เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 20

กระทู้นี้เราจะเล่าเรื่องราวที่เป็น นิมิต เกี่ยวกับพ่อของเราเองค่ะ ท่านได้เสียไปประมาณ 10 ปีได้แล้ว ตอนที่ท่านจะเสียเราก็รู้ล่วงหน้าจากความคิดที่เป็น นิมิต ที่ทำให้เราคิดวกไปวนมาในตอนนั้นว่าท่านจะเสีย เหมือนเรามีความคิดแช่งพ่อตัวเองแต่มันไม่ใช่ มันเป็นลางบอกเหตุ

และวันนั้นตอนกลางดึกเราก็ได้รับข่าวการจากไปของท่านจริงๆ เราคิดว่า พ่อเราเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีกรรมเยอะและน่าจะกรรมหนักด้วย สาเหตุอะไรทำให้เราถึงคิดเช่นนั้น เราจะเล่าให้ฟังค่ะ

ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ท่านต้องทำงานหนักกว่าพี่น้องคนอื่นๆ เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ ที่ไม่ได้เรียนไม่ใช่เพราะทางบ้านไม่มีฐานะนะคะ แต่เพราะพ่อเราเรียนไม่จำ ปู่เราเลยบอกให้พ่อออกจากโรงเรียนมาช่วยแกทำงานไถนาปลูกข้าว ส่งเสียพี่น้องคนอื่นๆให้ได้เรียน

เรื่องนี้เรารู้มาจากท่านเอง ท่านเล่าให้ฟังตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ พอครบบวชท่านก็ไม่ได้บวชเพราะท่องคำสวดไม่ได้ เราถึงได้รู้ว่าสมัยก่อนเขาไม่ได้บวชกันง่ายๆแบบสมัยนี้ ตั้งแต่แต่งงานอยู่กินกับแม่เราแกก็ต้องทำงานหนักตลอด

ตั้งแต่เราจำความได้จนถึงวันแกเสียชีวิตไป แกจะออกไปทำงานตั้งแต่ตี 4 หัวรุ่ง และเราจะเห็นแกกลับจากทำงานค่ำมืดทุกวัน ไม่เคยได้หยุดเลย เพราะแม่เราไม่ทำงานอะไรเลย พ่อเราคนเดียวที่ต้องหาเลี้ยงแม่และน้องอีกสองคนที่ต้องไปโรงเรียน

พ่อเราทำงานแบกไม้แบกปูน บางครั้งเรากลับบ้านไปเวลาแกถอดเสื้อเราจะเห็นรอยดำรอยไหม้บนบ่าแกค่อนข้างชัดเจน เราเองก็สงสารแก แต่เราก็ช่วยเหลืออะไรแกได้ไม่มาก

แม้แต่วันที่แกจะเสียแกก็ไม่เคยได้หยุดพัก แกทำงานหนักจนวันสุดท้ายในชีวิตจริงๆ ในวันบำเพ็ญกุศลศพ เรากับน้องอีกสองคนไปกราบศพพ่อพร้อมกัน ตอนนั้นจู่ๆ เราก็ได้กลิ่นเหม็นเน่า ลอยคละคลุ้งอยู่ข้างๆ

เรานั่งอยู่ตรงกลาง มีน้องชายกับน้องสาวนั่งขนาบข้าง เราหันไปทางน้องสาวที่เราได้กลิ่นเหม็นเน่าลอยมา เราเห็นเงาพ่อเรายืนลูบหัวน้องสาวเราอยู่ ตอนนั้นเราพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แต่เราก็ไม่สามารถทำได้

เราคิดว่าพ่อเราคงจะห่วงน้องสาวเรามากที่สุด เพราะน้องสาวเราคนนี้ไม่ค่อยจะประสีประสาอะไรเลย แม่เราก็ตามใจทำให้ทุกอย่างไม่สอนไม่หัดให้ทำอะไรเองเลยจนเหมือน วรรณกรรมเรื่อง พ่อแม่รังแกฉัน เพราะจนป่านนี้อายุ 20 ปีแล้วยังไม่มีความคิดที่จะทำการทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย 

วันนั้นญาติๆเราก็มาถามว่าทำไมจู่ๆเราก็ร้องไห้ขึ้นมา เราก็เลยบอกสิ่งที่เราเห็นไป พ่อเราตอนมีชีวิตอยู่ท่านเป็นคนที่ไม่ค่อยทำบาปแต่ก็ไม่ค่อยทำบุญเช่นกัน  น้องชายเราตอนนั้นอายุยังไม่ครบบวชพระ จึงพูดว่าจะขอบวชบวชหน้าไฟให้พ่อ

ญาติเราคนอื่นๆก็เห็นด้วยที่จะให้น้องเราบวชให้พ่อ แต่ย่าเราค้านไว้แกบอกว่า เอาไว้รอบวชพระทีเดียวตอนอายุครบบวช ซึ่งเราเองไม่เห็นด้วยเลยที่ย่าเราท่านไปขัดศรัทธาน้องชายเราที่จะบวชให้พ่อเราแบบนั้น

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราคิดว่า พ่อเราท่านคงมีกรรมหนักเพราะตัวท่านเองตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้บวชทีนึงแล้ว มีลูกชายคนนึงพอเขาจะบวชให้กลับมีคนมาขัดอีก

หลังจากเผาศพพ่อเราได้ไม่กี่วันเราก็จะฝันเห็นท่านบ่อยมาก ฝันว่าท่านกลับมาบ้านแล้วเราไล่ท่าน ไม่ให้ท่านกลับมา ท่านพยายามจะเข้าบ้านเราก็ปิดประตูปิดหน้าต่างไม่ให้ท่านเข้ามา แล้วบอกกับท่านว่าให้ท่านไปเสีย อย่ากลับมาบ้านอีก

ท่านก็ตะโกนด่าเรา บอกว่าที่นี่บ้านกู กูจะอยู่บ้าน กูจะกลับบ้าน กูไม่ไปไหน และไม่ใช่เราคนเดียวที่ฝันเช่นนั้น คนอื่นๆแถวบ้านใกล้ๆแกก็เจอตลอด บางคนก็มาเล่าให้ฟังว่าตอนหัวรุ่งจะเห็นเป็นเงาเหมือนพ่อเราเดินออกไปทำงาน

บางคนก็เจอตอนหัวค่ำได้ยินเสียงแกเดินร้องเพลงเห็นเป็นเงาดำๆตามทางที่แกเคยเดินไปทำงานประจำ คืนที่ท่านจะเสียแม่เราเล่าให้ฟังว่า แกละเมอลุกขึ้นมาถีบตู้เสื้อผ้าทีนึง แล้วตะโกนว่า กูไม่ไป กูไม่ไป แล้วแกก็ล้มตึงลงไปเลย

เราเองก็มีความรู้สึกว่าแกยังไม่ไปไหน จึงคิดหาทางที่จะช่วยแกให้แกได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น เราจึงคิดจะไปบวชชีปฎิบัติธรรมให้แก ตอนนั้นเราจะไปปฎิบัติธรรมที่สวนโมกข์ของท่านพุทธทาสภิกขุ

แต่ไม่มีใครไปส่ง พ่อของลูกเราที่ยังเป็นแค่แฟนกันในตอนนั้นก็ปฎิเสธที่จะพาไปโดยอ้างเรื่องงาน แต่เหมือนบุญของพ่อเรายังมีอยู่บ้างที่ตอนนั้น เพื่อนร่วมงานเรารู้ข่าวว่าเราจะไปบวชชีปฎิบัติธรรมให้พ่อเรา

เขากำลังจะกลับบ้านพอดีและเป็นทางผ่านเขาเลยให้เราติดรถไปด้วย แต่มีเหตุติดขัดเราจึงไม่ได้ไปบวชชีปฎิบัติธรรมที่สวนโมกข์ แต่เราได้ไปบวชชีปฎิบัติธรรมให้พ่อที่วัดที่เราเคยไปเข้าค่ายอบรมจริยธรรมตอนสมัยเรียนมัธยมแทนซึ่งอยู่ใกล้บ้านเพื่อนร่วมงานเราคนนี้

เขาขอร่วมบุญกับเราโดยการซื้อชุดบวชชีปฎิบัติธรรมให้เราเอง ซึ่งเพื่อนเราคนนี้มาเล่าให้ฟังทีหลังว่า งวดนั้นเขาถูกหวยเยอะมากเพราะได้เลขจากยอดเงินที่เขาซื้อชุดบวชชีปฎิบัติธรรมให้เรา เราก็ยินดีกับเขาด้วย

วันนั้นเราจึงได้ขอให้ท่านเจ้าอาวาสที่วัดนั้นบวชชีให้เรา โดยบอกเหตุผลท่านไปตามตรง แต่ท่านบอกว่าที่วัดไม่มีแม่ชีจำวัดอยู่เลย มีแต่เราเพียงคนเดียว และต้องไปจำวัดที่กุฏิแม่ชีที่อยู่ในสวนผลไม้ อยู่คนละฝั่งคลองกับทางวัดโน่น

ซึ่งท่านก็เกรงว่าเราจะอยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะตอนนั้นเรายังเด็กมาก แต่เราก็ยืนยันกับท่านว่าเราอยู่ได้ไม่ได้กลัวอะไร และตั้งใจจะมาบวชชีให้พ่อท่านจึงเมตตาบวชให้เรา

ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่ได้มีครูบาอาจารย์สอนกรรมฐาน เราก็ทำได้แค่อ่านหนังสือธรรมมะจากที่วัดและทำตามเท่านั้น ทั้งเดินจงกรมและนั่งสมาธิสลับกันไป และปฎิบัติกิจของแม่ชีทำวัตรเช้า-เย็นไม่เคยขาด

ซึ่งบางวันท่านเจ้าอาวาสท่านก็บอกเราว่าไม่ต้องเดินมาทำวัตรเช้าที่ศาลาร่วมกับพระท่านก็ได้ เพราะต้องตื่นเช้า ทางมันมืดและต้องเดินข้ามสะพาน ข้ามคลองมาไกล แต่เราก็บอกท่านว่าเราไม่เป็นไร เราตั้งใจมาทำแล้วเราก็จะทำให้เต็มที่

ตลอด 7 วันที่เราบวชชีปฎิบัติธรรมให้พ่อเรา เวลาที่เราแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลเราจะแผ่เฉพาะเจาะจง ให้พ่อเราคนเดียวเท่านั้น เพื่อที่บุญกุศลที่เราตั้งใจทำให้ท่าน ท่านจะได้รับแต่เพียงผู้เดียว

ตอนเรานั่งสมาธิวันสุดท้าย รอบสุดท้ายก่อนที่เราจะลาสิกขา เราก็เห็นพ่อเราใน นิมิต จากในสมาธิท่านมีหน้าตาที่ผ่องใส ใส่ชุดขาว และมีแสงเรืองรองแสบตาเรามาก ท่านยิ้มให้เราเหมือนจะเป็นการขอบคุณ

ก่อนที่เราจะออกจากสมาธิเราก็กล่าวกับท่านว่า เราทำให้ท่านได้เพียงเท่านี้ ชาตินี้บุญเรามีน้อยเกิดมาเป็นผู้หญิงเลยไม่ได้บวชทดแทนบุญคุณ

วันนั้นเรารู้สึกอิ่มทิพย์ไปทั้งวัน หลังจากนั้นเราก็ไปลาสิกขากับท่านเจ้าอาวาส ซึ่งท่านบอกเราว่า ทีแรกท่านไม่คิดว่าเราจะอยู่ได้ครบตลอด 7 วันเพราะเราเป็นวัยรุ่นอยู่ ท่านก็ให้โอวาทให้พรเรากลับบ้าน กลับไปทำงาน ตั้งแต่นั้นมา เราก็ไม่เคยฝันเห็นพ่อ หรือได้ข่าวว่ามีใครเห็นพ่อเราอีกเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่