสภาพศพของเด็กสาวอนาถนัยน์ตาเพียงใด
ร่างที่เริ่มบวม เปลี่ยนสีและส่งกลิ่น นอนตะแคงคุดคู้ตัวแข็งเนื้อแหว่งวิ่นท้องไส้เหวอะหวะ ใบหน้าที่บวมฉุตาถลนยังแสดงอาการเจ็บปวดหรือหวาดกลัวก่อนตายให้เห็น ทั่วอาณาบริเวณในโถงแห่งนั้นเต็มไปด้วยเศษเลือดเศษเนื้อ ซึ่งอาจเกิดจากเสือตัวนั้นกินด้วยอาการตะกระตะกราม น่าสงสาร น่าสงสารนัก นั่นคือสิ่งเดียวที่ระงมอยู่ในอกข้าพเจ้ายามนี้
“ช่วยกันเผาศพเธอ เผาให้หมด เธอเป็นผู้หญิงคงไม่อยากให้ใครในหมู่บ้านเห็นตัวเองในสภาพนี้ และพวกเราก็ไม่มีเวลามากพอจะหามเอาศพของเธอกลับหมู่บ้านด้วย”
ข้าพเจ้าออกคำสั่งเสียงเครือ ตลอดเวลาหลังจากนั้นก็ได้แต่ยืนดูคนอื่นทำงานโดยที่ไม่ขยับไปไหนสักก้าว ความเลวร้ายของภารกิจครั้งนี้มิใช่ความเจ็บปวดใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง หากแต่เป็นความสูญเสีย ความสูญเสียที่ข้าพเจ้ากลัวว่าจะต้องพบเห็นมันอีกบนหนทางข้างหน้าต่อไป
นานตราบเท่าที่เปลวไฟร้อนแรงจะแผดเผาร่างอันน่าสังเวชของสาวน้อยชบาจนเหลือเพียงกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อย พวกเราไม่ไปไหนกันเลย จันทร์ทาเขี่ยเอาเศษกระดูกบางชิ้นออกมา ราดน้ำลงไปพอให้ไอระอุร้อนเบาบางลง เสร็จแล้วก็จัดการห่อเอาไว้กับเศษผ้าที่ล้วงออกมาจากย่าม
“สงสารมันน่ะนาย” จันทร์ทาเอ่ยขณะยืนมองเถ้าถ่านและควันที่ลอยเอื่อย “ป่านนี้มันจะรู้แล้วหรือยังว่าพ่อมันตายแล้ว”...
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบใด ๆ ข้าพเจ้าเข้าใจดี
จบตอนชบาผู้น่าสงสาร
สมิงล่าพราน ตอนที่.2(2.2)
‘คุณมืงเป็นหัวหน้า คุณมืงตัดสินใจเอาเลยครับผม’
“เอาวะ! มาถึงนี่แล้วก็ไม่มีทางเลือก” ข้าพเจ้าบ่นกับตัวเอง ลุกขึ้นแล้วก้าวฉับ ๆ ตามหลังจันท์ทาที่ทิ้งห่างไปพอสมควร
“นาย! อย่าเพิ่งเข้ามา!!!” จันทร์ทาตะโกนบอกดังลั่นพร้อมกับรั้งตัวเองถอยหลังจนสะดุดหงายท้อง
แรกทีเดียวข้าพเจ้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ อะไร? เดี๋ยวบอกให้ตามไป เดี๋ยวบอกว่าอย่าเพิ่ง จนเมื่อได้ยินเสียงคำรามลั่นก้องสะท้อนออกมาจากภายในโถงใต้เงื้อมหิน พร้อมกับร่างของนักล่าลายเหลืองดำกระโจนพรวดออกมานั่นล่ะจึงตระหนักถึง
ปืนในมือของข้าพเจ้าตวัดขึ้นปลดเซฟเล็งอย่างประณีตวาดตามร่างที่ลอยคว้างอย่างสง่างาม กระทั่งมันลงพื้นนิ้วของข้าพเจ้าก็รั้งไกปืนเข้าหาตัว
เปรี้ยง! กระสุนนัดนั้นแม่นเหมือนจับวาง จริงอยู่เองข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่าจะยิงสัตว์สักตัวให้ล้มหรือสิ้นฤทธิ์ เป้าใหญ่อันควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือซอกขาหน้า แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถทำได้ในเวลานี้
ตอนฝึกทหารเป้ากระดาษระยะยี่สิบห้าหลาหรือไกลกว่านั้น ข้าพเจ้าทำได้ดี แต่เหยื่อกระสุนคราวนี้มิได้อยู่นิ่งรอให้ยิง มันเคลื่อนไหวฉับไว ฉะนั้น ยิงโดนขาหลังก็นับว่าบุญหัวแล้ว
ทว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าวาดไว้ในใจกลับตาลปัตร แทนที่จะเห็นเสือโคร่งตัวนั้นร้องลั่นดิ้นพลาด ๆ เพราะกระสุนปืนของข้าพเจ้าอานุภาพก็ไม่ใช่ย่อย ๆ กลับกลายเป็นว่าบั้นท้ายมันมีอาการสะบัดเพียงเล็กน้อย เลือดไม่มีกระเซ็นสักหยด ซ้ำยังหันหน้ามามองพวกเราขู่คำรามแล้วกระโจนหนีไป
“เกิดอะไรขึ้นจันทร์ทา? ไหนว่าไอ้เสือเวรตะไรนั่นไม่อยู่กับศพไม่ใช่รึ?”
“ฉันคาดผิดไปนาย” จันทร์ทาตอบ “มันฉลาด มันรู้ว่าเรามา มันรอขย้ำเราอยู่ มันรอจังหวะ มัน...ไม่ใช่เสือธรรมดา! ตอนฉันเห็นมันตอนแรก มันไม่ใช่เสือแต่...!!”
‘สิ่งที่คร่อมร่างพี่ชายฉันเอาไว้ไม่ใช่เสือแต่เป็นคน เป็นผู้หญิง แก้ผ้าแก้ผ่อนไม่อายผีสางเทวดา เนื้อตัวเจ้าหล่อนขาวโพลนปานหยวกกล้วย แต่มีริ้วรอยคาดดำเต็มพรืดไปหมด มันเป็นรอยสักหรืออักขระเลขยันต์อะไรสักอย่าง’
คำพูดของจันทร์แล่นปราดเข้ามาในหัวของข้าพเจ้า เรื่องราวเมื่อครั้งที่เขาบุกเดี่ยวอย่างห้าวหาญไปช่วยพี่ชายแล้วได้พบกับสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้บนโลกนี้แก่ตาตนเอง
“หรือว่า...”
“จริงอย่างที่จันทร์ทามันบอกครับผู้กอง” ลิ้นข้าพเจ้ายังไม่ทันเข้าปาก คำถามยังค้างเติ่งไม่จบดี จ่าหาญก็ร้องบอก เขาไปอยู่ยังจุดที่เสือใหญ่ตัวนั้นกระโจนลงพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
“จ่าหมายความว่ายังไง?” ข้าพเจ้าตั้งกระทู้ทันที ความจริงในใจอยากจะถามว่าไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน ไม่ใช่ว่าจันทร์ทามันเมาแดดเลยเห็นเสือเป็นอย่างอื่นไปหรือ? จ่าหาญกวักมือเรียกข้าพเจ้าไปหา กางมือออกวางทาบกับพื้นดินข้าง ๆ รอยเท้าที่มันทิ้งไว้
“ดูสิครับผู้กอง รอยตีนขนาดนี้มีไม่ต่ำกว่าเก้าศอก ดีไม่ดีโดดไปถึงสิบ สิบเอ็ดศอกโน่นกระมัง แล้วสังเกตดูนะครับ ถ้าเป็นเสือทั่วไปรอยบุ๋มของนิ้วจะมีแค่สี่ แต่ไอ้ตัวนี้มีห้า อีกอย่าง ผู้กองก็เห็นกับตาแล้วว่ายิงไม่มันเข้า ไม่ใช่พลาดแต่โดนจัง ๆ มันทิ้งไว้แต่รอยตีนกับกระจุกขน เสือโลกไหนทำได้แบบนี้บ้างล่ะครับ?”
ว่าแล้วจ่าหาญก็หันไปถามจันทร์ทา คาดคั้นจะเอารายละเอียดเพื่อเสริมความมั่นใจ
“เมื่อครู่ที่บอกว่าเห็นมันเป็นอย่างอื่นก่อนจะเป็นเสือ เอ็งเห็นมันเป็นอะไร? คน? หรือสัตว์อย่างอื่น?”
“คนนาย...ซ้ำยังเป็นคนที่ฉันรู้จักด้วย”
จ่าหาญลุกขึ้นเดินไปหาพรานหนุ่มตั้งกระทู้ถามอีกข้อด้วยอาการจริงจัง “ใคร?”
“ตามี พรานคนหนึ่งในหมู่บ้าน หายเข้าป่าไปร่วมอาทิตย์ เมื่อสามวันก่อน ชบาลูกสาวของแกอดรนทนไม่ไหวเลยออกจากหมู่บ้านมาตามหาเอง”
“แล้วเจอมั้ย?” จ่าหาญถามอีก ในใจข้าพเจ้าพึมพำว่า ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย
“ชบามันแอบหนีออกไปตอนเช้า อาศัยว่าเป็นคนบ้านนี้เลยไม่กลัวหลงป่ากระมัง แต่มันคิดสั้นไป คิดสั้นตามประสาลูกสาวที่มีพ่อเป็นทุกอย่างในชีวิต ป่าแห่งนี้ไม่ได้ใจดีให้ความปราณีแก่ใครทั้งนั้น พอตกบ่ายแก่วันเดียวกัน ศพตามีก็ถูกหามกลับเข้าหมู่บ้านโดยบรรดาพรานที่ไม่นิ่งนอนใจ แต่มันสายไปแล้ว...อีชบามันออกไปก่อนหน้า แล้วก็ไม่รู้ว่ามันไปทางไหนด้วยถึงได้คลาดกัน”
ความเงียบงันอึดอัดเข้าครอบงำทั่วอาณาบริเวณอยู่พักใหญ่ ข้าพเจ้าเชื่อว่า นอกจากตัวจันทร์ทาเองแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็คิดในแบบเดียวกับที่ข้าพเจ้ากลัวจะได้ยิน แต่จนแล้วจนรอด จ่าหาญก็ตั้งกระทู้อีกข้อ คราวนี้เสียงของเขาทุ้มต่ำราวกับจะบอกใบ้เตือนให้จันทร์ทารู้ หากคิดว่าสิ่งที่พูดออกมาพอได้ยินแล้วจะต้องหดหู่ใจก็ไม่ต้องบอก
“แล้วคิดว่าพวกเราจะบังเอิญได้เจอแม่สาวชบานั่นรึเปล่า?”
“เจอนาย” จันทร์ทาตอบเสียงเรียบ ทว่าข้าพเจ้าจับความรู้สึกเศร้าหมองได้ในน้ำเสียง “พวกเราเจอมันแล้ว นอนอืดอยู่นั่นไง...”
ปานฟ้าถล่มดินทลายลงมาทับจนข้าพเจ้าหายใจไม่ออก แม้จะเดาเอาไว้อยู่บ้างว่าศพที่กำลังส่งกลิ่นในโถงนั้นอาจเป็นเด็กสาว แต่พอความจริงมันเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็อดสะอึกจนลืมหายใจไม่ได้ นี่เหล่าเทวดามันนั่งนิ่งหรือหลับตานอนงอก่องอขิงอยู่หรืออย่างไร? จึงไม่คิดจะปกป้องเด็กผู้หญิงที่ออกมาตามหาพ่อให้พ้นเงื้อมมือมัจจุราช หากจะมาอ้างเวรอ้างกรรมก็รู้จักหากินเองไม่ต้องให้มนุษย์เซ่นสรวง เพราะให้ไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าพเจ้าพาลโกรธไปถึงเทวดาเมื่อเห็นว่าสภาพศพของเด็กสาวอนาถนัยน์ตาเพียงใด
ร่างที่เริ่มบวม เปลี่ยนสีและส่งกลิ่น นอนตะแคงคุดคู้ตัวแข็งเนื้อแหว่งวิ่นท้องไส้เหวอะหวะ ใบหน้าที่บวมฉุตาถลนยังแสดงอาการเจ็บปวดหรือหวาดกลัวก่อนตายให้เห็น ทั่วอาณาบริเวณในโถงแห่งนั้นเต็มไปด้วยเศษเลือดเศษเนื้อ ซึ่งอาจเกิดจากเสือตัวนั้นกินด้วยอาการตะกระตะกราม น่าสงสาร น่าสงสารนัก นั่นคือสิ่งเดียวที่ระงมอยู่ในอกข้าพเจ้ายามนี้
“ช่วยกันเผาศพเธอ เผาให้หมด เธอเป็นผู้หญิงคงไม่อยากให้ใครในหมู่บ้านเห็นตัวเองในสภาพนี้ และพวกเราก็ไม่มีเวลามากพอจะหามเอาศพของเธอกลับหมู่บ้านด้วย”
ข้าพเจ้าออกคำสั่งเสียงเครือ ตลอดเวลาหลังจากนั้นก็ได้แต่ยืนดูคนอื่นทำงานโดยที่ไม่ขยับไปไหนสักก้าว ความเลวร้ายของภารกิจครั้งนี้มิใช่ความเจ็บปวดใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง หากแต่เป็นความสูญเสีย ความสูญเสียที่ข้าพเจ้ากลัวว่าจะต้องพบเห็นมันอีกบนหนทางข้างหน้าต่อไป
นานตราบเท่าที่เปลวไฟร้อนแรงจะแผดเผาร่างอันน่าสังเวชของสาวน้อยชบาจนเหลือเพียงกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อย พวกเราไม่ไปไหนกันเลย จันทร์ทาเขี่ยเอาเศษกระดูกบางชิ้นออกมา ราดน้ำลงไปพอให้ไอระอุร้อนเบาบางลง เสร็จแล้วก็จัดการห่อเอาไว้กับเศษผ้าที่ล้วงออกมาจากย่าม
“สงสารมันน่ะนาย” จันทร์ทาเอ่ยขณะยืนมองเถ้าถ่านและควันที่ลอยเอื่อย “ป่านนี้มันจะรู้แล้วหรือยังว่าพ่อมันตายแล้ว”...
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบใด ๆ ข้าพเจ้าเข้าใจดี