“ชลน่าน” หวัง “ประยุทธ์” ร่วมเวทีดีเบตประชันวิสัยทัศน์
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_490527/
“ชลน่าน” หวัง “ประยุทธ์” ร่วมเวทีดีเบตประชันวิสัยทัศน์ ชี้ สินค้าทางการเมืองที่ดีที่สุดคือตัวนโยบาย โยน ปชช. เป็นคนตัดสินใจเลือก เย้ย บางพรรคการเมืองทำเป็นพิธีกรรม
นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวภายหลังพรรคเพื่อไทยจัดกิจกรรมลุยภาคอีสาน 3 จังหวัดประกอบด้วย จังหวัดเลย จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดหนองคาย พบปะประชาชนจัดเวทีปราศรัยใหญ่ อีกทั้งยังจัดเวทีควบคู่กับอีกหลายพรรคการเมืองในวันเดียวกัน ว่า ต้องขอบคุณทุกพรรคการเมืองที่เห็นว่าการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ การบอกกล่าวกับประชาชนเรื่องนโยบายมันเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งพรรคเพื่อไทยสู้เรื่องนโยบายแล้วให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ
สินค้าทางการเมืองที่ดีที่สุดคือ “
นโยบาย” ตัวบุคคลนั้นถือว่าเป็นเรื่องรองลงมา และในระบบรัฐสภาเสียงข้างมาก ถ้าทุกคนเชื่อว่าประชาชนจะตัดสินใจเลือกด้วยตัวนโยบายสิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นของแสงสว่างประชาธิปไตย แม้ว่า “
บางพรรคการเมือง จะทำเป็นแค่พิธีกรรม” แต่ก็ยังถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยได้เปิดโอกาสให้ประชาชนทั้งประเทศได้เห็นและตัดสินใจ
ส่วนการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ชนกันหลายเวทีกับพรรคการเมือง จะมีผลทางการเมืองหรือไม่ นพ.
ชลน่าน มองเป็นเรื่องปกติ การเมืองเป็นเรื่องของการแข่งขัน แข่งขันเพื่อขอศรัทธาจากประชาชน และใครมีทางเลือกที่ดีกว่าก็ย่อยมีโอกาสมากที่สุด
ส่วนความคาดหวังที่จะเห็นพล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเวทีดีเบตประชันวิสัยทัศน์ก่อนการเลือกตั้ง นพ.
ชลน่าน กล่าวทันทีว่า คาดหวัง และเป็นสิ่งที่จำเป็น ในฐานะที่พล.อ.
ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง ซึ่งประชาชนคาดหวังจะได้ฟังโดยเฉพาะหากเป็นเวทีที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคมาประชันกัน ก่อนกล่าวเชิญชวนว่า “
เรียนเชิญท่านนะครับ” เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าถูกต้องสำหรับเขา
ทั้งนี้นพ.
ชลน่าน ยังกล่าวภายหลังร่างกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง 2 ฉบับออกประกาศราชกิจจานุเบกษาแล้วว่า ต้องขอขอบคุณ ซึ่งประกาศแล้วก็จะมีผลบังคับใช้ในวันถัดไป และหมายความว่าการเลือกตั้งเกิดขึ้นบนพื้นฐานที่มีข้อกฎหมายรองรับชัดเจน
ซึ่งจะไม่มีข้อกังวล กฎหมายพรรคการเมืองที่ประกาศนั้นข้อดีคือว่าจะทำให้พรรคการเมืองเข้าสู่กระบวนการเตรียมตัวตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เช่น ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ซึ่งตอนนี้คำสั่งได้คลายเป็น 1 จังหวัดสามารถตั้งเพียง 1 แห่งได้ จากเดิมที่ต้องตั้งทุกเขต ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับทุกพรรคการเมืองด้วย
"ชลน่าน" เผยฝ่ายค้านแบ่งเวลาอภิปรายเรียบร้อยมองพปชร.ดีล อุตตม
https://www.innnews.co.th/news/news_490500/
“ชลน่าน” เผยฝ่ายค้านแบ่งเวลาอภิปรายเรียบร้อย ด้านเพื่อไทยได้ 11 ชม.คาดเห็นโครงสร้างอภิปราย 12 ก.พ.นี้ ระบุจันทร์ที่ 30 ม.ค.นี้ วิปฝ่ายค้านนัดหารือ
นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเตรียมอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่จะอภิปรายวันที่ 15-16 ก.พ.นี้ ว่า ฝ่ายค้านได้จัดสรรเวลาตามสัดส่วนจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรค โดยพรรคเพื่อไทยได้เวลา 11 ชั่วโมง ส่วนเนื้อหาสาระการอภิปรายได้แบ่งแต่ละพรรคเตรียมข้อมูล
และวันจันทร์ที่ 30 ม.ค.นี้ นาย
สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้านจะนัดประชุม ซึ่งมีการประชุมเป็นระยะติดตามงาน และมีการตั้งคณะทำงานในกรอบเนื้อหาสาระตามญัตติ คาดว่าในสัปดาห์นี้จะเห็นโครงสร้างการอภิปรายทั้งหมด เบื้องต้นกำหนดไว้ว่าวันที่ 12 ก.พ.ทุกอย่างต้องจบพร้อมอภิปร
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ นำโดยพล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ดีลกลับมาร่วมงานกับนาย
อุตตม สาวนายน และนาย
สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค มองว่าจะทำให้พลังประชารัฐมีความแข็งแกร่งมากขึ้นหรือไม่ ว่า ถามว่าแข็งแกร่งหรือไม่ ตนมองว่าเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่หรือเหล้าใหม่ในขวดเก่า แล้วแต่จะเปรียบเทียบ ก็เป็นภาพที่เขาทำงานร่วมกันและแยกกันออกมา แต่จะแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะนำเสนอต่อประชาชน
โดยนพ.
ชลน่าน ระบุว่า ความแข็งแกร่งของพรรคการเมือง คือ นโยบายที่ตอบโจทย์และเป็นนโยบายที่ประชาชนเชื่อมั่นว่าเป็นประโยชน์และทำได้จริง, ตัวผู้สมัครที่รับเลือกตั้งแต่ละเขต, แคนดิเดตนายกฯ, ระบบการสื่อสารทางการเมือง และสิ่งที่ยังเป็นปัญหาคือการใช้วิธีการที่นอกเหนือจากที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมายที่ไม่มีการส่งผลต่อการเลือกตั้ง
เช่น วิธีการไม่ชอบด้วยการโน้มน้าว ชักจูงโดยวิธีการที่ผิดหรือการใช้เงินมันวัดตรงที่จำนวน ส.ส. แต่ไม่ได้หมายความว่าทำให้การเมืองแข็งแกร่ง และได้ส.ส.เยอะไม่ได้หมายความว่าการเมืองแข็งแกร่ง นี่เป็นกิริยาผกผันกัน ยิ่งคุณใช้เงินเยอะคุณยิ่งทำลายระบบการเมืองโดยเฉพาะระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หวั่นเศรษฐกิจฟื้นตัวกระจุก ดันหนี้เสียพุ่งกลางปี
https://www.thansettakij.com/finance/financial-banking/554537
ซีไอเอ็มบีไทยคาด แนวโน้มเอ็นพีแอลแบงก์ทรงตัว เหตุแบงก์ยังระมัดระวังปล่อยสินเชื่อ แม้ยังโตได้ 7% จับตากลางปี 66 หากเศรษฐกิจฟื้น แต่ไม่กระจายตัว อาจกดดันเอ็นพีแอลเพิ่ม
ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
10 แห่งรายงานผลประกอบการปี 2565 พบว่า สิ้นปี 2565 มียอดรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)กว่า 4.74 แสนล้านบาท ลดลงประมาณ 5.69%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่มีจำนวนกว่า 5.03 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เอ็นพีแอลปรับลดลงมีเพียง 3 แห่งเท่านั้นที่ปรับเพิ่มขึ้น
ธนาคารพาณิชย์ที่มีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น คือ ธนาคาร เกียรตินาคินภัทร 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.23% จาก 9,761 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว,ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา 4.37 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้วและ แอลเอชเอฟจี 5,248 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.70% จาก 5,110 ล้านบาท
“
แม้ว่าเวลานี้ จะมีสัญญาณจากเศรษฐกิจฟื้น แต่ยังกระจุกตัวเฉพาะภาคท่องเที่ยวและภาคบริการไม่กี่จังหวัด ขณะที่เอสเอ็มอีในเมืองรองยังคงเปราะบาง รวมถึงภาคเกษตรที่จะมีต้นทุนสูงขึ้นอาจนำไปการฉุดกำลังซื้อให้อ่อนแอลงได้”ดร.อมรเทพกล่าว
ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีความเป็นไปได้ที่จะลดลงช้า เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าขยับขึ้นและจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนดอกเบี้ยอีกระลอก
ดังนั้นการที่อัตราเงินเฟ้อจะยืนอยู่ในระดับต่ำกว่าขอบบนที่ 3% อาจจะขยับจากไตรมาส 2 เป็นต้นไตรมาส 3 ซึ่งต้องจับตาถ้าเศรษฐกิจฟื้น แต่ไม่กระจายตัวอาจกดดันเอ็นพีแอลกลางปี แม้ปัจจุบันทุกธนาคารต่างให้น้ำหนักกับการดูแลลูกค้าทั้งระดับกลาง-ล่างในต่างจังหวัดอยู่แล้วก็ตาม
สำหรับซีไอเอ็มบีไทยยังเป็นห่วงภาคส่งออกของไทยสอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองการส่งออกชะลอตัว โดยเศรษฐกิจไทยฟื้นจากแรงส่งภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน
ทั้งนี้ ซีไอเอ็มบีไทยเตรียมปรับลดประมาณการส่งออกลงอีกครั้งจากเดิมมองส่งออกปีนี้จะติดลบ 1% โดยรอความชัดเจนจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจริงของไตรมาส 4 ปี 256 5ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566
อย่างไรก็ตามตลาดประเมินการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยิ่งไปซ้ำเติมกลุ่มเปราะบางให้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่กลายเป็นเอ็นพีแอล ซึ่งนาย
ปิติ ดิษยทัต เลขานุการ กนง.กล่าวว่า แนวโน้มการส่งผ่านต้นทุนดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้นจะปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
"
ธนาคารพยายามจะดูแลลูกค้า เนื่องจากฐานะการเงินของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและครัวเรือนบางส่วนยังเปราะบางและอ่อนไหวต่อค่าครองชีพและภาระหนี้ที่สูงขึ้น"
ทั้งนี้ ความคืบหน้าภายใต้มาตรการของธปท.ได้อนุมัติสินเชื่อใหม่รวม 345,549 ล้านบาท จำนวน 136,970 ราย โดยผ่านสินเชื่อฟื้นฟู 207,349 ล้านบาท ผู้ได้รับความช่วยเหลือกว่า 59,183 ราย เฉลี่ย 3.50 ล้านบาทต่อราย (ณ 16 มกราคม 2566) และ Soft Loan 138,200 ล้านบาท 77,787 ราย (ณ 12 เมษายน 2564) นอกจากนี้ในโครงการพักทรัพย์พักหนี้ได้รับความอนุมัติแล้ว 58,903 ล้านบาท 422 ราย
ส่วนการประชุมกนง. ครั้งแรกของปี 2566 เมื่อวันที่ 25 มกราคม กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปีส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นจาก 1.25% เป็น 1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที ซึ่งกนง.เห็นว่า การทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเป็นแนวทางดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
ระยะต่อไป กนง.ยังติดตามใกล้ชิด 3 ปัจจัยคือ
1. แนวโน้มเศรษฐกิจโลก
2. พัฒนาการของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน จากที่คาดว่า ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาราว 11 ล้านคนปีหน้า 25 ล้านคน รวมถึงนโยบายอื่นๆ ที่จะเสริมหรือกระตุ้นหรือไม่ หลังการเปิดประเทศของจีนแล้ว
3. สถานการณ์เงินเฟ้อในระยะต่อไป อาจส่งผ่านต้นทุนสู่ผู้ประกอบการ โดยมองอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์จะปรับสู่กรอบปลายปี 2566 แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน มีความเสี่ยงจะอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่คาด จากการส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้น
“
กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และพร้อมที่จะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้”นาย
ปิติกล่าว
JJNY : “ชลน่าน”หวัง“ประยุทธ์”ร่วมดีเบต│"ชลน่าน"เผยแบ่งเวลาอภิปรายเรียบร้อย│หวั่นศก.ฟื้นตัวกระจุก│5 หนุ่มรัสเซียหนีทหาร
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_490527/
“ชลน่าน” หวัง “ประยุทธ์” ร่วมเวทีดีเบตประชันวิสัยทัศน์ ชี้ สินค้าทางการเมืองที่ดีที่สุดคือตัวนโยบาย โยน ปชช. เป็นคนตัดสินใจเลือก เย้ย บางพรรคการเมืองทำเป็นพิธีกรรม
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวภายหลังพรรคเพื่อไทยจัดกิจกรรมลุยภาคอีสาน 3 จังหวัดประกอบด้วย จังหวัดเลย จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดหนองคาย พบปะประชาชนจัดเวทีปราศรัยใหญ่ อีกทั้งยังจัดเวทีควบคู่กับอีกหลายพรรคการเมืองในวันเดียวกัน ว่า ต้องขอบคุณทุกพรรคการเมืองที่เห็นว่าการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ การบอกกล่าวกับประชาชนเรื่องนโยบายมันเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งพรรคเพื่อไทยสู้เรื่องนโยบายแล้วให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ
สินค้าทางการเมืองที่ดีที่สุดคือ “นโยบาย” ตัวบุคคลนั้นถือว่าเป็นเรื่องรองลงมา และในระบบรัฐสภาเสียงข้างมาก ถ้าทุกคนเชื่อว่าประชาชนจะตัดสินใจเลือกด้วยตัวนโยบายสิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นของแสงสว่างประชาธิปไตย แม้ว่า “บางพรรคการเมือง จะทำเป็นแค่พิธีกรรม” แต่ก็ยังถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยได้เปิดโอกาสให้ประชาชนทั้งประเทศได้เห็นและตัดสินใจ
ส่วนการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ชนกันหลายเวทีกับพรรคการเมือง จะมีผลทางการเมืองหรือไม่ นพ.ชลน่าน มองเป็นเรื่องปกติ การเมืองเป็นเรื่องของการแข่งขัน แข่งขันเพื่อขอศรัทธาจากประชาชน และใครมีทางเลือกที่ดีกว่าก็ย่อยมีโอกาสมากที่สุด
ส่วนความคาดหวังที่จะเห็นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเวทีดีเบตประชันวิสัยทัศน์ก่อนการเลือกตั้ง นพ.ชลน่าน กล่าวทันทีว่า คาดหวัง และเป็นสิ่งที่จำเป็น ในฐานะที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง ซึ่งประชาชนคาดหวังจะได้ฟังโดยเฉพาะหากเป็นเวทีที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคมาประชันกัน ก่อนกล่าวเชิญชวนว่า “เรียนเชิญท่านนะครับ” เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าถูกต้องสำหรับเขา
ทั้งนี้นพ.ชลน่าน ยังกล่าวภายหลังร่างกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง 2 ฉบับออกประกาศราชกิจจานุเบกษาแล้วว่า ต้องขอขอบคุณ ซึ่งประกาศแล้วก็จะมีผลบังคับใช้ในวันถัดไป และหมายความว่าการเลือกตั้งเกิดขึ้นบนพื้นฐานที่มีข้อกฎหมายรองรับชัดเจน
ซึ่งจะไม่มีข้อกังวล กฎหมายพรรคการเมืองที่ประกาศนั้นข้อดีคือว่าจะทำให้พรรคการเมืองเข้าสู่กระบวนการเตรียมตัวตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เช่น ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ซึ่งตอนนี้คำสั่งได้คลายเป็น 1 จังหวัดสามารถตั้งเพียง 1 แห่งได้ จากเดิมที่ต้องตั้งทุกเขต ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับทุกพรรคการเมืองด้วย
"ชลน่าน" เผยฝ่ายค้านแบ่งเวลาอภิปรายเรียบร้อยมองพปชร.ดีล อุตตม
https://www.innnews.co.th/news/news_490500/
“ชลน่าน” เผยฝ่ายค้านแบ่งเวลาอภิปรายเรียบร้อย ด้านเพื่อไทยได้ 11 ชม.คาดเห็นโครงสร้างอภิปราย 12 ก.พ.นี้ ระบุจันทร์ที่ 30 ม.ค.นี้ วิปฝ่ายค้านนัดหารือ
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเตรียมอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่จะอภิปรายวันที่ 15-16 ก.พ.นี้ ว่า ฝ่ายค้านได้จัดสรรเวลาตามสัดส่วนจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรค โดยพรรคเพื่อไทยได้เวลา 11 ชั่วโมง ส่วนเนื้อหาสาระการอภิปรายได้แบ่งแต่ละพรรคเตรียมข้อมูล
และวันจันทร์ที่ 30 ม.ค.นี้ นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้านจะนัดประชุม ซึ่งมีการประชุมเป็นระยะติดตามงาน และมีการตั้งคณะทำงานในกรอบเนื้อหาสาระตามญัตติ คาดว่าในสัปดาห์นี้จะเห็นโครงสร้างการอภิปรายทั้งหมด เบื้องต้นกำหนดไว้ว่าวันที่ 12 ก.พ.ทุกอย่างต้องจบพร้อมอภิปร
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ นำโดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ดีลกลับมาร่วมงานกับนายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค มองว่าจะทำให้พลังประชารัฐมีความแข็งแกร่งมากขึ้นหรือไม่ ว่า ถามว่าแข็งแกร่งหรือไม่ ตนมองว่าเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่หรือเหล้าใหม่ในขวดเก่า แล้วแต่จะเปรียบเทียบ ก็เป็นภาพที่เขาทำงานร่วมกันและแยกกันออกมา แต่จะแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะนำเสนอต่อประชาชน
โดยนพ.ชลน่าน ระบุว่า ความแข็งแกร่งของพรรคการเมือง คือ นโยบายที่ตอบโจทย์และเป็นนโยบายที่ประชาชนเชื่อมั่นว่าเป็นประโยชน์และทำได้จริง, ตัวผู้สมัครที่รับเลือกตั้งแต่ละเขต, แคนดิเดตนายกฯ, ระบบการสื่อสารทางการเมือง และสิ่งที่ยังเป็นปัญหาคือการใช้วิธีการที่นอกเหนือจากที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมายที่ไม่มีการส่งผลต่อการเลือกตั้ง
เช่น วิธีการไม่ชอบด้วยการโน้มน้าว ชักจูงโดยวิธีการที่ผิดหรือการใช้เงินมันวัดตรงที่จำนวน ส.ส. แต่ไม่ได้หมายความว่าทำให้การเมืองแข็งแกร่ง และได้ส.ส.เยอะไม่ได้หมายความว่าการเมืองแข็งแกร่ง นี่เป็นกิริยาผกผันกัน ยิ่งคุณใช้เงินเยอะคุณยิ่งทำลายระบบการเมืองโดยเฉพาะระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หวั่นเศรษฐกิจฟื้นตัวกระจุก ดันหนี้เสียพุ่งกลางปี
https://www.thansettakij.com/finance/financial-banking/554537
ซีไอเอ็มบีไทยคาด แนวโน้มเอ็นพีแอลแบงก์ทรงตัว เหตุแบงก์ยังระมัดระวังปล่อยสินเชื่อ แม้ยังโตได้ 7% จับตากลางปี 66 หากเศรษฐกิจฟื้น แต่ไม่กระจายตัว อาจกดดันเอ็นพีแอลเพิ่ม
ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) 10 แห่งรายงานผลประกอบการปี 2565 พบว่า สิ้นปี 2565 มียอดรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)กว่า 4.74 แสนล้านบาท ลดลงประมาณ 5.69%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่มีจำนวนกว่า 5.03 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เอ็นพีแอลปรับลดลงมีเพียง 3 แห่งเท่านั้นที่ปรับเพิ่มขึ้น
ธนาคารพาณิชย์ที่มีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น คือ ธนาคาร เกียรตินาคินภัทร 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.23% จาก 9,761 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว,ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา 4.37 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้วและ แอลเอชเอฟจี 5,248 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.70% จาก 5,110 ล้านบาท
“แม้ว่าเวลานี้ จะมีสัญญาณจากเศรษฐกิจฟื้น แต่ยังกระจุกตัวเฉพาะภาคท่องเที่ยวและภาคบริการไม่กี่จังหวัด ขณะที่เอสเอ็มอีในเมืองรองยังคงเปราะบาง รวมถึงภาคเกษตรที่จะมีต้นทุนสูงขึ้นอาจนำไปการฉุดกำลังซื้อให้อ่อนแอลงได้”ดร.อมรเทพกล่าว
ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีความเป็นไปได้ที่จะลดลงช้า เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าขยับขึ้นและจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนดอกเบี้ยอีกระลอก
ดังนั้นการที่อัตราเงินเฟ้อจะยืนอยู่ในระดับต่ำกว่าขอบบนที่ 3% อาจจะขยับจากไตรมาส 2 เป็นต้นไตรมาส 3 ซึ่งต้องจับตาถ้าเศรษฐกิจฟื้น แต่ไม่กระจายตัวอาจกดดันเอ็นพีแอลกลางปี แม้ปัจจุบันทุกธนาคารต่างให้น้ำหนักกับการดูแลลูกค้าทั้งระดับกลาง-ล่างในต่างจังหวัดอยู่แล้วก็ตาม
สำหรับซีไอเอ็มบีไทยยังเป็นห่วงภาคส่งออกของไทยสอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองการส่งออกชะลอตัว โดยเศรษฐกิจไทยฟื้นจากแรงส่งภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน
ทั้งนี้ ซีไอเอ็มบีไทยเตรียมปรับลดประมาณการส่งออกลงอีกครั้งจากเดิมมองส่งออกปีนี้จะติดลบ 1% โดยรอความชัดเจนจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจริงของไตรมาส 4 ปี 256 5ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566
อย่างไรก็ตามตลาดประเมินการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยิ่งไปซ้ำเติมกลุ่มเปราะบางให้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่กลายเป็นเอ็นพีแอล ซึ่งนายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ กนง.กล่าวว่า แนวโน้มการส่งผ่านต้นทุนดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้นจะปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
"ธนาคารพยายามจะดูแลลูกค้า เนื่องจากฐานะการเงินของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและครัวเรือนบางส่วนยังเปราะบางและอ่อนไหวต่อค่าครองชีพและภาระหนี้ที่สูงขึ้น"
ทั้งนี้ ความคืบหน้าภายใต้มาตรการของธปท.ได้อนุมัติสินเชื่อใหม่รวม 345,549 ล้านบาท จำนวน 136,970 ราย โดยผ่านสินเชื่อฟื้นฟู 207,349 ล้านบาท ผู้ได้รับความช่วยเหลือกว่า 59,183 ราย เฉลี่ย 3.50 ล้านบาทต่อราย (ณ 16 มกราคม 2566) และ Soft Loan 138,200 ล้านบาท 77,787 ราย (ณ 12 เมษายน 2564) นอกจากนี้ในโครงการพักทรัพย์พักหนี้ได้รับความอนุมัติแล้ว 58,903 ล้านบาท 422 ราย
ส่วนการประชุมกนง. ครั้งแรกของปี 2566 เมื่อวันที่ 25 มกราคม กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปีส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นจาก 1.25% เป็น 1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที ซึ่งกนง.เห็นว่า การทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเป็นแนวทางดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
ระยะต่อไป กนง.ยังติดตามใกล้ชิด 3 ปัจจัยคือ
1. แนวโน้มเศรษฐกิจโลก
2. พัฒนาการของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน จากที่คาดว่า ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาราว 11 ล้านคนปีหน้า 25 ล้านคน รวมถึงนโยบายอื่นๆ ที่จะเสริมหรือกระตุ้นหรือไม่ หลังการเปิดประเทศของจีนแล้ว
3. สถานการณ์เงินเฟ้อในระยะต่อไป อาจส่งผ่านต้นทุนสู่ผู้ประกอบการ โดยมองอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์จะปรับสู่กรอบปลายปี 2566 แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน มีความเสี่ยงจะอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่คาด จากการส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้น
“กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และพร้อมที่จะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้”นายปิติกล่าว