ด้วยอาแปะเป็นผู้ชอบศึกษาและยังต้องศึกษา
(บาลี=ภิกขุ)..
เช้านี้อาแปะก็อยากจะบอกเล่าถึงมุมมองของประเทศไทยในสายตาของอาแปะที่ได้ศึกษามาสักระยะนึง..
เท่าที่สรุปบริบทการเมืองไทยได้ในเวลานี้ อาแปะอนุมานการเมืองไทยเป็นภาพหน้ากากสามใบคือ หน้ากากดำ, หน้ากากขาว, หน้ากากกระจกใส..
หน้ากากดำ.. คือหน้ากากแห่งความเกลียดชัง ลุ่มหลง..
ปฐมบทของหน้ากากดำ เริ่มจากสื่อรายหนึ่งสร้างตำนานสีเสื้อขึ้นมา ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังในตระกูลชินวัตร และความเกลียดชังนั้นก็สืบทอดมารุ่นสู่รุ่น กลายเป็นสลิ่มเกรดต่างๆตั้งแต่เกรดบนยันเกรดล่างหางแถว ตัวอย่างในห้องราชดำเนินโดยมากจะเห็นแต่หลิ่มเกรดล่าง พล่ามเพ้อแต่ความเกลียดชังตระกูลชินวัตรทุกวัน วันละหลายกระทู้...เป็นต้น ฯลฯ
หน้ากากขาว... การสร้างหน้ากากดำของสื่อหนึ่งขึ้นมา ทำให้เกิดความวุ่นวายจากผลกรรม สุดท้ายก็เกิดการห้อยโหนคนดี สร้างหน้ากากขาวมาใส่ นัยยะเพื่อมาสร้างความปรองดอง มาสร้างความสงบเจริญรุ่งเรือง แต่กาลที่ผันผ่าน ด้วยความที่ไม่มีประสบกาญจน์
(กาญจน์=แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง) นัยยะนั้นก็เป็นเพียงสิ่งลวงตา ภาพหน้ากากขาวก็เป็นเพียงมายาการของสิ่งๆหนึ่งที่เป็นหมอกควันเทาเข้มๆ แค่นั้นเองหาสาระแก่นสารไม่ได้..
หน้ากากกระจกใส... คือภาพสะท้อนการทำงานของฝ่ายบริหาร สะท้อนออกมาเป็นคำตำหนิติติงบ้าง สะท้อนเป็นคำชมบ้าง ก็ว่ากันไปตามอัธยาศัยพื้นฐานจริตนิสัยของปัจเจกบุคคล หน้ากากชนิดนี้ บางมุมก็เหมือนไม่มีหน้ากาก เพราะเป็นตัวตนจริงของเค้า คือเค้าได้รับผลของการบริหารจริง บางคนได้รับผลดี(รับแจกตังค์) บางคนได้รับผลร้าย(ถูกไถตังค์) หลายคนได้รับผลกระทบไม่ดีในรูปแบบต่างๆ คือภาพสะท้อนนั้นมีมากมายหลายรูปแบบ จะอนุมานภาพสะท้อนมากมายนี้ว่าเป็น
สลิ่มของสลิ่มก็ได้นะ..
สามภาพนี้แหละครับ บริบทการเมืองไทยที่อาแปะเห็นในช่วงเวลานี้..
อมิตพุทธ..
ສະບາຍດີຕອນເຊົ້າ ໃນບ້ານປະເທດທີ່ອົບອຸ່ນ
เมื่ออาแปะ มองดูประเทศไทย ในบริบทของการเมือง..
เช้านี้อาแปะก็อยากจะบอกเล่าถึงมุมมองของประเทศไทยในสายตาของอาแปะที่ได้ศึกษามาสักระยะนึง..
เท่าที่สรุปบริบทการเมืองไทยได้ในเวลานี้ อาแปะอนุมานการเมืองไทยเป็นภาพหน้ากากสามใบคือ หน้ากากดำ, หน้ากากขาว, หน้ากากกระจกใส..
หน้ากากดำ.. คือหน้ากากแห่งความเกลียดชัง ลุ่มหลง..
ปฐมบทของหน้ากากดำ เริ่มจากสื่อรายหนึ่งสร้างตำนานสีเสื้อขึ้นมา ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังในตระกูลชินวัตร และความเกลียดชังนั้นก็สืบทอดมารุ่นสู่รุ่น กลายเป็นสลิ่มเกรดต่างๆตั้งแต่เกรดบนยันเกรดล่างหางแถว ตัวอย่างในห้องราชดำเนินโดยมากจะเห็นแต่หลิ่มเกรดล่าง พล่ามเพ้อแต่ความเกลียดชังตระกูลชินวัตรทุกวัน วันละหลายกระทู้...เป็นต้น ฯลฯ
หน้ากากขาว... การสร้างหน้ากากดำของสื่อหนึ่งขึ้นมา ทำให้เกิดความวุ่นวายจากผลกรรม สุดท้ายก็เกิดการห้อยโหนคนดี สร้างหน้ากากขาวมาใส่ นัยยะเพื่อมาสร้างความปรองดอง มาสร้างความสงบเจริญรุ่งเรือง แต่กาลที่ผันผ่าน ด้วยความที่ไม่มีประสบกาญจน์(กาญจน์=แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง) นัยยะนั้นก็เป็นเพียงสิ่งลวงตา ภาพหน้ากากขาวก็เป็นเพียงมายาการของสิ่งๆหนึ่งที่เป็นหมอกควันเทาเข้มๆ แค่นั้นเองหาสาระแก่นสารไม่ได้..
หน้ากากกระจกใส... คือภาพสะท้อนการทำงานของฝ่ายบริหาร สะท้อนออกมาเป็นคำตำหนิติติงบ้าง สะท้อนเป็นคำชมบ้าง ก็ว่ากันไปตามอัธยาศัยพื้นฐานจริตนิสัยของปัจเจกบุคคล หน้ากากชนิดนี้ บางมุมก็เหมือนไม่มีหน้ากาก เพราะเป็นตัวตนจริงของเค้า คือเค้าได้รับผลของการบริหารจริง บางคนได้รับผลดี(รับแจกตังค์) บางคนได้รับผลร้าย(ถูกไถตังค์) หลายคนได้รับผลกระทบไม่ดีในรูปแบบต่างๆ คือภาพสะท้อนนั้นมีมากมายหลายรูปแบบ จะอนุมานภาพสะท้อนมากมายนี้ว่าเป็นสลิ่มของสลิ่มก็ได้นะ..
สามภาพนี้แหละครับ บริบทการเมืองไทยที่อาแปะเห็นในช่วงเวลานี้..
อมิตพุทธ..
ສະບາຍດີຕອນເຊົ້າ ໃນບ້ານປະເທດທີ່ອົບອຸ່ນ