ปล. ที่ตั้งเป็นกระทู้คำถามก็เพราะว่า..มีคนขอไว้
https://etipitaka.com/read/thai/16/21/
๙. พาลปัณฑิตสูตร
[๕๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย "
กายนี้ของคนพาล " ผู้อัน อวิชชาหุ้มห่อแล้ว ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้
กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้
เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ
ซึ่งทั้ง สองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องคนพาล เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์
" กายนี้ของ บัณฑิต "...ผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้วประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้
กายนี้ด้วย นามรูป ในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้
เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ
ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องบัณฑิต เป็นเหตุให้เสวยสุข และทุกข์ ฯ
[๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนั้น จะแปลกกันอย่างไร
จะมีอธิบายอย่างไร
จะต่างกันอย่างไร ระหว่าง...บัณฑิต..กับ..พาล
พวกภิกษุกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมของพวก ข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นเดิม
มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่งอาศัย
ขอประทานพระวโรกาส เนื้อความแห่งพระภาษิตนี้ แจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคพระองค์เดียว
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังแต่พระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว
ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
[๕๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของ
คนพาลผู้ถูกอวิชชาใด หุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว
อวิชชานั้น คนพาลยังละไม่ได้ และ ตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความ สิ้นทุกข์โดยชอบ
เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย 👈...คนพาลไปได้กายใหม่..อตฺตภาวปฏิลาโภ..
เมื่อเขาเข้าถึงกายชื่อว่ายังไม่พ้น จากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์
กายนี้ของ
บัณฑิตผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว
อวิชชานั้น บัณฑิตละได้แล้วและตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติ พรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
เหตุนั้น เมื่อตายไป
บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย 👈..
เพราะวิญญาณไม่หยั่งลง..เนื่องจากไม่มีตัณหาในอาหาร4
เมื่อเขา ไม่เข้าถึงกาย ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
เรากล่าว ว่า ย่อมพ้นจากทุกข์
อันนี้เป็นความแปลกกัน อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็นความต่างกันของ บัณฑิตกับคนพาล
กล่าวคือ " การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ " ฯ
จบสูตรที่ ๙
สรุป..
1. อ่านดีๆนะ ไม่ใช่ไปเข้าใจว่า " กายเป็นสิ่งที่ไปมีอวิชชา "...
แต่เดิม..บุคคลที่เป็นทั้ง 2 นั่นหละ...ถูกอวิชชาห่อหุ้มแล้วจึงได้กายนี้
2. เดิมบุคคลทั้ง 2... ก็คือพาลนั่นหละ... จึงมาได้กายนี้
แต่ชาตินี้ต่างกัน...พวกที่ได้สดับแล้วประพฤติพรหมจรรย์ จะถูกเรียกว่า " บัณฑิต "...
3. ใน คหท-1 จะเอาพระสูตรอังกฤษ..มาแสดง จะได้ตรวจสอบอรรถได้..ว่าเข้าใจถูกไหม
คนพาล vs บัญฑิต.. กำเนิดล้วนประกอบด้วย " อวิชชา "...แต่ต่างที่บัญฑิตมีการประพฤติพรหมจรรย์
https://etipitaka.com/read/thai/16/21/
๙. พาลปัณฑิตสูตร
[๕๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย " กายนี้ของคนพาล " ผู้อัน อวิชชาหุ้มห่อแล้ว ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้
กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้
เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ
ซึ่งทั้ง สองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องคนพาล เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์
" กายนี้ของ บัณฑิต "...ผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้วประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้
กายนี้ด้วย นามรูป ในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้
เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ
ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องบัณฑิต เป็นเหตุให้เสวยสุข และทุกข์ ฯ
[๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนั้น จะแปลกกันอย่างไร
จะมีอธิบายอย่างไร จะต่างกันอย่างไร ระหว่าง...บัณฑิต..กับ..พาล
พวกภิกษุกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมของพวก ข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นเดิม
มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่งอาศัย
ขอประทานพระวโรกาส เนื้อความแห่งพระภาษิตนี้ แจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคพระองค์เดียว
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังแต่พระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว
ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
[๕๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาลผู้ถูกอวิชชาใด หุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว
อวิชชานั้น คนพาลยังละไม่ได้ และ ตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความ สิ้นทุกข์โดยชอบ
เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย 👈...คนพาลไปได้กายใหม่..อตฺตภาวปฏิลาโภ..
เมื่อเขาเข้าถึงกายชื่อว่ายังไม่พ้น จากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์
กายนี้ของบัณฑิตผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว
อวิชชานั้น บัณฑิตละได้แล้วและตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติ พรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
เหตุนั้น เมื่อตายไป บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย 👈..เพราะวิญญาณไม่หยั่งลง..เนื่องจากไม่มีตัณหาในอาหาร4
เมื่อเขา ไม่เข้าถึงกาย ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
เรากล่าว ว่า ย่อมพ้นจากทุกข์
อันนี้เป็นความแปลกกัน อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็นความต่างกันของ บัณฑิตกับคนพาล
กล่าวคือ " การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ " ฯ
จบสูตรที่ ๙
สรุป..
1. อ่านดีๆนะ ไม่ใช่ไปเข้าใจว่า " กายเป็นสิ่งที่ไปมีอวิชชา "...
แต่เดิม..บุคคลที่เป็นทั้ง 2 นั่นหละ...ถูกอวิชชาห่อหุ้มแล้วจึงได้กายนี้
2. เดิมบุคคลทั้ง 2... ก็คือพาลนั่นหละ... จึงมาได้กายนี้
แต่ชาตินี้ต่างกัน...พวกที่ได้สดับแล้วประพฤติพรหมจรรย์ จะถูกเรียกว่า " บัณฑิต "...
3. ใน คหท-1 จะเอาพระสูตรอังกฤษ..มาแสดง จะได้ตรวจสอบอรรถได้..ว่าเข้าใจถูกไหม