"สธ."เตรียมชงมาตรการรับนักท่องเที่ยวจีน แสดง"ประวัติวัคซีน-ผลตรวจเอทีเค"
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.65 นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงต้นเดือน ม.ค.2566 ว่า เมื่อวานนี้ (29 ธันวาคม) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เชิญ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา และตนเข้าร่วมประชุมหารือถึงมาตรการรองรับผู้เดินทางระหว่างประเทศ
ตามที่มีการประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยกระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า ก่อนที่จะมีการระบาดโควิด-19 ข้อมูลจำนวนผู้เดินทางจากประเทศจีนเข้าประเทศไทย สูงถึงปีละ 10 ล้านคน แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีการจำกัดการเดินทาง และล่าสุด เมื่อรัฐบาลจีน ประกาศผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศแต่ยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ
จึงคาดการณ์ว่า ระยะแรกจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยในลักษณะทยอยเข้ามาในแต่ละเดือน เพราะจะเป็นการเดินทางด้วยตนเองไม่ใช่ลักษณะการเดินทางผ่านทัวร์ท่องเที่ยว จึงมีเวลาตั้งตัว โดยตัวเลขที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม คือ จำนวน 6 หมื่นคน 9 หมื่นคน และ 150,000 คน ตามลำดับ หรือประมาณ 5% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ นพ.โสภณกล่าวว่า ประชากรในประเทศจีนได้รับวัคซีนป้องกันโควิดในเปอร์เซ็นต์สูง คือ 2 เข็มแล้ว 90% และ 3 เข็ม 58% ซึ่งหากติดเชื้อมักจะป่วยไม่รุนแรง ขณะเดียวกัน สายพันธุ์โควิดที่ระบาดในประเทศจีน ก็เคยพบในไทย อาทิ สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.5 ที่เคยระบาดในประเทศไทยในช่วงเดือน มิ.ย.-พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รายงานว่า ปัจจุบันสายพันธุ์หลักที่ระบาดในไทยเป็น BA.2.75 แล้ว ทั้งนี้ สธ.จะได้นำข้อเสนอในที่ประชุมมาพิจารณาปรับเป็นแนวทางเพื่อออกมาตรการที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบทุกมิติ ทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจสังคม และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
ด้าน นพ.จักรรัฐกล่าวว่า สำหรับมาตรการที่ สธ.จะเสนอในที่ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวันที่ 5 ม.ค.2566 ประกอบด้วย 1.ผู้เดินทางเข้าประเทศไทยทุกคนจะต้องมีประวัติการรับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อยคนละ 2 เข็ม 2.ผู้เดินทางทุกสัญชาติที่มีต้นทางมาจากประเทศจีน จะต้องมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19
ส่วนคนไทยสามารถใช้สิทธิการรักษาในประเทศได้จาก 3 กองทุน คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) กองทุนประกันสังคม และ กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ 3.มีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยเอทีเค (ATK) เป็นอย่างน้อย ผลเป็นลบก่อนเดินทางถึงไทย 48 ชั่วโมง และ 4.ขอความร่วมมือผู้เดินทางปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค DMH คือ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือด้วยแอลกอฮอล์
ขณะเดียวกัน กรมควบคุมโรคจะปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินงานเฝ้าระวัง และค้นหาโรคติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มประชากรเสี่ยง และสถานที่เสี่ยง (Sentinel Surveillance) ด้วยการสุ่มตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ในผู้เดินทางเข้าประเทศ ณ สนามบินระหว่างประเทศ ไปจนถึงการเฝ้าระวังการติดเชื้อในจังหวัดท่องเที่ยว สถานที่เสี่ยงและกลุ่มนักท่องเที่ยว
นพ.จักรรัฐกล่าวว่า คำแนะนำของประชาชนในประเทศ คือ
1.สวมหน้ากากอนามัย เมื่อเข้าไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด 2.กลุ่มเสี่ยง 608 จะต้องได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อยคนละ 4 เข็ม และ 3.หากมีอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ ให้คัดกรองตนเองด้วยเอทีเค กรณีที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการน้อยสามารถรับประทานฟ้าทะลายโจร และยาตามอาการ สังเกตอาการอยู่ที่บ้าน หากมีอาการป่วยปานกลาง สามารถติดต่อสถานพยาบาลเพื่อรับการรักษาในโรงพยาบาลได้
https://siamrath.co.th/n/411489
ชง 3 แนวทางรุก "ต่างด้าว" เข้าถึงวัคซีนโควิด หลังพบฉีดไปแล้วกว่า 5 ล้านเข็ม
กรมควบคุมโรคเผย "ต่างด้าว" รับงัคซีนโควิดแล้ว 5 ล้านเข็ม ยังต้องฉีดกระตุ้นต่อ เห็นชอบ 3 แนวทางขับเคลื่อนเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนกลุ่มประชากรข้ามชาติ
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ประชากรข้ามชาติในไทยได้รับวัคซีนโควิด 19 แล้วมากกว่า 5 ล้านเข็ม แต่ยังต้องให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อ ทั้งนี้ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอดองค์ความรู้ ทบทวน และประยุกต์ใช้ผลการประเมินชุมชนแบบรวดเร็วเพื่อปรับปรุงการเข้าถึงวัคซีนของกลุ่มประชากรข้ามชาติ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีการถอดบทเรียนผลการดำเนินงาน และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายตามข้อค้นพบจากการประเมิน เพื่อเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนในกลุ่มประชากรข้ามชาติ ซึ่งที่ประชุมได้เสนอ 3 ประเด็น ได้แก่ 1.การพัฒนาความรู้และเครือข่าย อสม.ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) 2.การพัฒนาช่องทางการสื่อสารระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขและประชากรข้ามชาติ และ 3.การพัฒนาระบบการให้บริการด้านสาธารณสุขสำหรับกลุ่มประชากรข้ามชาติ
โดยขอให้นำ 3 ข้อเสนอนี้ไปพัฒนาต่อยอดเป็นนโยบายสำหรับแผนงานพัฒนาสุขภาพแรงงานข้ามชาติ อาทิ คู่บัดดี้ อสม. และ อสต. ทำงานร่วมกัน โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้เริ่มต้นดำเนินการแล้ว และระยะต่อไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสนับสนุนการขยายผล พัฒนาสายด่วนสุขภาพสำหรับประชากรข้ามชาติให้ยั่งยืนเตรียมพร้อมรับโรคระบาดในอนาคตโดยมีกรมควบคุมโรคเป็นหน่วยงานหลักพัฒนาร่วมกับองค์การอนามัยโลกและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร
"ฐานข้อมูลฉีดวัคซีนโควิดโดยกระทรวงสาธารณสุข เป็นแหล่งข้อมูลแรกของประเทศที่เก็บข้อมูลทุกกลุ่มประชากร รวมทั้งแรงงานข้ามชาติ ควรนำมาใช้ประโยชน์วางแผนดำเนินงานให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนขับเคลื่อนแผนการดำเนินงานทั้ง 3 ประเด็น" นพ.โสภณกล่าว
https://mgronline.com/qol/detail/9650000124193
หมอ ยง” เผย 5 ข้อ ควรคำนึงถึงการรับนักท่องเที่ยว ย้ำ คนไทยต้องป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะข้อคำนึงการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้าช่วย ย้ำ คนไทยจำเป็นต้องป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน
วันนี้ (31 ธ.ค.) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาโพสต์ข้อความถึงสิ่งที่ต้องคำนึงในการต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งหมด 5 ข้อ โดยเน้นย้ำว่าคนไทยต้องสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนเป็นเกราะกำบัง ทั้งนี้ “

ง” ได้ระบุข้อความว่า...👇
“โควิด 19 ข้อคำนึงการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ขณะนี้เป็นเวลา 3 ปีแล้วในการระบาดของ covid 19 ความรุนแรงของโรคลดลงมาโดยตลอด ทั้งนี้เพราะประชากรส่วนใหญ่ติดเชื้อไปแล้ว ร่วมกับการฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับประเทศไทย มีการติดเชื้อไปแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 แต่ก็ยังมีการฉีดวัคซีน 3 เข็ม เพียงร้อยละ 40 เท่านั้น สิ่งที่จะต้องคำนึงในการเดินทางของนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทย
1 ประชากรทั่วโลก มีการติดเชื้อไปแล้วเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่มีการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก และไม่เกี่ยวกับชนิดของวัคซีน เช่นในญี่ปุ่น เกาหลี ขณะนี้ติดเชื้อวันละเป็นแสนเสียชีวิตหลายร้อยคนต่อวัน ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่ทั่วโลกขณะนี้ มีอาการน้อย หรือจำนวนมากไม่มีอาการ และเป็นการยากที่จะตรวจกรองผู้เดินทางได้หมด การฉีดวัคซีนทั่วโลกครบ 3 เข็ม ไม่น่าจะถึงร้อยละ 10 ของประชากร 7,000 ล้านคน
2 สายพันธุ์ในแต่ละประเทศมีความจำเป็นมาก ที่จะต้องรู้ ประเทศไทยได้มีการระบาดสายพันธุ์โอมิครอนตั้งแต่ BA.1 จนถึง BA.4/5 และขณะนี้ เป็น BA.2.75 ซึ่งการระบาดตามหลังประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป สายพันธุ์ได้เดินหน้าก่อนเรา ซึ่งขณะนี้เป็น BQ.1 และ BQ.1.1 ซึ่งทั้ง 2 สายพันธุ์จะดื้อต่อวัคซีนเพิ่มขึ้น แต่ความรุนแรงไม่ได้เปลี่ยนแปลง เราเองก็ยังไม่อยากที่จะให้สายพันธุ์ BQ.1 และ BQ1.1 เข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทย แต่ในที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น เพราะเราไม่สามารถที่จะตรวจกรองได้หมด ในอดีตสายพันธุ์ที่พบในประเทศไทยจะตามหลังทางตะวันตกมาโดยตลอด
3 การเข้มงวดในแต่ละประเทศที่จะเดินทางเข้ามา จะต้องคำนึงถึงสายพันธุ์ โดยเฉพาะเป็นสายพันธุ์ที่ ประเทศไทยไม่มี และมีแนวโน้มที่จะมีการระบาดง่าย ถ้าสามารถป้องกันได้ ก็จะลดความเสี่ยงของเราลงได้
4 สิ่งที่สำคัญจึงต้องรู้เขารู้เรา ว่าประเทศต้นทางกำลังระบาดด้วยสายพันธุ์อะไรอยู่ ถ้าประเทศต้นทางเป็น BA.4, BA.5 หรือ BA.2.75 ซึ่งประเทศไทยได้ระบาดผ่านไปแล้ว และประชากรส่วนใหญ่ก็มีภูมิต่อสายพันธุ์นี้แล้ว ความวิตกกังวลก็จะน้อยลง
5 การควบคุมการเดินทางหรือมาตรการต่างๆที่จะเกิดขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในแง่สายพันธุ์ ความรุนแรงของแต่ละสายพันธุ์ การดื้อต่อระบบภูมิต้านทาน ที่จะมาแพร่กระจายได้ง่าย จึงจำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลอย่างละเอียดร่วมในการตัดสินใจ
หมายเหตุ ข้อมูลจาก Asahi Shimbun ญี่ปุ่นวันที่ 26 ธันวาคม กล่าวไว้ว่า สายพันธุ์ที่พบในจีน ที่ปักกิ่งเป็น BF.7 ซึ่งเป็นลูกของ BA.5 และสายพันธุ์ที่ระบาดทั่วประเทศจีนขณะนี้เป็น BA.5.2 ส่วนสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอย่างมากในประเทศญี่ปุ่นคือ BF.7 และ BA.5.2 เช่นเดียวกัน
สิ่งที่สำคัญในการป้องกันการระบาดและลดความรุนแรง สำหรับประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปกป้องคนไทย ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีน และแนวทางการปฏิบัติสุขอนามัย เป็นเกราะกำบัง”
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000124145
ติดตามข่าวโควิดกันต่อนะคะ....
🇹🇭💜มาลาริน💜🇹🇭เตรียมชงมาตรการรับนทท.จีน/ชง3แนวทาง"ต่างด้าว" เข้าถึงวัคซีน/หมอ ยง” เผย 5 ข้อ ควรคำนึงถึงการรับนทท.
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.65 นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงต้นเดือน ม.ค.2566 ว่า เมื่อวานนี้ (29 ธันวาคม) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เชิญ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา และตนเข้าร่วมประชุมหารือถึงมาตรการรองรับผู้เดินทางระหว่างประเทศ
ตามที่มีการประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยกระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า ก่อนที่จะมีการระบาดโควิด-19 ข้อมูลจำนวนผู้เดินทางจากประเทศจีนเข้าประเทศไทย สูงถึงปีละ 10 ล้านคน แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีการจำกัดการเดินทาง และล่าสุด เมื่อรัฐบาลจีน ประกาศผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศแต่ยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ
จึงคาดการณ์ว่า ระยะแรกจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยในลักษณะทยอยเข้ามาในแต่ละเดือน เพราะจะเป็นการเดินทางด้วยตนเองไม่ใช่ลักษณะการเดินทางผ่านทัวร์ท่องเที่ยว จึงมีเวลาตั้งตัว โดยตัวเลขที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม คือ จำนวน 6 หมื่นคน 9 หมื่นคน และ 150,000 คน ตามลำดับ หรือประมาณ 5% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ นพ.โสภณกล่าวว่า ประชากรในประเทศจีนได้รับวัคซีนป้องกันโควิดในเปอร์เซ็นต์สูง คือ 2 เข็มแล้ว 90% และ 3 เข็ม 58% ซึ่งหากติดเชื้อมักจะป่วยไม่รุนแรง ขณะเดียวกัน สายพันธุ์โควิดที่ระบาดในประเทศจีน ก็เคยพบในไทย อาทิ สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.5 ที่เคยระบาดในประเทศไทยในช่วงเดือน มิ.ย.-พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รายงานว่า ปัจจุบันสายพันธุ์หลักที่ระบาดในไทยเป็น BA.2.75 แล้ว ทั้งนี้ สธ.จะได้นำข้อเสนอในที่ประชุมมาพิจารณาปรับเป็นแนวทางเพื่อออกมาตรการที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบทุกมิติ ทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจสังคม และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
ด้าน นพ.จักรรัฐกล่าวว่า สำหรับมาตรการที่ สธ.จะเสนอในที่ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวันที่ 5 ม.ค.2566 ประกอบด้วย 1.ผู้เดินทางเข้าประเทศไทยทุกคนจะต้องมีประวัติการรับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อยคนละ 2 เข็ม 2.ผู้เดินทางทุกสัญชาติที่มีต้นทางมาจากประเทศจีน จะต้องมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19
ส่วนคนไทยสามารถใช้สิทธิการรักษาในประเทศได้จาก 3 กองทุน คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) กองทุนประกันสังคม และ กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ 3.มีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยเอทีเค (ATK) เป็นอย่างน้อย ผลเป็นลบก่อนเดินทางถึงไทย 48 ชั่วโมง และ 4.ขอความร่วมมือผู้เดินทางปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค DMH คือ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือด้วยแอลกอฮอล์
ขณะเดียวกัน กรมควบคุมโรคจะปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินงานเฝ้าระวัง และค้นหาโรคติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มประชากรเสี่ยง และสถานที่เสี่ยง (Sentinel Surveillance) ด้วยการสุ่มตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ในผู้เดินทางเข้าประเทศ ณ สนามบินระหว่างประเทศ ไปจนถึงการเฝ้าระวังการติดเชื้อในจังหวัดท่องเที่ยว สถานที่เสี่ยงและกลุ่มนักท่องเที่ยว
นพ.จักรรัฐกล่าวว่า คำแนะนำของประชาชนในประเทศ คือ
1.สวมหน้ากากอนามัย เมื่อเข้าไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด 2.กลุ่มเสี่ยง 608 จะต้องได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อยคนละ 4 เข็ม และ 3.หากมีอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ ให้คัดกรองตนเองด้วยเอทีเค กรณีที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการน้อยสามารถรับประทานฟ้าทะลายโจร และยาตามอาการ สังเกตอาการอยู่ที่บ้าน หากมีอาการป่วยปานกลาง สามารถติดต่อสถานพยาบาลเพื่อรับการรักษาในโรงพยาบาลได้
https://siamrath.co.th/n/411489
ชง 3 แนวทางรุก "ต่างด้าว" เข้าถึงวัคซีนโควิด หลังพบฉีดไปแล้วกว่า 5 ล้านเข็ม
กรมควบคุมโรคเผย "ต่างด้าว" รับงัคซีนโควิดแล้ว 5 ล้านเข็ม ยังต้องฉีดกระตุ้นต่อ เห็นชอบ 3 แนวทางขับเคลื่อนเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนกลุ่มประชากรข้ามชาติ
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ประชากรข้ามชาติในไทยได้รับวัคซีนโควิด 19 แล้วมากกว่า 5 ล้านเข็ม แต่ยังต้องให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อ ทั้งนี้ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอดองค์ความรู้ ทบทวน และประยุกต์ใช้ผลการประเมินชุมชนแบบรวดเร็วเพื่อปรับปรุงการเข้าถึงวัคซีนของกลุ่มประชากรข้ามชาติ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีการถอดบทเรียนผลการดำเนินงาน และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายตามข้อค้นพบจากการประเมิน เพื่อเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนในกลุ่มประชากรข้ามชาติ ซึ่งที่ประชุมได้เสนอ 3 ประเด็น ได้แก่ 1.การพัฒนาความรู้และเครือข่าย อสม.ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) 2.การพัฒนาช่องทางการสื่อสารระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขและประชากรข้ามชาติ และ 3.การพัฒนาระบบการให้บริการด้านสาธารณสุขสำหรับกลุ่มประชากรข้ามชาติ
โดยขอให้นำ 3 ข้อเสนอนี้ไปพัฒนาต่อยอดเป็นนโยบายสำหรับแผนงานพัฒนาสุขภาพแรงงานข้ามชาติ อาทิ คู่บัดดี้ อสม. และ อสต. ทำงานร่วมกัน โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้เริ่มต้นดำเนินการแล้ว และระยะต่อไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสนับสนุนการขยายผล พัฒนาสายด่วนสุขภาพสำหรับประชากรข้ามชาติให้ยั่งยืนเตรียมพร้อมรับโรคระบาดในอนาคตโดยมีกรมควบคุมโรคเป็นหน่วยงานหลักพัฒนาร่วมกับองค์การอนามัยโลกและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร
"ฐานข้อมูลฉีดวัคซีนโควิดโดยกระทรวงสาธารณสุข เป็นแหล่งข้อมูลแรกของประเทศที่เก็บข้อมูลทุกกลุ่มประชากร รวมทั้งแรงงานข้ามชาติ ควรนำมาใช้ประโยชน์วางแผนดำเนินงานให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนขับเคลื่อนแผนการดำเนินงานทั้ง 3 ประเด็น" นพ.โสภณกล่าว
https://mgronline.com/qol/detail/9650000124193
หมอ ยง” เผย 5 ข้อ ควรคำนึงถึงการรับนักท่องเที่ยว ย้ำ คนไทยต้องป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะข้อคำนึงการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้าช่วย ย้ำ คนไทยจำเป็นต้องป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน
วันนี้ (31 ธ.ค.) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาโพสต์ข้อความถึงสิ่งที่ต้องคำนึงในการต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งหมด 5 ข้อ โดยเน้นย้ำว่าคนไทยต้องสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนเป็นเกราะกำบัง ทั้งนี้ “
“โควิด 19 ข้อคำนึงการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ขณะนี้เป็นเวลา 3 ปีแล้วในการระบาดของ covid 19 ความรุนแรงของโรคลดลงมาโดยตลอด ทั้งนี้เพราะประชากรส่วนใหญ่ติดเชื้อไปแล้ว ร่วมกับการฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับประเทศไทย มีการติดเชื้อไปแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 แต่ก็ยังมีการฉีดวัคซีน 3 เข็ม เพียงร้อยละ 40 เท่านั้น สิ่งที่จะต้องคำนึงในการเดินทางของนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทย
1 ประชากรทั่วโลก มีการติดเชื้อไปแล้วเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่มีการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก และไม่เกี่ยวกับชนิดของวัคซีน เช่นในญี่ปุ่น เกาหลี ขณะนี้ติดเชื้อวันละเป็นแสนเสียชีวิตหลายร้อยคนต่อวัน ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่ทั่วโลกขณะนี้ มีอาการน้อย หรือจำนวนมากไม่มีอาการ และเป็นการยากที่จะตรวจกรองผู้เดินทางได้หมด การฉีดวัคซีนทั่วโลกครบ 3 เข็ม ไม่น่าจะถึงร้อยละ 10 ของประชากร 7,000 ล้านคน
2 สายพันธุ์ในแต่ละประเทศมีความจำเป็นมาก ที่จะต้องรู้ ประเทศไทยได้มีการระบาดสายพันธุ์โอมิครอนตั้งแต่ BA.1 จนถึง BA.4/5 และขณะนี้ เป็น BA.2.75 ซึ่งการระบาดตามหลังประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป สายพันธุ์ได้เดินหน้าก่อนเรา ซึ่งขณะนี้เป็น BQ.1 และ BQ.1.1 ซึ่งทั้ง 2 สายพันธุ์จะดื้อต่อวัคซีนเพิ่มขึ้น แต่ความรุนแรงไม่ได้เปลี่ยนแปลง เราเองก็ยังไม่อยากที่จะให้สายพันธุ์ BQ.1 และ BQ1.1 เข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทย แต่ในที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น เพราะเราไม่สามารถที่จะตรวจกรองได้หมด ในอดีตสายพันธุ์ที่พบในประเทศไทยจะตามหลังทางตะวันตกมาโดยตลอด
3 การเข้มงวดในแต่ละประเทศที่จะเดินทางเข้ามา จะต้องคำนึงถึงสายพันธุ์ โดยเฉพาะเป็นสายพันธุ์ที่ ประเทศไทยไม่มี และมีแนวโน้มที่จะมีการระบาดง่าย ถ้าสามารถป้องกันได้ ก็จะลดความเสี่ยงของเราลงได้
4 สิ่งที่สำคัญจึงต้องรู้เขารู้เรา ว่าประเทศต้นทางกำลังระบาดด้วยสายพันธุ์อะไรอยู่ ถ้าประเทศต้นทางเป็น BA.4, BA.5 หรือ BA.2.75 ซึ่งประเทศไทยได้ระบาดผ่านไปแล้ว และประชากรส่วนใหญ่ก็มีภูมิต่อสายพันธุ์นี้แล้ว ความวิตกกังวลก็จะน้อยลง
5 การควบคุมการเดินทางหรือมาตรการต่างๆที่จะเกิดขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในแง่สายพันธุ์ ความรุนแรงของแต่ละสายพันธุ์ การดื้อต่อระบบภูมิต้านทาน ที่จะมาแพร่กระจายได้ง่าย จึงจำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลอย่างละเอียดร่วมในการตัดสินใจ
หมายเหตุ ข้อมูลจาก Asahi Shimbun ญี่ปุ่นวันที่ 26 ธันวาคม กล่าวไว้ว่า สายพันธุ์ที่พบในจีน ที่ปักกิ่งเป็น BF.7 ซึ่งเป็นลูกของ BA.5 และสายพันธุ์ที่ระบาดทั่วประเทศจีนขณะนี้เป็น BA.5.2 ส่วนสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอย่างมากในประเทศญี่ปุ่นคือ BF.7 และ BA.5.2 เช่นเดียวกัน
สิ่งที่สำคัญในการป้องกันการระบาดและลดความรุนแรง สำหรับประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปกป้องคนไทย ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีน และแนวทางการปฏิบัติสุขอนามัย เป็นเกราะกำบัง”
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000124145
ติดตามข่าวโควิดกันต่อนะคะ....