ศาลแขวงโคราชยกฟ้อง ‘เบนจา-โคราชมูฟเมนต์’ รวม 6 คน คดีคาร์ม็อบ 2564
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_3774186
‘เบนจา’ พร้อมเยาวชนโคราชมูฟเมนต์ โล่ง ศาลแขวงยกฟ้องคดีคาร์ม็อบ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.โรคติดต่อ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 มกราคม ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 3 ศาลแขวงนครราชสีมาอ่านพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ1269/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 669/2566 ที่พนักงานอัยการคดีศาลแขวงนครราชสีมาเป็นโจทก์ฟ้อง นาย
วรัญญู คงสถิตย์ธรรม, น.ส.
เบนจา อะปัญ นักกิจกรรมทางการเมือง พร้อมพวกรวม 6 คน ซึ่งเป็นเยาวชน กลุ่มโคราชมูฟเมนต์ เป็นจำเลย ฐานความผิดร่วมกันจัดกิจกรรม ซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 5 คน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานโรคติดต่อ และร่วมชุมนุมในขณะที่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอาจทำให้เหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น อันเป็นการกระทำที่ร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ 2548 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2564 เวลา 16.00 น.
จำเลยทั้ง 6 ร่วมจัดกิจกรรมทางการเมือง “คาร์ม็อบ” บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) จากนั้นได้เคลื่อนขบวนไปตามเส้นทางในเขตเมืองนครราชสีมา และเป็นผู้กล่าวปราศรัยบนรถติดตั้งเครื่องขยายเสียง ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของบุคคลประมาณ 400 คน ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข อาจทำให้เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครราชสีมา ได้ออกคำสั่งที่ 3916/2564 เรื่อง มาตรการในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรง เนื่องจากเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ข้อ 10 ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มมากกว่า 5 คน แต่ในระยะเวลาดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นขออนุญาตแต่อย่างใด
ทั้งนี้ พยานโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงสนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยทั้งหมดเป็นผู้จัดการชุมนุม โดยเป็นเพียงผู้เข้าร่วมการชุมนุมและทำกิจกรรมเท่านั้น จึงไม่มีหน้าที่ต้องขออนุญาต และไม่เป็นความผิดฐานดังกล่าวตามฟ้อง
สำหรับความผิดฐานร่วมกันชุมนุมมั่วสุมในลักษณะมีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค แม้จะมีบุคคลร่วมชุมนุมจำนวนมาก บางคนยืนอยู่ใกล้ชิดกัน บางคนสวมหน้ากากอนามัยไม่เหมาะสม ไม่มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ไม่มีเจลแอลกอฮอล์ให้บริการ และไม่เว้นระยะห่าง แต่เส้นทางการเคลื่อนขบวนและสถานที่ชุมนุมเป็นพื้นที่โล่งกว้าง อากาศถ่ายเทสะดวก รวมทั้งผู้ฟังการปราศรัยส่วนใหญ่สวมหน้ากากอนามัยทั้งสิ้น บางรายอยู่ในยานพาหนะของตนเอง
ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นว่าภายหลังเกิดเหตุมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากการร่วมชุมนุม และไม่มีพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้ง 6 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้ง 6 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยพยานหลักฐาน พิพากษายกฟ้อง
ภายหลังฟังคำพิพากษา นาย
วรัญญู พร้อมพวกได้ขอบคุณ พ.ต.ท.
อัครพงษ์ วรรณพงษ์ ทนายความเครื่อข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่คอยช่วยเหลือเป็นที่ปรึกษาข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นคดีที่ 3 ที่จำเลยบางรายถูกยื่นฟ้องฐานความผิดเดียวกัน แต่ต่างกรรม ต่างวาระ โดยทุกคดีคำพิพากษายกฟ้องทั้งหมด
น.ส.
เบนจาเปิดเผยว่า คำพิพากษายกฟ้องยืนยันสิ่งที่พวกเราขับเคลื่อนมาตลอด และถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ รู้สึกดีใจที่เสร็จสิ้นอีกคดี ทั้งๆ ที่ไม่น่าผิดตั้งแต่แรก แต่พวกคุณก็ใช้อำนาจ ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทำให้พวกเราวุ่นวาย ซึ่งเราต้องการเรียกร้องให้คุณภาพสังคมดีขึ้น และต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น
หุ่น ขรก.โผล่กลางสยาม ‘นักเรียนเลว’ ถาม ‘ครูคือใคร’ พระคุณที่ 3 เคยตัดผม-ยึดของ-คุกคามคุณไหม?
https://www.matichon.co.th/politics/news_3774628
หุ่นข้าราชการโผล่กลางสยาม ‘นักเรียนเลว’ จัดนิทรรศการกลางสยาม ชวนหาคำตอบ ‘ครูคือใคร’ ถาม พระคุณที่ 3 เคยตัดผม-ยึดของ-คุกคามไหม?
เมื่อวันที่ 16 มกราคม เวลา 16.00 น. ที่บริเวณทางเท้าหน้าห้างสรรพสินค้าสยามสแควร์วัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ กลุ่มนักเรียนเลว นำโดย น.ส.
อันนา อันนานนท์ หรือ
อันนา และนาย
ลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ หรือ
มิน จัดนิทรรศการวันครู โดยชวนผู้ที่สัญจรย่านสยามร่วมหาคำตอบว่า ครูซึ่งคือผู้ให้ คือแม่พิมพ์ หรือคือพระคุณที่สามในสายตาของใครหลายคน แต่จริงๆ แล้วในสายตาของนักเรียน ครูคือใครกันแน่…
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศเวลา 15.45 น. กลุ่มนักเรียนเลวเริ่มจัดเตรียมสถานนิทรรศการ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลความเรียบร้อยและเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
สำหรับนิทรรศการที่ถูกจัดขึ้นในวันนี้ประกอบไปด้วย หุ่นผู้ชายและผู้หญิงสวมชุดข้าราชการ พร้อมจัดสถานที่ด้วยโต๊ะและเก้าอี้นักเรียน มีการนำกระดาษลังทำเป็นบอร์ดให้ร่วมเขียนข้อความว่า ‘
ครูคือใครสำหรับคุณ’ และร่วมติดสติ๊กเกอร์แสดงความเห็นในหัวข้อที่ว่า ‘
คุณเคยโดนครูทำสิ่งเหล่านี้หรือไม่?’ เช่น ถูกกล้อนผม/ตัดผม, ถูกยึดสิ่งของ, ถูกทำร้ายร่างกาย และถูกคุกคามทางเพศ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบอร์ดที่จัดแสดงถึงการลงโทษนักเรียนที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย
พท.เตือน 'ประยุทธ์' ระวัง 'แรมโบ้' ไหลมา 9 พรรค กับย่าโมยังกล้าถอนสาบาน
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7462070
เพื่อไทย ฟุ้งแลนด์สไลด์อีสานถล่มทลาย เตือน ‘ประยุทธ์’ ระวัง ‘แรมโบ้’ เย้ยเปลี่ยนมาแล้ว 9 พรรค ไม่อายถอนคำสาบานกับย่าโม
วันที่ 16 ม.ค. 2566 นายณ
พลเดช มณีลังกา คณะทำงานศูนย์ข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การที่นาย
เสกสกล อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษา พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่าประชาชนในหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคอีสาน ยังให้การสนับสนุนพล.อ.
ประยุทธ์ถึงขั้นจะได้ ส.ส.อีสาน ขั้นต่ำ 30 ที่นั่ง และทั่วประเทศน่าจะได้มากกว่า 100 ที่นั่งนั้น ถ้าบอกกับพล.อ.
ประยุทธ์อาจจะเชื่อ แต่ถ้าจับอากัปกิริยาจากคนอีสาน ถ้ากระแสรักพล.อ.
ประยุทธ์แรง ทำไมพรรคพท.จึงสร้างปฏิกิริยาแลนด์สไลด์การเลือกตั้งท้องถิ่นในอีสานอย่างถล่มทลาย ปักธงนำสร้างกระแสความต้องการนายกฯ
“
ชื่อแพทองธาร ชินวัตร แซงหน้าพล.อ.ประยุทธ์อย่างไม่เห็นฝุ่น นายเสกสกลอาจจะนอนหลับและฝันคนเดียวได้ แต่อย่าดึงพล.อ.ประยุทธ์เข้าไปในฝันด้วย อย่าเห็นพล.อ.ประยุทธ์เป็นคนเชื่อคนง่ายขนาดนั้น”
นาย
ณพลเดช กล่าวต่อว่า การที่กล่าวอ้างว่าพรรคพท.แบ่งแยกสีเสื้อนั้น พรรคพท.ไม่เคยแยกสีเสื้อ มีแต่จะทำตามสิ่งที่ประชาชนต้องการ คือประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน โดยประชาชนเพื่อประชาชน เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยกินได้และอยู่กับประชาชนอย่างยั่งยืน การที่นาย
เสกสกลอยากจะเปลี่ยนค่ายเปลี่ยนพรรคการเมืองกี่พรรคไม่มีใครว่า เพราะเป็นสำนึกและสิทธิส่วนบุคคล
นาย
ณพลเดช กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาชีวิตของนาย
เสกสกลก็เปลี่ยนพรรคการเมืองมาแล้ว 9 พรรค เปลี่ยนหัวหน้าพรรคมาแล้วหลายคน จึงไม่แปลกอะไรที่นาย
เสกสกลจะเอาอกเอาใจคนที่เข้ามาเป็นเจ้านาย ทั้งนี้ นาย
เสกสกลผู้ที่เคยร้องเพลงกตัญญูทักษิณ ที่ความหมายของเพลงบรรยายถึงการไม่ลืมบุญคุณคนที่ชื่อ
ทักษิณ ถึงขั้นเคยร้องไห้แสดงความกตัญญูต่อหน้าประชาชนบนเวทีเป็นหลายแสนคน วันนี้กลับมากล่าวว่าตนเองมีบุญคุณกับนาย
ทักษิณ ทำเอาคนที่เคยฟังเพลงกตัญญูทักษิณงง
“
คงไม่แปลกอะไรกับการที่มีคนไปสาบานกับย่าโมแล้วไม่ปฏิบัติตาม แทนที่จะอายกลับบอกว่าได้ถอนคำสาบานกับย่าโมแล้ว ไม่ทราบว่านายเสกสกลรู้จักคนๆ นั้นหรือไม่ ใครทำอะไรก็จะได้สิ่งๆ นั้นกลับคืนไม่ช้าก็เร็ว จะพูดอะไรก็ได้แต่คำพูดจะเป็นนายเราตลอดไป” นาย
ณพลเดช กล่าว
‘พิธา’ เคารพ ‘ตะวัน-แบม’ ตัดสินใจ ถอนประกันตัวเอง ย้ำสมัยหน้า ดันแก้ม.112
https://www.matichon.co.th/politics/news_3774905
‘พิธา’ เคารพการตัดสินใจนักกิจกรรมขอถอนประกันตัวเอง แนะเปิดใจรับฟัง อย่าฆ่าอนาคตประเทศด้วยมือตัวเอง เผย สภาฯ สมัยหน้าต้องแก้ ม.112
เมื่อวันที่ 16 มกราคม นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณี น.ส.
ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ น.ส.
อรวรรณ ภู่พงษ์ 2 เยาวชนที่อยู่ระหว่างการประกันตัวในคดีมาตรา 112 เดินทางมายื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อขอถอนประกันตัวเอง ว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ทนายความได้ติดต่อให้ตนไปเป็นนายประกันของ
ทานตะวัน ต่อมาศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวตามคำร้อง และแต่งตั้งให้ตนเป็นผู้กำกับดูแล
ทานตะวัน มาวันนี้ อาจมีหลายคนไม่เห็นด้วยกับการขอถอนประกันตัวเองดังกล่าว แต่ในฐานะผู้กำกับดูแล ตนเคารพการตัดสินใจของ
ทานตะวันตามเหตุผลที่ว่า พวกเราพร้อมแลกอิสรภาพจอมปลอมที่ศาลมอบให้ เพื่ออิสรภาพที่แท้จริงของเพื่อนเรา การดำเนินคดีการเมืองอย่างที่เป็นอยู่กำลังจะเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองไม่มีทางออก ตนไม่เชื่อว่าการใช้ มาตรา 112 อย่างนี้ จะเป็นผลดีต่อสถาบันกษัตริย์เลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน การใช้ มาตรา112 จะยิ่งสร้างความแตกร้าวระหว่างประชาชนกับสถาบันกษัตริย์มากขึ้นไปอีก
นาย
พิธากล่าวว่า นี่คือปัญหาแรกๆ ที่รัฐบาลสมัยหน้าต้องแก้ คือ หนึ่ง ยุติการดำเนินคดีการเมือง และสอง นิรโทษกรรมนักโทษคดีการเมือง เพื่อคืนความยุติธรรม สภาฯ สมัยหน้าควรต้องแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายความมั่นคงหลายฉบับ รวมทั้ง ม.112 ที่อย่างน้อยต้องมีการแก้ไขบทบัญญัติไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง และมีความสมดุลกันระหว่างการคุ้มครองประมุขของรัฐกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ถึงเวลาแล้วที่เราควรหยุดแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น ขอเชิญชวนให้ตั้งสติเสียใหม่ เปิดใจ ปรับมุมมอง แล้วลงมือหาทางออกของประเทศไปด้วยกัน แต่ถ้าเราไม่พร้อม เราก็จะมองเห็นเพียงแค่ว่า ผู้เป็นอนาคตของชาติเหล่านั้น เป็นภัยต่อความมั่นคง เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นนั้น ประเทศก็จะไม่มีทางออก ไม่มีอนาคต เพราะพวกเราช่วยกันฆ่าอนาคตของประเทศด้วยมือของพวกเราเองแล้ว
JJNY : 5in1 ยกฟ้องคาร์ม็อบ│‘ครูคือใคร’│พท.เตือน'ประยุทธ์'│‘พิธา’เคารพ‘ตะวัน-แบม’ตัดสินใจ│‘เบนซิน-แก๊สโซฮอล์’ ขึ้นราคา
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_3774186
‘เบนจา’ พร้อมเยาวชนโคราชมูฟเมนต์ โล่ง ศาลแขวงยกฟ้องคดีคาร์ม็อบ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.โรคติดต่อ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 มกราคม ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 3 ศาลแขวงนครราชสีมาอ่านพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ1269/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 669/2566 ที่พนักงานอัยการคดีศาลแขวงนครราชสีมาเป็นโจทก์ฟ้อง นายวรัญญู คงสถิตย์ธรรม, น.ส.เบนจา อะปัญ นักกิจกรรมทางการเมือง พร้อมพวกรวม 6 คน ซึ่งเป็นเยาวชน กลุ่มโคราชมูฟเมนต์ เป็นจำเลย ฐานความผิดร่วมกันจัดกิจกรรม ซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 5 คน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานโรคติดต่อ และร่วมชุมนุมในขณะที่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอาจทำให้เหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น อันเป็นการกระทำที่ร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ 2548 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2564 เวลา 16.00 น.
จำเลยทั้ง 6 ร่วมจัดกิจกรรมทางการเมือง “คาร์ม็อบ” บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) จากนั้นได้เคลื่อนขบวนไปตามเส้นทางในเขตเมืองนครราชสีมา และเป็นผู้กล่าวปราศรัยบนรถติดตั้งเครื่องขยายเสียง ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของบุคคลประมาณ 400 คน ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข อาจทำให้เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครราชสีมา ได้ออกคำสั่งที่ 3916/2564 เรื่อง มาตรการในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรง เนื่องจากเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ข้อ 10 ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มมากกว่า 5 คน แต่ในระยะเวลาดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นขออนุญาตแต่อย่างใด
ทั้งนี้ พยานโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงสนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยทั้งหมดเป็นผู้จัดการชุมนุม โดยเป็นเพียงผู้เข้าร่วมการชุมนุมและทำกิจกรรมเท่านั้น จึงไม่มีหน้าที่ต้องขออนุญาต และไม่เป็นความผิดฐานดังกล่าวตามฟ้อง
สำหรับความผิดฐานร่วมกันชุมนุมมั่วสุมในลักษณะมีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค แม้จะมีบุคคลร่วมชุมนุมจำนวนมาก บางคนยืนอยู่ใกล้ชิดกัน บางคนสวมหน้ากากอนามัยไม่เหมาะสม ไม่มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ไม่มีเจลแอลกอฮอล์ให้บริการ และไม่เว้นระยะห่าง แต่เส้นทางการเคลื่อนขบวนและสถานที่ชุมนุมเป็นพื้นที่โล่งกว้าง อากาศถ่ายเทสะดวก รวมทั้งผู้ฟังการปราศรัยส่วนใหญ่สวมหน้ากากอนามัยทั้งสิ้น บางรายอยู่ในยานพาหนะของตนเอง
ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นว่าภายหลังเกิดเหตุมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากการร่วมชุมนุม และไม่มีพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้ง 6 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้ง 6 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยพยานหลักฐาน พิพากษายกฟ้อง
ภายหลังฟังคำพิพากษา นายวรัญญู พร้อมพวกได้ขอบคุณ พ.ต.ท.อัครพงษ์ วรรณพงษ์ ทนายความเครื่อข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่คอยช่วยเหลือเป็นที่ปรึกษาข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นคดีที่ 3 ที่จำเลยบางรายถูกยื่นฟ้องฐานความผิดเดียวกัน แต่ต่างกรรม ต่างวาระ โดยทุกคดีคำพิพากษายกฟ้องทั้งหมด
น.ส.เบนจาเปิดเผยว่า คำพิพากษายกฟ้องยืนยันสิ่งที่พวกเราขับเคลื่อนมาตลอด และถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ รู้สึกดีใจที่เสร็จสิ้นอีกคดี ทั้งๆ ที่ไม่น่าผิดตั้งแต่แรก แต่พวกคุณก็ใช้อำนาจ ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทำให้พวกเราวุ่นวาย ซึ่งเราต้องการเรียกร้องให้คุณภาพสังคมดีขึ้น และต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น
หุ่น ขรก.โผล่กลางสยาม ‘นักเรียนเลว’ ถาม ‘ครูคือใคร’ พระคุณที่ 3 เคยตัดผม-ยึดของ-คุกคามคุณไหม?
https://www.matichon.co.th/politics/news_3774628
หุ่นข้าราชการโผล่กลางสยาม ‘นักเรียนเลว’ จัดนิทรรศการกลางสยาม ชวนหาคำตอบ ‘ครูคือใคร’ ถาม พระคุณที่ 3 เคยตัดผม-ยึดของ-คุกคามไหม?
เมื่อวันที่ 16 มกราคม เวลา 16.00 น. ที่บริเวณทางเท้าหน้าห้างสรรพสินค้าสยามสแควร์วัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ กลุ่มนักเรียนเลว นำโดย น.ส.อันนา อันนานนท์ หรืออันนา และนายลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ หรือมิน จัดนิทรรศการวันครู โดยชวนผู้ที่สัญจรย่านสยามร่วมหาคำตอบว่า ครูซึ่งคือผู้ให้ คือแม่พิมพ์ หรือคือพระคุณที่สามในสายตาของใครหลายคน แต่จริงๆ แล้วในสายตาของนักเรียน ครูคือใครกันแน่…
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศเวลา 15.45 น. กลุ่มนักเรียนเลวเริ่มจัดเตรียมสถานนิทรรศการ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลความเรียบร้อยและเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
สำหรับนิทรรศการที่ถูกจัดขึ้นในวันนี้ประกอบไปด้วย หุ่นผู้ชายและผู้หญิงสวมชุดข้าราชการ พร้อมจัดสถานที่ด้วยโต๊ะและเก้าอี้นักเรียน มีการนำกระดาษลังทำเป็นบอร์ดให้ร่วมเขียนข้อความว่า ‘ครูคือใครสำหรับคุณ’ และร่วมติดสติ๊กเกอร์แสดงความเห็นในหัวข้อที่ว่า ‘คุณเคยโดนครูทำสิ่งเหล่านี้หรือไม่?’ เช่น ถูกกล้อนผม/ตัดผม, ถูกยึดสิ่งของ, ถูกทำร้ายร่างกาย และถูกคุกคามทางเพศ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบอร์ดที่จัดแสดงถึงการลงโทษนักเรียนที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย
พท.เตือน 'ประยุทธ์' ระวัง 'แรมโบ้' ไหลมา 9 พรรค กับย่าโมยังกล้าถอนสาบาน
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7462070
เพื่อไทย ฟุ้งแลนด์สไลด์อีสานถล่มทลาย เตือน ‘ประยุทธ์’ ระวัง ‘แรมโบ้’ เย้ยเปลี่ยนมาแล้ว 9 พรรค ไม่อายถอนคำสาบานกับย่าโม
วันที่ 16 ม.ค. 2566 นายณพลเดช มณีลังกา คณะทำงานศูนย์ข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การที่นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่าประชาชนในหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคอีสาน ยังให้การสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ถึงขั้นจะได้ ส.ส.อีสาน ขั้นต่ำ 30 ที่นั่ง และทั่วประเทศน่าจะได้มากกว่า 100 ที่นั่งนั้น ถ้าบอกกับพล.อ.ประยุทธ์อาจจะเชื่อ แต่ถ้าจับอากัปกิริยาจากคนอีสาน ถ้ากระแสรักพล.อ.ประยุทธ์แรง ทำไมพรรคพท.จึงสร้างปฏิกิริยาแลนด์สไลด์การเลือกตั้งท้องถิ่นในอีสานอย่างถล่มทลาย ปักธงนำสร้างกระแสความต้องการนายกฯ
“ชื่อแพทองธาร ชินวัตร แซงหน้าพล.อ.ประยุทธ์อย่างไม่เห็นฝุ่น นายเสกสกลอาจจะนอนหลับและฝันคนเดียวได้ แต่อย่าดึงพล.อ.ประยุทธ์เข้าไปในฝันด้วย อย่าเห็นพล.อ.ประยุทธ์เป็นคนเชื่อคนง่ายขนาดนั้น”
นายณพลเดช กล่าวต่อว่า การที่กล่าวอ้างว่าพรรคพท.แบ่งแยกสีเสื้อนั้น พรรคพท.ไม่เคยแยกสีเสื้อ มีแต่จะทำตามสิ่งที่ประชาชนต้องการ คือประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน โดยประชาชนเพื่อประชาชน เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยกินได้และอยู่กับประชาชนอย่างยั่งยืน การที่นายเสกสกลอยากจะเปลี่ยนค่ายเปลี่ยนพรรคการเมืองกี่พรรคไม่มีใครว่า เพราะเป็นสำนึกและสิทธิส่วนบุคคล
นายณพลเดช กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาชีวิตของนายเสกสกลก็เปลี่ยนพรรคการเมืองมาแล้ว 9 พรรค เปลี่ยนหัวหน้าพรรคมาแล้วหลายคน จึงไม่แปลกอะไรที่นายเสกสกลจะเอาอกเอาใจคนที่เข้ามาเป็นเจ้านาย ทั้งนี้ นายเสกสกลผู้ที่เคยร้องเพลงกตัญญูทักษิณ ที่ความหมายของเพลงบรรยายถึงการไม่ลืมบุญคุณคนที่ชื่อทักษิณ ถึงขั้นเคยร้องไห้แสดงความกตัญญูต่อหน้าประชาชนบนเวทีเป็นหลายแสนคน วันนี้กลับมากล่าวว่าตนเองมีบุญคุณกับนายทักษิณ ทำเอาคนที่เคยฟังเพลงกตัญญูทักษิณงง
“คงไม่แปลกอะไรกับการที่มีคนไปสาบานกับย่าโมแล้วไม่ปฏิบัติตาม แทนที่จะอายกลับบอกว่าได้ถอนคำสาบานกับย่าโมแล้ว ไม่ทราบว่านายเสกสกลรู้จักคนๆ นั้นหรือไม่ ใครทำอะไรก็จะได้สิ่งๆ นั้นกลับคืนไม่ช้าก็เร็ว จะพูดอะไรก็ได้แต่คำพูดจะเป็นนายเราตลอดไป” นายณพลเดช กล่าว
‘พิธา’ เคารพ ‘ตะวัน-แบม’ ตัดสินใจ ถอนประกันตัวเอง ย้ำสมัยหน้า ดันแก้ม.112
https://www.matichon.co.th/politics/news_3774905
‘พิธา’ เคารพการตัดสินใจนักกิจกรรมขอถอนประกันตัวเอง แนะเปิดใจรับฟัง อย่าฆ่าอนาคตประเทศด้วยมือตัวเอง เผย สภาฯ สมัยหน้าต้องแก้ ม.112
เมื่อวันที่ 16 มกราคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณี น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ 2 เยาวชนที่อยู่ระหว่างการประกันตัวในคดีมาตรา 112 เดินทางมายื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อขอถอนประกันตัวเอง ว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ทนายความได้ติดต่อให้ตนไปเป็นนายประกันของทานตะวัน ต่อมาศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวตามคำร้อง และแต่งตั้งให้ตนเป็นผู้กำกับดูแลทานตะวัน มาวันนี้ อาจมีหลายคนไม่เห็นด้วยกับการขอถอนประกันตัวเองดังกล่าว แต่ในฐานะผู้กำกับดูแล ตนเคารพการตัดสินใจของทานตะวันตามเหตุผลที่ว่า พวกเราพร้อมแลกอิสรภาพจอมปลอมที่ศาลมอบให้ เพื่ออิสรภาพที่แท้จริงของเพื่อนเรา การดำเนินคดีการเมืองอย่างที่เป็นอยู่กำลังจะเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองไม่มีทางออก ตนไม่เชื่อว่าการใช้ มาตรา 112 อย่างนี้ จะเป็นผลดีต่อสถาบันกษัตริย์เลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน การใช้ มาตรา112 จะยิ่งสร้างความแตกร้าวระหว่างประชาชนกับสถาบันกษัตริย์มากขึ้นไปอีก
นายพิธากล่าวว่า นี่คือปัญหาแรกๆ ที่รัฐบาลสมัยหน้าต้องแก้ คือ หนึ่ง ยุติการดำเนินคดีการเมือง และสอง นิรโทษกรรมนักโทษคดีการเมือง เพื่อคืนความยุติธรรม สภาฯ สมัยหน้าควรต้องแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายความมั่นคงหลายฉบับ รวมทั้ง ม.112 ที่อย่างน้อยต้องมีการแก้ไขบทบัญญัติไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง และมีความสมดุลกันระหว่างการคุ้มครองประมุขของรัฐกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ถึงเวลาแล้วที่เราควรหยุดแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น ขอเชิญชวนให้ตั้งสติเสียใหม่ เปิดใจ ปรับมุมมอง แล้วลงมือหาทางออกของประเทศไปด้วยกัน แต่ถ้าเราไม่พร้อม เราก็จะมองเห็นเพียงแค่ว่า ผู้เป็นอนาคตของชาติเหล่านั้น เป็นภัยต่อความมั่นคง เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นนั้น ประเทศก็จะไม่มีทางออก ไม่มีอนาคต เพราะพวกเราช่วยกันฆ่าอนาคตของประเทศด้วยมือของพวกเราเองแล้ว