กระทู้นี้เราจะเล่าถึง นิมิต เกี่ยวกับการเห็นอนาคตของเราค่ะ แต่จะเรียกว่าเป็นการ เห็นอนาคตเราก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปาก เราขอใช้คำว่า คาดการณ์อนาคต จะดูดีกว่า เพราะถ้าจะใช้คำว่า เห็นอนาคต เหมือนจะฟังดูขี้โม้และออกจะเหมือนการทำนายของหมอดู
แต่เราไม่ใช่หมอดู เราดูตัวเอง แต่จะว่าไปเราก็ไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า ในบางครั้งเราก็เห็น อนาคตของตัวเองในแบบที่ไม่ใช่การคาดการณ์เหมือนกัน เอาไว้เราค่อยเล่าในกระทู้ภาคถัดไป ในภาคนี้เราขอเล่าเกี่ยวกับการ คาดการณ์ อนาคตจาก นิมิต ที่เราได้รู้ ได้เห็นกันก่อน
ซึ่ง นิมิต ที่เกี่ยวกับการคาดการณ์อนาคตของเรา เราก็ได้เล่าไปบ้างแล้วในกระทู้ภาคที่ 8 ซึ่งนิมิต แบบนี้จะมาในรูปแบบการเห็นการกระทำของเราในอดีตก่อน ซึ่งในปัจจุบันขณะนั้นเรายังไม่ได้รับผลของการกระทำ
แต่มันทำให้เราสามารถ คาดการณ์ ไปได้ว่าถ้า นิมิต ที่เราเห็นนั้นคือการกระทำของเราในอดีตจริงๆ เราจะต้องได้รับผลเช่นไรในภายภาคหน้า และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ที่เราจะต้องรับผลของการกระทำนั้นๆของเรา
เราก็จะได้รับผลของมันตามที่เราคาดการณ์ไว้ในก่อนหน้านี้เสมอ ไม่เคยหลีกเลี่ยงได้เลยแม้แต่สักครั้งเดียว นั่นจึงเป็นความจริงที่เราต้องยอมรับว่า เราไม่สามารถหนีผลของการกระทำของตัวเองได้ อย่างเช่นตัวอย่างเหตุการณ์ในกระทู้ ภาค 8 ของเรา
ในกระทู้ภาค 8 นั้น เป็น นิมิต ที่เราเห็นการกระทำของเราในอดีต ที่ไม่ใช่การกระทำในชาติปัจจุบันนี้ ซึ่งมันเป็นการกระทำที่เรียกได้ว่าข้ามภพข้ามชาติของเรา ที่เราไม่สามารถระลึกได้หรือมีความจำได้หมายรู้ ว่าเราได้กระทำกรรมเช่นนั้นจริงหรือไม่
ที่เราได้รู้ ได้เห็น การกระทำนั้นของเราก็แค่ใน นิมิต ของเราเท่านั้น แต่ในกระทู้นี้เราจะเล่าถึง นิมิต ที่เป็นแบบเดียวกัน แต่เป็นการกระทำของเราในชาติปัจจุบันนี้ ที่ทำให้เราสามารถคาดการณ์อนาคตของเราได้เช่นเดียวกัน และเราก็กำลังรับผลของการกระทำนั้นอยู่ ณ ปัจจุบันขณะนี้
นิมิต ที่เราจะบอกเล่านี้เราได้รู้ ได้เห็น ตอนที่เราได้ไปปฎิบัติธรรมครั้งแรกที่ขอนแก่นตอนเราไปบวชชีให้ลูกเรา ซึ่งนิมิตที่เราเห็นตอนนั้นเกี่ยวกับการกระทำในวัยเด็กของเรา ซึ่งเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ที่เราไม่เคยให้ความสำคัญหรือให้ความสนใจอะไรและได้ลืมเลือนไปหมดแล้ว
แต่ตอนที่เราได้ไปปฎิบัติธรรมกรรมฐาน รอบนึงที่เรานั่งสมาธิอยู่ จู่ๆมันก็ผุดเป็นภาพเหตุการณ์ในอดีตนี้ขึ้นมา ทำให้เราระลึกได้ และมีความจำได้หมายรู้ว่าเราเคยกระทำการเช่นนั้นจริงๆในวัยเด็ก
มันผุดขึ้นมาเป็นภาพที่ค่อนข้างชัดเจน ตอกย้ำให้เราได้รู้ ได้เห็น เหมือนกับว่าเราได้การกระทำสิ่งนั้นมาสดๆร้อนๆเมื่อวานนี้เอง ทั้งๆที่มันเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งนานแล้ว และตอนที่เราทำ เราเป็นแค่เด็กไร้เดียงสา
นิมิต ที่เราได้เห็นในตอนนั้นคือ เหตุการณ์ที่เราเล่นซน ไปปีนต้นไม้ แล้วก็ไปเอาลูกนกจากรังมาเล่น ลูกนกเพิ่งจะออกจากไข่ ที่ยังเป็นตัวแดงๆยังไม่มีขนเลย แล้วเราก็วิ่งเอาลูกนกกลับบ้านไปให้ย่า โกหกแกว่า ลูกนกตกมาจากรังเราเก็บมาได้ แล้วก็ขอแกเลี้ยงมันไว้ด้วยความเป็นเด็ก
แต่ย่าเราไม่เชื่อ ย่าแกก็ด่าเราว่า เราเกิดมาไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ทีนึงแล้ว ยังจะไปทำเวรทำกรรม ไปพรากลูกพรากแม่เขามาอีก แล้วก็เอาไม้ไล่ตีเรา บอกให้เราเอาลูกนกไปคืนรัง เราก็เลยต้องจำใจเอาลูกนกไปคืน
แต่ตอนเราเอาลูกนกไปคืน ด้วยความมักง่ายของเราในตอนนั้น เราก็แค่เอาลูกนกไปตั้งไว้บนง่ามต้นไม้เฉยๆแทนที่จะเอาไปคืนที่รังมัน พอเราลงมาจากต้นไม้เราก็เห็นนกสองตัว ร้องเสียงดังและบินโฉบเฉี่ยวไปมาเหนือต้นไม้นั้น
ซึ่งเราคิดว่าน่าจะเป็นพ่อแม่นก แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไร พอกลับบ้านไปย่าก็ซักถามเราอีก ว่าเราเอาลูกนกไปคืนจริงๆมั้ย ด้วยความที่แกไม่เชื่อ แกให้เราพาไปดูต้นไม้ที่เราเอาลูกนกไปคืน
แต่พอไปถึงเรากับย่าก็เห็นลูกนกตัวนั้นตกลงมาตายแล้ว แต่เหนือต้นไม้ พ่อแม่นกก็ยังคงร้องและบินโฉบเฉี่ยวไปมาไม่หยุดเหมือนจะร้องหาลูกของมัน หลังจากเราเห็นภาพการกระทำนั้นของเราจาก นิมิต ในตอนนั้น
ทำให้เราสามารถคาดการณ์อนาคตของเราได้ในทันทีว่า เราจะต้องรับผลของการกระทำของเราในคราวนั้นแน่นอน นั่นคือเราจะต้องพลัดพรากจากลูกของเราเป็นแน่
แต่เราไม่เคยเลยสักครั้งที่จะก้มหน้ารับกรรมเฉยๆ เราจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะฝืนมันจนถึงที่สุด เพื่อไม่ให้มันไปไปตามที่เราได้คิดคาดการณ์ไว้ แต่ก็อย่างที่เราบอก ไม่มีครั้งไหนที่เราสามารถฝืนกฎแห่งกรรมได้
เพราะหลังจากที่เราลาสิกขาออกมาแล้ว เราก็เอาลูกเรากลับมาด้วยเพื่อที่เราคิดว่าจะไม่ต้องการพลัดพรากจากลูกเรา ก่อนหน้านี้เราเคยขอให้แม่สามีเราในตอนนั้นลงไปช่วยเราเลี้ยงลูกที่ต่างจังหวัดก่อนหน้านี้ แต่ท่านก็ปฎิเสธ
ท่านบอกว่าถ้าจะให้ท่านช่วยเลี้ยง เราต้องทิ้งลูกไว้ที่บ้านท่านที่อีสาน ท่านจะไม่มาช่วยเลี้ยงลูกให้เราที่ต่างจังหวัด เราจึงหวังพึ่งแม่เราที่ตอนนั้นแกอยู่บ้านเฉยๆก็ไม่ได้มีภาระอะไร เพราะพ่อเราก็เสียไปแล้ว
แต่แม่เราท่านก็ปฎิเสธเช่นกัน เราจึงขอให้น้องสาวเรามาช่วยเลี้ยงลูกให้ ซึ่งเขาก็รับปากว่าจะมาแต่พอถึงเวลาโดนแม่สั่งห้ามไม่ให้มาอยู่กับเรา ถ้าจะไม่ให้เรียกว่าเป็นเวรเป็นกรรมของเราก็ไม่รู้จะเรียกยังไงแล้ว ที่ไม่มีใครช่วยเหลือเราเลย
เราจึงคิดจะจ้างพี่เลี้ยง แต่สามีเราตอนนั้นไม่เห็นด้วยที่จะจ้างพี่เลี้ยง เพราะช่วงนั้นมีข่าวพี่เลี้ยงทำร้ายเด็กบ่อยๆ ซึ่งเขาก็ไม่ได้อยากให้เราเลี้ยงดูลูกเองอยู่แล้วเพราะเขาอยากให้พ่อแม่เขาได้เลี้ยงหลาน
เพื่อชดเชยที่พ่อเขาต้องไปทำงานอยู่ต่างประเทศตอนเขาเป็นเด็ก จึงอยากจะชดเชยช่วงเวลานั้นให้พ่อเขาโดยการให้ท่านได้อยู่กับหลานแทน คุณจะเห็นว่าสถานการณ์แวดล้อมทุกอย่างไม่เข้าข้างเราให้เราได้มีโอกาสอยู่กับลูกได้เลี้ยงลูกเองเลย
ทั้งๆที่เราเคยพูดกับสามีเราในตอนนั้นตลอดก่อนที่จะมีลูกด้วยกันแล้ว ว่าถ้าเรามีลูกเราจะขอเลี้ยงลูกเอง เพราะเราไม่อยากให้ลูกเราขาดความอบอุ่นเหมือนเราในตอนเป็นเด็ก ทั้งๆที่เขารู้อยู่แล้วแต่เขาก็ไม่ส่งเสริมความคิดนั้นของเราเลย
แต่พอเรามีลูกด้วยกันจริงๆเขาก็ยื่นข้อเสนอให้เป็นทางเลือกเดียวแก่เราคือ เราต้องลาออกจากงานเพื่อไปอยู่เลี้ยงดูที่บ้านพ่อแม่เขา เท่านั้น ซึ่งเราก็ต้องจำใจยอมลาออกเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
หลังจากเราลาสิกขาออกมาในคราวนั้น และเรารู้แน่นอนแล้วว่า เราต้องได้พลัดพรากจากลูกเราแน่ๆ แต่เราก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมรับต่อชะตากรรมของเราง่ายๆ หลังจากนั้นเราก็พาลูกเรากลับมาบ้านที่ใต้ด้วย
เพื่อหวังที่จะมัดมือชกให้แม่เราช่วยดูหลานให้ เพราะตอนนั้นเรากำลังคิดที่จะเลิกกับสามีเราด้วยเพราะเรารู้ว่าเขาไม่ซื่อสัตย์ แอบไปมีคนอื่นตอนที่เราอยู่เลี้ยงดูลูกที่บ้านพ่อแม่เขา
แต่ว่าแม่เราก็ใจดำจริงๆ เกือบเดือนที่เราพาลูกเราไปอยู่บ้านเพื่อที่จะให้พวกเขาได้ทำความคุ้นเคยกัน เพื่อที่เราจะวางใจ ตั้งใจฝากหลานไว้ให้แกช่วยดูแลเพื่อที่เราจะได้กลับไปทำงาน หาเงินส่งเสียให้แกจ่ายค่านมลูกเรา
เพราะตอนที่เราต้องลาออกจากงานไปเลี้ยงลูกอยู่เป็นปี เราใช้แต่เงินเก็บของตัวเองหมดเป็นแสน พ่อของลูกเราไม่เคยส่งเสียพวกเราเลยสักบาทเดียว คำพูดที่เขาบอกว่าเขาจะเลี้ยงดูเรากับลูกเองตอนที่บอกให้เราลาออกจากงาน
หลังจากเราไปอยู่เลี้ยงลูกที่บ้านพ่อแม่เขาแล้ว เขาก็บอกให้เรากินอยู่กับพ่อแม่เขา ไม่จำเป็นต้องใช่จ่ายอะไร นั่นคือความหมายตามคำที่เขาบอก เราเคืองมากที่เขาทำเช่นนั้น เพราะถ้าเรารู้เช่นนี้เราจะไม่มีวันลาออกจากงานเด็ดขาด แต่เพราะความที่เราไว้ใจ และเชื่อใจไม่คิดว่าเขาจะใจดำทำกับเราและลูกเช่นนี้
แต่ความใจดำของเขาก็ยังไม่หมด ช่วงที่เราอยู่บ้านที่ใต้ เราก็ยังไม่ได้ทำงาน จนเงินเก็บเราเริ่มจะหมดลง เราจึงเอ่ยปากขอเงินเขาเพื่อซื้อนมให้ลูก แต่คำตอบที่เราได้คือ เขาจะไม่ให้เงินเรา ไม่ช่วยเราส่งลูก แต่เขาเสนอจะซื้อตั๋วเครื่องบินให้เราเอาลูกเรากลับไปให้พ่อแม่เขาเลี้ยงแทน
และเมื่อถึงเวลาที่เราฝืนและทนสุดๆจริงๆ เราก็ต้องยอมให้เขาซื้อตั๋วเครื่องบินพาลูกไปส่งให้พ่อกับแม่เขาที่อีสาน เพราะเราไม่สามารถทำใจฝากลูกเราไว้กับแม่เราได้ เพราะแกไม่ได้รักลูกเรา ไม่สนใจไยดีลูกเราเลย
เราไปอยู่บ้านเกือบเดือนแกไม่เคยแม้แต่จะอุ้มลูกเราสักครั้งเดียว และพ่อของเขาก็ใจดำมากจริงๆ แม้เราจะบอกว่าเราไม่เหลือเงินซื้อนมให้ลูกแล้ว เขาก็ไม่มีน้ำจิตน้ำใจหยิบยื่นให้เราเลยสักบาทจริงๆ เขายอมให้ลูกเราอดนมจริงๆ
ต่างกับเราที่ก่อนหน้านี้ เราช่วยเหลือหยิบยื่นให้เขาตลอด เวลาที่เขาเดือดร้อน และคิดว่าเขาจะทำเช่นเดียวกันกับเรา แต่เราคิดผิด เขาใจดำเข้ากระดูกจริงๆ
หลังจากเราเอาลูกไปฝากให้พ่อแม่เขาเลี้ยงให้แล้วเราก็กลับมาทำงาน ส่งเสียค่าเลี้ยงดูลูกเราให้กับพ่อแม่เขาเองตลอด เพราะเราไม่สามารถไปบังคับอะไรใครได้ และพยายามเก็บเงินเพื่อขึ้นไปหาลูกเราบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เขารู้สึกขาดความอบอุ่น
ต่างจากพ่อเขาที่แม้ว่าลูกอยู่บ้านพ่อแม่ตัวเองแท้ๆ แต่ไม่เคยสนใจ ยังไม่ค่อยขึ้นไปหาลูก อ้างแต่ไม่ว่างไม่มีเวลา ไม่อยากเสียเงินขึ้นไปหาลูก จะโทรหาก็ไม่ค่อยโทร ขนาดตอนที่เรากลับบ้านเขาไปลูกอยากจะโทรหาเขาตอนที่เขาทำงานอยู่ต่างประเทศ
เขาก็ไม่อยากคุย อย่าว่าแต่จะให้เขาโทรหาลูกเองเลย ลูกบอกเราให้โทรหาพ่อให้หน่อย พ่อเขาก็ยังไม่อยากคุย รีบตัดสายทิ้ง บอกไม่ว่างบ้าง เหนื่อยจะนอนบ้าง ต้องทำงานบ้าง สารพัดเหตุผลจะอ้าง
เราเองก็สงสารลูกที่มีพ่อเช่นนี้ แต่ก็คงจะเป็นเวรเป็นกรรมของลูกเราด้วย ยังดีที่พ่อแม่เขายังเมตตาเรา ขนาดเราเลิกกับเขาไปแล้วพวกท่านก็ยังรักเรา ไม่เคยรังเกียจเราที่เราเลิกกับลูกชายเขาไป
ตอนที่เราทำงานอยู่ไทยเราก็ได้กลับไปหาลูกเราบ่อยๆ แต่หลังจากเราเลิกกับพ่อเขาแล้วและต้องมาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเราก็ไม่สามารถไปหาพวกเขาบ่อยเหมือนเมื่อก่อนได้
เวลาที่เราโทรหาลูกเราจะปวดใจทุกครั้งที่เขาถามว่า เมื่อไหร่แม่จะกลับมาหาหนู หนูคิดถึงแม่ เราก็ได้แต่บอกว่าไปตามตรงว่า ยังไม่รู้ เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไปหาพวกเขาอีก
เราไม่อยากพูดให้ความหวังพวกเขา เพราะทุกครั้งที่เราบอกว่าจะกลับไปหาวันนั้นวันนี้ เราไม่เคยผิดคำพูด และเขาจะตั้งหน้าตารอเราทุกครั้ง เราไม่เคยโกหกลูกเรา เพราะเราไม่อยากทำลายความหวังของพวกเขา
ปัจจุบันนี้เราก็ได้แต่หวัง การสำนึกผิดของเราบวกกับผลบุญกุศลที่เราทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้จะช่วยทำให้พ่อแม่นกและลูกนกที่เราได้กระทำกรรมต่อพวกเขาอโหสิกรรมให้เรา
และช่วยทำให้ผลของการกระทำของเราในครั้งนี้ชดใช้ให้หมดไวขึ้น และถ้าเรากับลูกๆของเรายังมีบุญวาสนาร่วมกันก็อาจจะมีโอกาสให้ได้กับมาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้
เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 21
แต่เราไม่ใช่หมอดู เราดูตัวเอง แต่จะว่าไปเราก็ไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า ในบางครั้งเราก็เห็น อนาคตของตัวเองในแบบที่ไม่ใช่การคาดการณ์เหมือนกัน เอาไว้เราค่อยเล่าในกระทู้ภาคถัดไป ในภาคนี้เราขอเล่าเกี่ยวกับการ คาดการณ์ อนาคตจาก นิมิต ที่เราได้รู้ ได้เห็นกันก่อน
ซึ่ง นิมิต ที่เกี่ยวกับการคาดการณ์อนาคตของเรา เราก็ได้เล่าไปบ้างแล้วในกระทู้ภาคที่ 8 ซึ่งนิมิต แบบนี้จะมาในรูปแบบการเห็นการกระทำของเราในอดีตก่อน ซึ่งในปัจจุบันขณะนั้นเรายังไม่ได้รับผลของการกระทำ
แต่มันทำให้เราสามารถ คาดการณ์ ไปได้ว่าถ้า นิมิต ที่เราเห็นนั้นคือการกระทำของเราในอดีตจริงๆ เราจะต้องได้รับผลเช่นไรในภายภาคหน้า และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ที่เราจะต้องรับผลของการกระทำนั้นๆของเรา
เราก็จะได้รับผลของมันตามที่เราคาดการณ์ไว้ในก่อนหน้านี้เสมอ ไม่เคยหลีกเลี่ยงได้เลยแม้แต่สักครั้งเดียว นั่นจึงเป็นความจริงที่เราต้องยอมรับว่า เราไม่สามารถหนีผลของการกระทำของตัวเองได้ อย่างเช่นตัวอย่างเหตุการณ์ในกระทู้ ภาค 8 ของเรา
ในกระทู้ภาค 8 นั้น เป็น นิมิต ที่เราเห็นการกระทำของเราในอดีต ที่ไม่ใช่การกระทำในชาติปัจจุบันนี้ ซึ่งมันเป็นการกระทำที่เรียกได้ว่าข้ามภพข้ามชาติของเรา ที่เราไม่สามารถระลึกได้หรือมีความจำได้หมายรู้ ว่าเราได้กระทำกรรมเช่นนั้นจริงหรือไม่
ที่เราได้รู้ ได้เห็น การกระทำนั้นของเราก็แค่ใน นิมิต ของเราเท่านั้น แต่ในกระทู้นี้เราจะเล่าถึง นิมิต ที่เป็นแบบเดียวกัน แต่เป็นการกระทำของเราในชาติปัจจุบันนี้ ที่ทำให้เราสามารถคาดการณ์อนาคตของเราได้เช่นเดียวกัน และเราก็กำลังรับผลของการกระทำนั้นอยู่ ณ ปัจจุบันขณะนี้
นิมิต ที่เราจะบอกเล่านี้เราได้รู้ ได้เห็น ตอนที่เราได้ไปปฎิบัติธรรมครั้งแรกที่ขอนแก่นตอนเราไปบวชชีให้ลูกเรา ซึ่งนิมิตที่เราเห็นตอนนั้นเกี่ยวกับการกระทำในวัยเด็กของเรา ซึ่งเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ที่เราไม่เคยให้ความสำคัญหรือให้ความสนใจอะไรและได้ลืมเลือนไปหมดแล้ว
แต่ตอนที่เราได้ไปปฎิบัติธรรมกรรมฐาน รอบนึงที่เรานั่งสมาธิอยู่ จู่ๆมันก็ผุดเป็นภาพเหตุการณ์ในอดีตนี้ขึ้นมา ทำให้เราระลึกได้ และมีความจำได้หมายรู้ว่าเราเคยกระทำการเช่นนั้นจริงๆในวัยเด็ก
มันผุดขึ้นมาเป็นภาพที่ค่อนข้างชัดเจน ตอกย้ำให้เราได้รู้ ได้เห็น เหมือนกับว่าเราได้การกระทำสิ่งนั้นมาสดๆร้อนๆเมื่อวานนี้เอง ทั้งๆที่มันเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งนานแล้ว และตอนที่เราทำ เราเป็นแค่เด็กไร้เดียงสา
นิมิต ที่เราได้เห็นในตอนนั้นคือ เหตุการณ์ที่เราเล่นซน ไปปีนต้นไม้ แล้วก็ไปเอาลูกนกจากรังมาเล่น ลูกนกเพิ่งจะออกจากไข่ ที่ยังเป็นตัวแดงๆยังไม่มีขนเลย แล้วเราก็วิ่งเอาลูกนกกลับบ้านไปให้ย่า โกหกแกว่า ลูกนกตกมาจากรังเราเก็บมาได้ แล้วก็ขอแกเลี้ยงมันไว้ด้วยความเป็นเด็ก
แต่ย่าเราไม่เชื่อ ย่าแกก็ด่าเราว่า เราเกิดมาไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ทีนึงแล้ว ยังจะไปทำเวรทำกรรม ไปพรากลูกพรากแม่เขามาอีก แล้วก็เอาไม้ไล่ตีเรา บอกให้เราเอาลูกนกไปคืนรัง เราก็เลยต้องจำใจเอาลูกนกไปคืน
แต่ตอนเราเอาลูกนกไปคืน ด้วยความมักง่ายของเราในตอนนั้น เราก็แค่เอาลูกนกไปตั้งไว้บนง่ามต้นไม้เฉยๆแทนที่จะเอาไปคืนที่รังมัน พอเราลงมาจากต้นไม้เราก็เห็นนกสองตัว ร้องเสียงดังและบินโฉบเฉี่ยวไปมาเหนือต้นไม้นั้น
ซึ่งเราคิดว่าน่าจะเป็นพ่อแม่นก แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไร พอกลับบ้านไปย่าก็ซักถามเราอีก ว่าเราเอาลูกนกไปคืนจริงๆมั้ย ด้วยความที่แกไม่เชื่อ แกให้เราพาไปดูต้นไม้ที่เราเอาลูกนกไปคืน
แต่พอไปถึงเรากับย่าก็เห็นลูกนกตัวนั้นตกลงมาตายแล้ว แต่เหนือต้นไม้ พ่อแม่นกก็ยังคงร้องและบินโฉบเฉี่ยวไปมาไม่หยุดเหมือนจะร้องหาลูกของมัน หลังจากเราเห็นภาพการกระทำนั้นของเราจาก นิมิต ในตอนนั้น
ทำให้เราสามารถคาดการณ์อนาคตของเราได้ในทันทีว่า เราจะต้องรับผลของการกระทำของเราในคราวนั้นแน่นอน นั่นคือเราจะต้องพลัดพรากจากลูกของเราเป็นแน่
แต่เราไม่เคยเลยสักครั้งที่จะก้มหน้ารับกรรมเฉยๆ เราจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะฝืนมันจนถึงที่สุด เพื่อไม่ให้มันไปไปตามที่เราได้คิดคาดการณ์ไว้ แต่ก็อย่างที่เราบอก ไม่มีครั้งไหนที่เราสามารถฝืนกฎแห่งกรรมได้
เพราะหลังจากที่เราลาสิกขาออกมาแล้ว เราก็เอาลูกเรากลับมาด้วยเพื่อที่เราคิดว่าจะไม่ต้องการพลัดพรากจากลูกเรา ก่อนหน้านี้เราเคยขอให้แม่สามีเราในตอนนั้นลงไปช่วยเราเลี้ยงลูกที่ต่างจังหวัดก่อนหน้านี้ แต่ท่านก็ปฎิเสธ
ท่านบอกว่าถ้าจะให้ท่านช่วยเลี้ยง เราต้องทิ้งลูกไว้ที่บ้านท่านที่อีสาน ท่านจะไม่มาช่วยเลี้ยงลูกให้เราที่ต่างจังหวัด เราจึงหวังพึ่งแม่เราที่ตอนนั้นแกอยู่บ้านเฉยๆก็ไม่ได้มีภาระอะไร เพราะพ่อเราก็เสียไปแล้ว
แต่แม่เราท่านก็ปฎิเสธเช่นกัน เราจึงขอให้น้องสาวเรามาช่วยเลี้ยงลูกให้ ซึ่งเขาก็รับปากว่าจะมาแต่พอถึงเวลาโดนแม่สั่งห้ามไม่ให้มาอยู่กับเรา ถ้าจะไม่ให้เรียกว่าเป็นเวรเป็นกรรมของเราก็ไม่รู้จะเรียกยังไงแล้ว ที่ไม่มีใครช่วยเหลือเราเลย
เราจึงคิดจะจ้างพี่เลี้ยง แต่สามีเราตอนนั้นไม่เห็นด้วยที่จะจ้างพี่เลี้ยง เพราะช่วงนั้นมีข่าวพี่เลี้ยงทำร้ายเด็กบ่อยๆ ซึ่งเขาก็ไม่ได้อยากให้เราเลี้ยงดูลูกเองอยู่แล้วเพราะเขาอยากให้พ่อแม่เขาได้เลี้ยงหลาน
เพื่อชดเชยที่พ่อเขาต้องไปทำงานอยู่ต่างประเทศตอนเขาเป็นเด็ก จึงอยากจะชดเชยช่วงเวลานั้นให้พ่อเขาโดยการให้ท่านได้อยู่กับหลานแทน คุณจะเห็นว่าสถานการณ์แวดล้อมทุกอย่างไม่เข้าข้างเราให้เราได้มีโอกาสอยู่กับลูกได้เลี้ยงลูกเองเลย
ทั้งๆที่เราเคยพูดกับสามีเราในตอนนั้นตลอดก่อนที่จะมีลูกด้วยกันแล้ว ว่าถ้าเรามีลูกเราจะขอเลี้ยงลูกเอง เพราะเราไม่อยากให้ลูกเราขาดความอบอุ่นเหมือนเราในตอนเป็นเด็ก ทั้งๆที่เขารู้อยู่แล้วแต่เขาก็ไม่ส่งเสริมความคิดนั้นของเราเลย
แต่พอเรามีลูกด้วยกันจริงๆเขาก็ยื่นข้อเสนอให้เป็นทางเลือกเดียวแก่เราคือ เราต้องลาออกจากงานเพื่อไปอยู่เลี้ยงดูที่บ้านพ่อแม่เขา เท่านั้น ซึ่งเราก็ต้องจำใจยอมลาออกเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
หลังจากเราลาสิกขาออกมาในคราวนั้น และเรารู้แน่นอนแล้วว่า เราต้องได้พลัดพรากจากลูกเราแน่ๆ แต่เราก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมรับต่อชะตากรรมของเราง่ายๆ หลังจากนั้นเราก็พาลูกเรากลับมาบ้านที่ใต้ด้วย
เพื่อหวังที่จะมัดมือชกให้แม่เราช่วยดูหลานให้ เพราะตอนนั้นเรากำลังคิดที่จะเลิกกับสามีเราด้วยเพราะเรารู้ว่าเขาไม่ซื่อสัตย์ แอบไปมีคนอื่นตอนที่เราอยู่เลี้ยงดูลูกที่บ้านพ่อแม่เขา
แต่ว่าแม่เราก็ใจดำจริงๆ เกือบเดือนที่เราพาลูกเราไปอยู่บ้านเพื่อที่จะให้พวกเขาได้ทำความคุ้นเคยกัน เพื่อที่เราจะวางใจ ตั้งใจฝากหลานไว้ให้แกช่วยดูแลเพื่อที่เราจะได้กลับไปทำงาน หาเงินส่งเสียให้แกจ่ายค่านมลูกเรา
เพราะตอนที่เราต้องลาออกจากงานไปเลี้ยงลูกอยู่เป็นปี เราใช้แต่เงินเก็บของตัวเองหมดเป็นแสน พ่อของลูกเราไม่เคยส่งเสียพวกเราเลยสักบาทเดียว คำพูดที่เขาบอกว่าเขาจะเลี้ยงดูเรากับลูกเองตอนที่บอกให้เราลาออกจากงาน
หลังจากเราไปอยู่เลี้ยงลูกที่บ้านพ่อแม่เขาแล้ว เขาก็บอกให้เรากินอยู่กับพ่อแม่เขา ไม่จำเป็นต้องใช่จ่ายอะไร นั่นคือความหมายตามคำที่เขาบอก เราเคืองมากที่เขาทำเช่นนั้น เพราะถ้าเรารู้เช่นนี้เราจะไม่มีวันลาออกจากงานเด็ดขาด แต่เพราะความที่เราไว้ใจ และเชื่อใจไม่คิดว่าเขาจะใจดำทำกับเราและลูกเช่นนี้
แต่ความใจดำของเขาก็ยังไม่หมด ช่วงที่เราอยู่บ้านที่ใต้ เราก็ยังไม่ได้ทำงาน จนเงินเก็บเราเริ่มจะหมดลง เราจึงเอ่ยปากขอเงินเขาเพื่อซื้อนมให้ลูก แต่คำตอบที่เราได้คือ เขาจะไม่ให้เงินเรา ไม่ช่วยเราส่งลูก แต่เขาเสนอจะซื้อตั๋วเครื่องบินให้เราเอาลูกเรากลับไปให้พ่อแม่เขาเลี้ยงแทน
และเมื่อถึงเวลาที่เราฝืนและทนสุดๆจริงๆ เราก็ต้องยอมให้เขาซื้อตั๋วเครื่องบินพาลูกไปส่งให้พ่อกับแม่เขาที่อีสาน เพราะเราไม่สามารถทำใจฝากลูกเราไว้กับแม่เราได้ เพราะแกไม่ได้รักลูกเรา ไม่สนใจไยดีลูกเราเลย
เราไปอยู่บ้านเกือบเดือนแกไม่เคยแม้แต่จะอุ้มลูกเราสักครั้งเดียว และพ่อของเขาก็ใจดำมากจริงๆ แม้เราจะบอกว่าเราไม่เหลือเงินซื้อนมให้ลูกแล้ว เขาก็ไม่มีน้ำจิตน้ำใจหยิบยื่นให้เราเลยสักบาทจริงๆ เขายอมให้ลูกเราอดนมจริงๆ
ต่างกับเราที่ก่อนหน้านี้ เราช่วยเหลือหยิบยื่นให้เขาตลอด เวลาที่เขาเดือดร้อน และคิดว่าเขาจะทำเช่นเดียวกันกับเรา แต่เราคิดผิด เขาใจดำเข้ากระดูกจริงๆ
หลังจากเราเอาลูกไปฝากให้พ่อแม่เขาเลี้ยงให้แล้วเราก็กลับมาทำงาน ส่งเสียค่าเลี้ยงดูลูกเราให้กับพ่อแม่เขาเองตลอด เพราะเราไม่สามารถไปบังคับอะไรใครได้ และพยายามเก็บเงินเพื่อขึ้นไปหาลูกเราบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เขารู้สึกขาดความอบอุ่น
ต่างจากพ่อเขาที่แม้ว่าลูกอยู่บ้านพ่อแม่ตัวเองแท้ๆ แต่ไม่เคยสนใจ ยังไม่ค่อยขึ้นไปหาลูก อ้างแต่ไม่ว่างไม่มีเวลา ไม่อยากเสียเงินขึ้นไปหาลูก จะโทรหาก็ไม่ค่อยโทร ขนาดตอนที่เรากลับบ้านเขาไปลูกอยากจะโทรหาเขาตอนที่เขาทำงานอยู่ต่างประเทศ
เขาก็ไม่อยากคุย อย่าว่าแต่จะให้เขาโทรหาลูกเองเลย ลูกบอกเราให้โทรหาพ่อให้หน่อย พ่อเขาก็ยังไม่อยากคุย รีบตัดสายทิ้ง บอกไม่ว่างบ้าง เหนื่อยจะนอนบ้าง ต้องทำงานบ้าง สารพัดเหตุผลจะอ้าง
เราเองก็สงสารลูกที่มีพ่อเช่นนี้ แต่ก็คงจะเป็นเวรเป็นกรรมของลูกเราด้วย ยังดีที่พ่อแม่เขายังเมตตาเรา ขนาดเราเลิกกับเขาไปแล้วพวกท่านก็ยังรักเรา ไม่เคยรังเกียจเราที่เราเลิกกับลูกชายเขาไป
ตอนที่เราทำงานอยู่ไทยเราก็ได้กลับไปหาลูกเราบ่อยๆ แต่หลังจากเราเลิกกับพ่อเขาแล้วและต้องมาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเราก็ไม่สามารถไปหาพวกเขาบ่อยเหมือนเมื่อก่อนได้
เวลาที่เราโทรหาลูกเราจะปวดใจทุกครั้งที่เขาถามว่า เมื่อไหร่แม่จะกลับมาหาหนู หนูคิดถึงแม่ เราก็ได้แต่บอกว่าไปตามตรงว่า ยังไม่รู้ เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไปหาพวกเขาอีก
เราไม่อยากพูดให้ความหวังพวกเขา เพราะทุกครั้งที่เราบอกว่าจะกลับไปหาวันนั้นวันนี้ เราไม่เคยผิดคำพูด และเขาจะตั้งหน้าตารอเราทุกครั้ง เราไม่เคยโกหกลูกเรา เพราะเราไม่อยากทำลายความหวังของพวกเขา
ปัจจุบันนี้เราก็ได้แต่หวัง การสำนึกผิดของเราบวกกับผลบุญกุศลที่เราทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้จะช่วยทำให้พ่อแม่นกและลูกนกที่เราได้กระทำกรรมต่อพวกเขาอโหสิกรรมให้เรา
และช่วยทำให้ผลของการกระทำของเราในครั้งนี้ชดใช้ให้หมดไวขึ้น และถ้าเรากับลูกๆของเรายังมีบุญวาสนาร่วมกันก็อาจจะมีโอกาสให้ได้กับมาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้