เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 25

เราขอมาเล่าเรื่องการเห็น นิมิต เรื่องถัดไปของเรากันต่อ หลังจากที่เราต้องเจอกับความทุกข์ทางใจที่ผ่านมาแค่ไม่กี่วัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราเคยคิดว่าเราสามารถ ละ และปลงตกกับทุกๆเรื่องในชีวิตได้แล้วแท้ๆ

แต่พอมันมีบางสิ่งบางอย่าง มาทดสอบจิตใจเรา เราจึงได้รู้ว่ามันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายที่ ละ ไม่ง่ายที่จะ ปลง ไม่ง่าย ที่จะยอมรับความจริง และไม่ง่ายที่ต้องทนทุกข์ใจอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง

เพราะต้องเจอกับเรื่องที่มันไม่ได้ดั่งใจ เปลี่ยนแปลง ช่วยเหลืออะไรก็ไม่ได้ หรือที่เราเรียกว่ามันเป็นเรื่อง Over Control ทำได้แค่ต้องทำใจ ยอมรับมันให้ได้ และต้องปล่อยมันไปตามนั้น ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แต่มันก็ไม่ได้หนักหนา และไม่ได้ยากไปกว่าครั้งก่อนๆที่เราสามารถผ่านมันมาได้แล้วทุกครั้ง มันก็แค่หนักกว่า ทุกข์ใจมากกว่า ต้อง ละ สิ่งที่สำคัญกว่า และต้องปลงให้ตก ทำใจยอมรับความจริงให้ได้

และเราก็สามารถใช้เวลาในการ ละ ได้ ปลงได้ และยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้เร็วกว่าทุกๆครั้งที่ผ่านมา ถึงแม้ว่ามันจะทุกข์ใจหนักหนากว่าครั้งก่อนๆ แต่เราก็อยู่กับความทุกข์ตรงนั้นแค่แป๊บเดียว เพราะเรา ละได้เร็วขึ้น ปลงได้ตกไวขึ้น และทำใจยอมรับความจริงตรงนั้นได้เร็วขึ้นเช่นกัน

ทำให้เราคิดได้อีกเรื่องถึงทางเดินเส้นนี้ ว่ามันเป็นอย่างที่พระอาจารย์ท่านบอกเรา ก่อนที่ท่านจะสอนกรรมฐานให้เรา เพราะเราจำได้ดีครั้งนั้นท่านถามเราว่า เราแน่ใจแล้วหรือ ที่จะเดินสายสติ เพราะทางสายนี้จะเจอแต่ทุกข์

ซึ่งเรารู้ซึ้งถึงคำพูดนั้นของพระอาจารย์ท่านแล้ว ในคราวนี้ เพราะไม่ว่าเราจะฝึกปฎิบัติธรรมกรรมฐานมานานเท่าไร ฝึกไปได้ถึงขั้นไหน ไปรู้ ไปเห็นอะไรมาบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องกลับมาเจอกับความทุกข์กาย ทุกข์ใจอยู่ตลอด ไม่จบสิ้น

ยิ่งฝึกไปได้มาก ยิ่งเราเอาชนะความทุกข์ในใจได้มากเท่าไร เราก็จะยิ่งเจอความทุกข์ที่มันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่เคยที่จะทุกข์น้อยลงเลย และยิ่งเราสามารถทำใจ ละ ได้มากเท่าไหร่ สิ่งที่เราต้อง ละ ก็จะยิ่งมีมากขึ้น และสำคัญยิ่งขึ้นไปด้วย

มันคล้ายจะเป็นบททดสอบจิตใจที่ยากขึ้นไปอีกขั้น อีกขั้น อีกขั้น และอีกขั้น เหมือนเรากำลังเดินขึ้นบันได ยิ่งเราเดินขึ้นไปสูงเท่าไหร่ เรายิ่งต้องทิ้งสิ่งที่เราเอาติดตัวไปทีละชิ้น ทีละชิ้น และสิ่งที่ต้องทิ้งมันก็ยิ่งสำคัญขึ้น ก่อนที่จะก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายเราคิดว่าเราคงต้องทิ้งทั้งหมด ไม่เหลืออะไรเลย

ช่วงที่เราทุกข์ใจอยู่ไม่กี่วันนั้น มันทำให้เราเครียดจัด จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ครองสติไม่ค่อยได้ สามีเราเห็นท่าไม่ดีจึงอัดงานให้เราเยอะมาก เพื่อช่วยให้เราไม่ต้องมีเวลาว่าง ให้คิดให้ทำอย่างอื่น ให้คิดแต่เรื่องงาน ทำแต่งานอย่างเดียว

ซึ่งก็ช่วยได้นิดหน่อย แต่พอถึงเวลานอน เราก็ยังคิดและเครียดเหมือนเดิม จนนอนไม่หลับหลายคืนติดต่อกัน จนกระทั่งเราไม่รู้จะหาทางออกยังไง เราจึงนึกถึงครูบาอาจารย์ให้ช่วย เพราะทุกครั้งที่เรามีความทุกข์ใจจนจะครองสติไว้ไม่อยู่ เราจะนึกถึงท่านตลอด

และทุกๆครั้งเราก็จะสามารถเอาชนะและก้าวผ่านความทุกข์ใจหรืออุปสรรคตรงนั้นมาได้เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ตกกลางคืนของคืนนั้นเราจึงเปิดฟังธรรมบรรยายของหลวงพ่อจรัญและได้สติ ฉุดคิดขึ้นได้และเจอทางออกจากคำพูดของหลวงพ่อในตอนนั้น

หลังจากคืนนั้นผ่านไป เราก็ทำใจให้ ละได้ ปลงได้ตก และยอมรับความจริงกับความทุกข์ใจในตอนนั้นได้ จิตเราเลยกลับมานิ่ง สงบ เช่นเดิม ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ จิต เรามันเอาแต่กระวนกระวาย ฟุ้งซ่าน วุ่นวายใจ อยู่ไม่สุข คิดมาก คิดวกไปวนมาอยู่ตลอด

พอเราผ่านความทุกข์ใจตรงนั้นมาได้ ตอนเวลาจะนอนเราก็กลับมามี สติ มีสมาธิเหมือนเดิม เพราะเราจะคอยดูท้องพองยุบ และดูลมหายใจไปจนกว่าจะหลับ ซึ่งคืนนั้นเราก็ทำเช่นนั้นเป็นปกติ

แต่มันมีบางอย่างแปลก และแตกต่างออกไป ปกติเราจะมีความรู้สึกแค่ท้องพองยุบ และอาการเข้าออกของลมหายใจ แต่คืนนั้นเรากลับเห็นอวัยวะภายในของเราที่กำลังทำงานอยู่ แค่เราเอามือตั้งสัมผัสที่ท้องของตัวเอง

แต่ในหัว ในความคิดเรากลับเห็นเป็นอวัยวะภายในที่เรากำลังใช้มือสัมผัสอยู่ที่ท้อง ทั้งกระเพาะอาการ ลำไส้ และส่วนอื่นๆที่เราไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร เราเห็นว่ามันกำลังเคลื่อนไหว กำลังทำงานอยู่ภายในช่องท้องเรา

ทีแรกที่เราเห็น เราคิดว่า เราคงคิดไปเอง เราเลยเปลี่ยนไปนอนท่าปกติที่มือเราไม่สัมผัสท้อง แต่พอเราเอามือออก เราก็ไม่เห็นอะไรเลยในหัว ในความคิดเรา เราจึงลองเปลี่ยนไปนอนเอามือสัมผัสท้องตัวเองอีกครั้ง เราก็เห็นอีก เห็นเช่นเดิม ที่จุดที่เราสัมผัส

เราจึงเอามือไปสัมผัสจุดอื่นๆที่ท้องเราดู เราก็เห็นอวัยวะภายในอื่นๆที่เราคิดว่ามันอยู่ตรงจุดนั้น และมันก็กำลังเคลื่อนไหว กำลังทำงานอยู่ไปตามจังหวะลมหายใจของเราที่กำลังเข้าออกอยู่

ภาพที่เราเห็นในคืนนั้นมันเหมือนกับเรากำลังเอ็กซเรย์อวัยวะภายในร่างกายที่กำลังทำงานอยู่ตลอดเวลาของตัวเองอยู่ มันเป็นอะไรที่แปลกและพิสดารมากๆ  คืนนั้นเราเลยเฝ้ามองเฝ้าดูมันอยู่ตลอดทั้งคืน แล้วก็หลับไป

ตอนหลับไปเราก็ไปฝันเห็น นิมิต อีกเรื่องนึงแต่ นิมิต เรื่องนี้เราไม่ขอเล่าเพราะเราไม่สามารถเล่าได้จริงๆแม้ว่าเราอยากจะเล่าก็ตาม

ตอนที่เราปฎิบัติธรรมที่ขอนแก่นใหม่ๆมีอยู่ครั้งนึงพระอาจารย์ท่านเทศน์เรื่องเกี่ยวกับการปฎิบัติธรรมกรรมฐาน ท่านบอกว่าคนที่ปฎิบัติธรรมไปนานๆ ปฎิบัติไปตลอด ได้ไปรู้ ไปเห็นอะไรมาแล้วไปเล่าให้ใครฟัง

ถ้าคนๆนั้นที่ได้ฟัง ยังไม่บอกว่า เราบ้าไปแล้วนั้น แสดงว่ายังปฎิบัติธรรมได้ไม่ดีพอ ยังไปไม่ถึงไหน แต่เมื่อถ้าคนที่ฟังเขาพูดคำนั้นกับเราเมื่อไหร่ ให้เราดีใจได้เลยว่าเรามาถูกทางแล้ว

ในตอนนั้นทีแรกเราคิดว่าท่านพูดเล่น พูดให้ขำกันเฉยๆ แต่พอมาคิดๆดูแล้วในตอนนี้ เราคิดว่าท่านพูดเรื่องจริง ไม่ใช่พูดเล่นแค่ขำๆ แล้วคุณละคะ? เข้ามาอ่านแล้วคิดยังไง คิดว่าเราถึงขั้น บ้าไปแล้วหรือยัง

สำหรับตัวเราเอง เราก็จะตอบแบบตรงๆว่า เราคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้วจริงๆ และก็คงจะเรียกได้ว่า บ้ามาตั้งแต่เกิดแล้วก็ได้ เพราะเรามีความคิด มีการกระทำที่ค่อนข้างจะแปลกและแตกต่างจากคนอื่นๆปกติทั่วไปมาตั้งแต่ต้นแล้ว

เลยทำให้เราเจอแต่เรื่องแปลกๆ เรื่องที่คนปกติเขาไม่เจอกัน แล้วก็ยังคงดำเนินชีวิตมาด้วยความคิดเช่นนั้น การกระทำเช่นนั้น มาโดยตลอด และเราก็จะเดินต่อไปจนสุดทาง ไม่ว่ามันจะเจออะไรที่มันบ้าไปมากกว่านี้ก็ตาม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่