สาปอัปสรานครขอมโบราณ ตอน ทายาทสมิงจ้าว




สาปอัปสรานครขอมโบราณ 
ตอน 
ทายาทสมิงจ้าว

ล. วิลิศมาหรา

ลุงคะยิ่นพาสองหนุ่มเดินทางไปที่บ้านของแม่เฒ่ายีบาผู้เป็นหมอผีประจำหมู่บ้าน ซึ่งปลูกบ้านอยู่ถัดหลังของแกไปทางไหล่เขาไม่ไกลกันนัก เห็นมีบ้านอีกหลายหลังปลูกลดหลั่นกันไปตามความลาดเอียงของภูเขา กะโดยประมาณแล้วคงมีสักสามสิบหลังเห็นจะได้

ที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนกระท่อมยกสูงหลังนั้นเอง พอหญิงชราชาวกระเหรี่ยงเห็นหน้าของสองหนุ่มที่ลุงคะยิ่นนำพามา ร่างชราก็สั่นสะท้านขึ้นเหมือนเป็นคนจับไข้

“โอ ข้าสัมผัสได้ เจ้าของแผ่นศิลาแห่งเมืองอินทร์ได้มาถึงที่นี่แล้ว”

ใบหน้ายับย่นดูเหมือนทั้งดีใจทั้งกริ่งเกรงอยู่ในที แกเขม้นมองดู ก่อนจะรีบเชื้อเชิญให้คนมาใหม่ทั้งหมดนั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่ข้างตัวแก

“สวัสดีครับแม่หมอ” 

จ่าชิตเป็นคนเอ่ยทักทาย เขายกมือไหว้หญิงชราพร้อมกันกับตะวัน ก่อนจะนั่งลงเคียงข้างกันกับแก แม่หมอยีบารีบยกมือสั่น ๆ ขึ้นรับไหว้ แล้วยื่นมืออันเหี่ยวแห้งมากุมมือของตะวันและจ่าชิตไว้คนละข้าง

“ข้ารู้ว่าพวกท่านต้องมา เพราะแผ่นศิลาหักชิ้นนั้นได้ถูกส่งต่อไปจนถึงมือของนายจ่าแล้ว”

“ผมชื่อตะวันนะครับ เป็นนักโบราณคดีที่สืบค้นเกี่ยวกับประวัติซากเมืองโบราณ อยากรู้ที่มาของแผ่นศิลานี้ ยายได้มันมายังไงเหรอครับ ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยสิ”

ตะวันแนะนำตัวเองพร้อมกับคำถามที่อยากรู้มานาน นัยน์ตาหญิงชราเหมือนมีน้ำตาเอ่อคลอ แกจ้องหน้าเขานิ่งนาน แล้วจึงตอบด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ

“แผ่นหินนี้มันอยู่คู่กันกับหมอผีของเผ่าเรามานานมากแล้วล่ะนายตะวัน สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ได้แต่เคยฟังจากปากของหมอผีคนก่อนที่เล่าถึงตำนานของมัน ท่านเหล่านั้นบอกว่าตำนานของแผ่นศิลานี้ก็คือ มันเป็นชิ้นส่วนของเมืองปริศนาที่ตั้งอยู่ใจกลางป่ามหากาฬ เป็นเมืองโบราณที่หายสาบสูญไปนานมากแล้ว โดยไม่เคยมีใครได้พบเห็นมันอีกเลย นับแต่บรรพบุรุษของเผ่าเราเป็นคนนำแผ่นหินนี้ออกมา”

“เมืองที่ว่าคือเมืองอินทรบุรีใช่ไหมครับ”

ประกายตาหญิงชรากระจ่างขึ้นวาบในชื่อเรียกเมืองนั้นของตะวัน

“ชื่อเมืองคือชื่อนั้นแหละ แต่หมอผีประจำเผ่าเรียกชื่อต่อกันมาง่าย ๆ ว่า เมืองอินทร์”

“ถ้ามันเป็นของบรรพบุรุษของเผ่าลุงคะยิ่น ผมก็อยากจะถามแม่หมอว่าทำไมถึงไม่เก็บรักษามันไว้ ทำไมถึงบอกให้ลุงคะยิ่นนำมันมาให้ผมล่ะครับ”

จ่าชิตเองก็ได้โอกาสถามในสิ่งที่ค้างคาใจอยู่เหมือนกัน แม่หมอยีบาหันมาทางจ่าทหาร

“มันไม่ใช่ของ ๆ เผ่าเราน่ะสิ นายจ่า เราคือผู้เก็บรักษาไว้ให้เท่านั้น แล้วคนของเมืองนั้นก็จะตามมาเอาไปไว้ในที่เดิมของมันเอง”

“ผมคือคนของเมืองนั้นเหรอครับ”

จ่าชิตถามอีก แม่หมอพยักหน้าทันที แกเลื่อนสายตามามองหน้าตะวัน

“ด้วยสัมผัสพิเศษของข้า ข้าสัมผัสได้ว่าเป็นนายจ่ากับเพื่อนคนนี้อย่างแน่นอนที่สุด ทันทีที่พวกท่านเดินเข้ามา ขนทุกเส้นในตัวข้าก็พากันลุกเกรียวไปหมด เนื้อตัวเบาราวกับจะลอยขึ้นไปบนฟ้าได้ เหมือนสิ่งที่พวกข้าเคยแบกไว้มันได้หลุดหายไปหมดแล้ว”

“เป็นเพราะแบบนี้เอง ผมสองคนจึงนึกอยากจะดั้นด้นค้นหาทางที่จะเข้าไปให้ถึงเมืองนั้นให้ได้ เพื่อนำแผ่นศิลาไปไว้ที่เดิมสินะ”

 ตะวันถึงกับครางออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจในสิ่งที่แม่หมอบอก มันช่างพ้องกับความฝันของเขาราวกับเป็นเรื่องเดียวกัน

“ใช่ นั่นละคือสิ่งที่ต้องทำ แต่ถ้าจะให้ลุล่วงไปได้ง่ายขึ้นอีก พวกท่านจำเป็นต้องมีผู้ช่วย”

“ผู้ช่วยที่ไหนครับยาย” จ่าชิตขมวดคิ้วถาม การเข้าป่ามาครั้งนี้เพื่อตามหาขุมสมบัติ ตัวเขาเองคิดว่าแค่เขากับตะวันก็น่าจะเพียงพอแล้ว

“อ่องแล ลูกชายของลุงเอง นายจ่า” ลุงคะยิ่นพูดโพล่งตอบเสียเอง

“ทำไมต้องเป็นอ่องแลด้วยล่ะครับ” 

ทั้งตะวันและจ่าชิตมองหน้าชายชรางง ๆ ตะวันถามขึ้นมาอย่างสงสัย เขาเองไม่ได้รู้จักกับลูกชายของลุงคะยิ่นมาก่อน อีกทั้งจ่าชิตก็ไม่น่ามีความสนิทชิดเชื้อกับสองพ่อลูก จนถึงขนาดจะรับลูกชายของลุงคะยิ่นมาร่วมในทีมเดินทาง หรือว่าลุงแกอยากจะให้ลูกชายได้ไปค้นหาทรัพย์สมบัติของเมืองนั้นพร้อมกันกับพวกตน เพราะถือว่าตนเองเคยครอบครองแผ่นศิลาของเมืองปริศนามาก่อน

แต่คำตอบของลุงคะยิ่นได้ทำเอาทั้งเขาและจ่าชิตพากันตื่นตะลึง เมื่อลุงคะยิ่นบอกด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยลงว่า

“มันมีความจำเป็นที่อ่องแลจะต้องออกจากหมู่บ้านนี้ไป นายจ่าคงเห็นซากศพที่ริมห้วยนั่นแล้ว ซากคนที่ลำห้วยนั่นเป็นคนที่ถูกเสือกัดตายครับ พวกเรามักไปเจอซากที่มันกินไม่หมดอยู่แถวนั้นเสมอ เสือตัวนั้นมันออกอาละวาดมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครสามารถปราบมันลงได้ เพราะมันเป็นเสือสมิง ชาวบ้านที่นี่พากันเชื่อว่าอ่องแลคือเสือตัวนั้น จากการที่เขามีสายเลือดของเผ่าบาหยัน ซึ่งเผ่าของลุงเล่าต่อกันมาว่า เผ่าบาหยันเป็นเผ่าที่มีวิชาอาคม สามารถแปลงกายเป็นเสือได้ ผู้ชายคนเผ่าบาหยันถูกเจ้าเมืองของเมืองอินทร์มากวาดต้อนเอาไป เพื่อใช้ให้ไปเป็นคนคุมแรงงานสร้างปราสาทหินที่เมืองอินทร์”

“ถ้างั้นลุงก็เป็นเผ่าบาหยันด้วยน่ะสิ”

ตะวันร้องถามด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น เขาได้รู้มาแล้วว่าปราสาทหินในยุคขอมโบราณต้องใช้แรงงานจากผู้คนเป็นจำนวนมหาศาลในการก่อสร้าง เคยนึกอยู่เหมือนกัน เหล่าแรงงานนั้นจะต้องมีทหารมาคอยควบคุมให้ทำงาน ซึ่งการควบคุมการใช้แรงงานด้วยชนเผ่าบาหยันที่มีวิชาอาคม และสามารถกลายร่างเป็นเสือเพื่อข่มขู่เหล่าแรงงาน เขาเพิ่งจะได้ยินจากลุงคะยิ่นนี่เอง จ่าชิตจ้องหน้าลุงคะยิ่น แล้วโพล่งถามออกมาอีกคน

“ถ้าสายเลือดของเผ่าบาหยันเป็นเสือ งั้นลุงก็ต้องเป็นเสือไปด้วยน่ะสิ”

ลุงคะยิ่นสบตากับแม่หมอยีบา ก่อนจะถอนหายใจออกมา ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา

“เผ่าบาหยันเป็นคนละเผ่ากับเผ่ากระเหรี่ยงแบบเรา แต่ผู้มีสายเลือดของเผ่าบาหยันเท่านั้น จึงจะได้สืบต่อเป็นหมอผีประจำเผ่าเรา ซึ่งจะมีผู้สืบทอดด้วยการแต่งงานในชนบาหยันด้วยกัน สมัยก่อนเราจะนับถือพวกเขาเหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเคารพบูชา แต่ข้อจำกัดก็คือ คนเผ่าบาหยันจะคงสายเลือดไว้ด้วยการแต่งงานในหมู่ญาติกันเองเท่านั้น ทำให้เหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้วล่ะ”

“อ้าว! ผมชักงง ตกลงลุงเป็นคนของเผ่าไหนกันแน่ล่ะเนี่ย” จ่าชิตยกมือเกาหัวแกรก ๆ

“ไม่ต้องงงหรอกนายจ่า อ่องแลเป็นลูกชายของข้าเอง แต่เมื่อก่อนข้าไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าตัวข้ามีลูกชาย จึงยกให้เป็นลูกของคะยิ่นกับเมียไป เพราะสายเลือดเผ่าบาหยันที่เป็นผู้ชายเท่านั้นถึงจะกลายเป็นเสือได้ แต่ก็ปิดได้ไม่สนิทอยู่ดี ในที่สุดก็มีคนล่วงรู้ความลับของข้าเข้าจนได้ อ่องแลจึงถูกสงสัย แต่ข้ารู้ดีว่าไม่ใช่เขา เพราะอ่องแลเป็นลูกชายที่เกิดกับผู้ชายที่ไม่ใช่เผ่าบาหยัน เขาจึงมีสายเลือดบาหยันเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และอ่องแลไม่ได้มีนิสัยดุร้ายอะไร แต่เพราะขิ่นยอที่เป็นน้องสาวของเขา ได้ถูกเสือกัดตายที่ริมลำห้วย ตั้งแต่นั้นมาอ่องแลก็ชอบหายเข้าไปในป่า ต่อมาชาวบ้านถูกเสือกัดตายไปหลายคน อ่องแลจึงถูกสงสัยว่าเป็นเสือตัวนั้น แต่ข้าไม่เชื่อเช่นนั้น อ่องแลต้องไม่กลายเป็นเสือกินคนไปแน่”

คำอธิบายของแม่หมอต่อความเป็นมาของอ่องแล ทำให้ตะวันและจ่าชิตถึงกับพูดไม่ออก!!!

เพิ่งเขียนได้เท่านี้ค่ะ แต่อยากเอามาให้ได้อ่านกันก่อน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่