เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 37

***คำเตือน*** จขกท. ค่อนข้างจะเป็นคนปากหมา กรุณาอย่าถือสาภาษาที่ใช้ตอบคอมเม้นท์

สำหรับในกระทู้นี้ เราจะเล่าสิ่งที่เราได้ประสบพบเจอ และได้ผ่านมาแล้วในเดือนกว่าๆที่ผ่านมา อย่างที่เราได้เล่าไปว่าหลังจากที่เราเห็นนิมิตครั้งสุดท้ายในความฝัน  เราก็หยุดการเห็นนิมิตของเราไปเลย แต่ที่เราต้องประสบหลังจากนั้นคือ ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง

ซึ่งสำหรับเรามันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แปลกใหม่อะไรเลย เป็นสิ่งที่เราเจอมาตลอดเวลาที่เราไปทำกรรมฐานปฎิบัติธรรมทุกครั้ง แต่ที่แตกต่างคือ ครั้งนี้มันรบกวนชีวิตประจำวันเราเป็นอย่างมาก

เพราะมันมาทำให้เราคิดอยู่ตลอดเวลา คือประมาณว่า ตื่นลืมตาขึ้นมาก็คิดเลย คิดมาก คิดย้ำๆซ้ำๆ วนเวียนอยู่ในเรื่องเดิมๆ เรื่องที่คิดอยู่ในหัวก็เป็นเรื่องเดิมๆที่เราเคยปลงตกไปแล้วในอดีต

แต่มันกลับนำมาคิดใหม่ แถมคิดหนักกว่าเก่า คิดแต่เรื่องที่ทำให้เราเป็นทุกข์ เรื่องที่เราเคยตัดสินใจผิดพลาดในอดีต คิดวนเวียนว่าถ้าเราเลือกตัดสินใจอีกอย่างในตอนนั้น ชีวิตเราจะไม่เป็นแบบนี้ หรือถ้าเราเลือกทำแบบนี้ในตอนนั้น มันจะเกิดผลแบบนี้

คิดวนเวียนไปเช่นนั้น จากสิบรอบกลายเป็นพันรอบ จากชั่วโมงคิดเป็นวัน เป็นคืน บางเรื่องก็ข้ามคืน เราก็พยายามตามดูจิตเราให้ทันในเรื่องที่มันคิด แต่ตามแล้ว ดูแล้ว มันก็ยังไม่หยุดคิด

เหมือนกำลังความฟุ้งซ่านมันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน มันพยายามปลุกกิเลสที่เราคิดว่าเราละมันได้แล้ว ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเกลียดชัง ความผิดหวัง ความอาฆาตพยาบาทมาดร้ายผู้อื่น

คือทั้งหมดมันถาโถมเข้ามาทีเดียวพร้อมกัน แบบที่เราเกือบตั้งรับไม่ทัน ถ้าเปรียบเทียบความทุกข์จากกองกิเลสเหล่านั้น มันก็เหมือนกับ ท่อส่งน้ำที่มันเคยมีรอยรั่วอยู่แล้วก่อนหน้านี้ 

พอเราพยายามปิดรอยรั่วนั้นไว้ ซึ่งแรกๆมันก็พอปิดได้เพราะน้ำในท่ออาจจะไม่แรงเท่าไหร่ แต่พอแรงดันน้ำในท่อนั้นเพิ่มมากขึ้น มันก็ดันรอยรั่วเก่านั้นให้เปิดออก แถมรั่วหนักกว่าเก่าอีก แล้วก็รั่วเพิ่มอีกหลายจุดพร้อมๆกัน

นั่นคือสิ่งที่เราได้เจอเมื่อไม่นานมานี้ เราบอกตามตรงเราเกือบจะเป็นบ้าตาย เพราะวันๆต้องพยายามควบคุมตัวเองให้อยู่ ให้มันอยู่กับความคิดพวกนั้นให้ได้ ซึ่งมันไม่ง่ายเลย

เพราะเรารู้สึกได้ว่าจิตเราไวขึ้น ไวกว่าเดิมมาก ก่อนหน้านี้เมื่อเกิดความคิดฟุ้งซ่านเช่นนี้เกิดขึ้น เราเอาสติไปตามดู ตามรู้มัน แค่รอบสองสอบ มันก็จะหยุดคิด และสงบลงแล้ว

แต่ครั้งนี้ ไม่ว่าจะตามดู ตามรู้สักกี่รอบ ตามเป็นวัน ตามทั้งคืน ข้ามคืนข้ามวัน บางทีก็ยังคิดเรื่องนั้นๆ ซ้ำๆอยู่เช่นเดิมไม่ยอมหยุด จนเราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เราก็ปล่อยให้มันคิดไปงั้นแหละ จะบ้าก็บ้าไปเลย

แล้วเราก็พยายามหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างอื่น เพื่อไม่ให้สติเราเตลิดไปกับความคิดฟุ้งซ่านพวกนั้น อะไรที่เรานึกได้ ที่เราเคยเรียน เคยฝึกมา เรางัดเอาออกมาใช้จนหมด

ก่อนนอนก็ท่องบทสวด อิติปิโส วนไปเรื่อยๆจนกว่าจะเหนื่อยแล้วหลับไป ตอนกลางวันก็พยายาม ดูหนัง ฟังเพลง จดจ่อกับงานให้มากที่สุดเพื่อให้มันหยุดคิด หาอย่างอื่นทำบ้าง เช่นปลูกต้นไม้ ออกไปข้างนอก ขัดๆถูๆทุกอย่างในบ้าน พยายามเอาสติไปยึดกับสิ่งที่ทำแทน

แต่มันก็ช่วยได้ไม่เท่าไหร่ มันก็ยังคงคิดฟุ้งซ่านอยู่เหมือนเดิม แต่ความคิดฟุ้งซ่านของเราในคราวนี้มันมีความแปลกอยู่อย่างนึงคือ มันไม่ทำให้เราทุกข์ หรือมีอารมณ์ร่วมไปกับความคิดนั้นๆของตัวเอง

และเราสังเกตจิตตัวเอง จิตเราได้เปลี่ยนไป จากปกติเวลาที่เรามีความสุข รู้สึกปิติ ยินดี จิตเราจะรู้สึกสว่าง สดใส แต่ถ้าตอนไหนที่โดนความโกรธ ความเกลียด หรือโดนกิเลสตัวอื่นๆครอบงำ เราจะรู้สึกได้ว่าตอนนั้น จิตเรามันหม่นหมอง ดำมืด จิตตก ไม่สดใส เพราะในใจเราเป็นทุกข์

แต่ในตอนนั้นและขณะนี้ เรากลับไม่เห็นอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย จิตเรามันไม่มีอะไรเลย มันรู้สึกว่างเปล่า ไม่สว่างสดใส ไม่หม่นหมอง เหมือนมันไม่มี เรามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ถึงความมีอยู่ของจิตตนเอง

มันแปลกมากจริงๆ เราไม่รู้ว่ามันเป็นสภาวะแบบไหน แล้วหลังจากนั้นอาการความคิดฟุ้งซ่านของเรามันก็หายไปเอง เราก็กลับมาอยู่กับปัจจุบันได้อีกครั้ง แต่หลังจากนั้นเวลาที่เราจะนอนเราจะพยายามกำหนดสติไว้ที่ท้องพองยุบเสมอทุกคืนเป็นประจำอยู่แล้ว

แต่พอกำหนดไปเกือบจะหลับ มันจะมีอาการเหมือนมีเข็มมาทิ่มที่กลางกระหม่อมทำให้รู้สึกเสียวจี้ดที่หัว สมาธิหลุดตลอด แม้แต่เวลาที่เรานอนกลางวันก็เป็น เราก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีอาการเช่นนั้น

และช่วงเวลาที่เกิดอาการเช่นนั้น เราก็ไม่ฝันไม่เห็นนิมิตอีกเลย เราเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกันมั้ย ซึ่งเราก็คิดว่าอาการความฝันเห็นนิมิตของเราคงจะหายไปแล้ว

แต่ว่าหลังจากนั้น เราก็กลับมาฝันและเห็นนิมิตอีกครั้ง แถมครั้งนี้เห็นลึกกว่า ชัดกว่า เพราะเราฝันถึงสถานที่เดิม ในเหตุการณ์ที่แตกต่างกันถึง 2 คืนติดๆกันโดยไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในวันโกนวันพระเหมือนเช่นก่อนหน้านี้

สิ่งที่เราคิดว่าเป็นสาเหตุทำให้เรากลับมาฝันเห็นนิมิตได้อีกครั้งนั้นคืออะไร เดี๋ยวเรามาเล่าต่อในกระทู้ถัดไปค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่