เมื่อ 4 ปีก่อนทำงานเป็นเซลล์วิ่งขายของต่างจังหวัด ให้กับบริษัทในเครือของบริษัทชั้นนำอันดับหนึ่งทางด้านการศึกษาของประเทศ ผู้บริหารเก่งมีความสามารถมาก ได้รับรางวัลทางด้านการศึกษามากมาย ตอนนี้ลาออกมาแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งได้รับหมายศาลส่งมาที่บ้าน คำในศาลสั้นๆ ให้ได้ใจความง่ายๆ คือ ศาลให้ชดใช้เงินจำนวนร่วมแสนบาทให้แก่บริษัท น. ซึ่งเงินก้อนนี้ตามความเป็นจริงแล้วเป็นรายรับรวมทั้งหมดที่ตกลงกันก่อนจ้างงาน โดยมีเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายที่ให้ใช้ในการทำงานโอนเข้าบัญชีเท่าๆ กันทุกเดือน โดยก่อนตกลงจ้างงานตกลงกันเป็นรายรับรวมทั้งหมดแล้ว
ต่อมาได้ลาออกจากงาน และเมื่อไม่นานนี้ก็กลับตกเป็นจำเลยตกเป็นหนี้ โดยบริษัทอ้างว่าเป็นเงินแอดวานส์ที่ บ.จ่ายมาให้ล่วงหน้าต้องใช้คืน ซึ่งในวันที่ลาออกได้มีการตกลงแจกแจงเอกสารการเซ็นรับสภาพหนี้ โดยเอกสารฉบับนั้นเขียนด้วยลายมือของหัวหน้างาน และเอามาให้พนักงานเซ็นรับสภาพหนี้ ซึ่งต้องจำใจทั้งลูกพี่ลูกน้องทั้งๆ ที่ก็รู้กันเต็มอกว่ามันไม่ถูกต้องไม่ยุติธรรม หากเป็นธรรมโปร่งใสแต่แรกต้องมีการแจกแจงก่อนตกลงจ้างหรือมีเอกสารรับทราบตามเงื่อนไขนี้มาแต่แรก มิใช่มาบอกมาแจกแจงให้รับสภาพหนี้ในวันที่ลาออก เงินที่ได้ ก็รับมาเท่าๆ กันทุกเดือนก็ไม่คิดว่าบริษัทฯ จะเอามายัดให้เป็นหนี้และเอาเอกสารที่เซ็นมาเป็นหลักฐานการฟ้อง ซึ่งถ้าหากไม่ลาออกก็จะไม่ทราบ ว่ามีระบบเน่าๆ แบบนี้ที่ทำมาช้านานมากและมีคนถูกกระทำแบบนี้มาเป็นรุ่นๆ และทำงานเป็นเซลล์วิ่งงานตามต่างจังหวัดมาเกือบตลอดชีวิต ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย
ลาออกเมื่อปี 2561 แล้วเพิ่งมาฟ้องเมื่อไม่นานมานี้ เดิมต้องจำใจรับสภาพไปทั้งๆ ที่ก็ไม่ควรจะต้องมีใครมาจ่ายเงินก้อนนี้ พอมาทำงานกับบริษัทแม่ (บริษัท อ.) ก็สารพัดผู้ใหญ่มาคุยจนสุดท้ายก็จำใจให้หักเงินไป เพื่อให้เรื่องจบและทำงานต่อไปได้ แต่พอตอนลาออกมาจาก บริษัท อ. ค่าคอมมิชชั่นจาก บริษัท อ. ก็ไม่ได้สักบาท มีการทวงถามไปก็บอกว่าหักลบแล้วไม่เหลือ หนูไม่ได้ค่าคอม ทั้งๆ ที่ยอดขายหนังสือเรียนขายได้เป็นหลักล้าน ยอดขายสื่อการเรียนก็ขายได้เป็นหลักแสน แต่ไม่เหลือ บอกหักสารพัดบลาๆ ซึ่งในยอดที่หักมันมีค่าใช้จ่ายในการทำงานด้วย ค่าที่พัก ค่าน้ำมันรถ ค่าห้องพักวิทยากร ค่าอนุเคราะห์โรงเรียน ค่าสนับสนุนโรงเรียน บลาๆๆ โหยยยคือเอามายัดใส่เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดเลย ทั้งๆ ที่บิลหนังสือขอบคุณต่างๆ มันออกมาเป็นชื่อบริษัท แต่....ก็เลือกที่ให้จบๆ กันไป ไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรด้วยกับทั้ง 2 บรัทนี้อีกแล้ว
*** แต่ตอนนี้มันไม่จบ เพราะกลับมาโดนบริษัท น.ฟ้องร้องให้ชดใช้เงินที่บริษัทใช้มาเพื่อใช้ในการทำงานโดยระบุว่าเป็นค่าคอมมิชชั่นล่วงหน้า สรุปทำงาน 2 ที่ ตำแหน่งงานขายเป็นเซลล์วิ่งหาลูกค้าใช้รถส่วนตัวของเรา ค่าใช้จ่ายต่างๆ เราต้องออกเองทั้งหมด บริษัทไม่เสียอะไรเลยนอกจากเงินเดือนที่ทำในสัญญาจ้างขึ้นมาแค่ 9,000 กว่าบาท ค่าซ่อมรถ ค่าสึกหรอ ต่างๆ นาๆ ไม่เคยเบิกไม่เคยได้ แต่เงินที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นการซัพพอตร์ตของบริษัทเป็นเงินช่วยเหลือในการทำงานที่บริษัทช่วยนั้น ที่จริงแล้วบริษัท จับยัดให้เป็นค่าใช้จ่ายที่บอกว่าเบิก / ยืมล่วงหน้า และต้องใช้คืน ซึ่งเราก็ไม่รู้มาก่อนจนกระทั่งตอนลาออก ติดต่อกลับเพื่อขอข้อมูลรายได้ ภาษี สลิปเงินเดือน ภงด. และรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวกับรายได้ของขณะที่ยังทำงานอยู่มาดูก็แบบงง กลายเป็นเงินเดือนเราแค่ 6,000 กว่าบาท แต่หักประกันสังคมที่ 9,000 กว่าบาท ค่าเงิน MM ยัดใส่เป็นค่าใช้จ่ายเซลล์ ค่าใช้จ่ายที่ให้มาพร้อมกับเงินเดือนยัดใส่เป็นค่าใช้จ่ายเซลล์ คือมารู้ตอนหลังว่าบริษัททำแบบนี้มานานมากแล้ว บริษัทชั้นนำของประเทศบริษัทนี้เปิดมาร่วม 90 ปี มีปบริษัทในเครืออีกหลายบริษัท มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถูกกระทำแบบนี้ และต้องจำใจจำยอมรับสภาพหนี้ที่ไม่เป็นธรรมนี้ บริษัทที่ใหญ่โตเปิดมานานร่วม 90 ปี มีชื่อเสียงกลับเอาเปรียบพนักงานแบบนี้มันมีอยู่ในโลกนี้ด้วย ถ้าเป็นเงินที่กู้ยืมมา หรือขอเบิกล่วงหน้าเพื่อมาใช้ส่วนตัว ก้เข้าใจได้และยอมรับสภาพแต่โดยดี แต่เงินที่ได้มามันเป็นแอดวานซ์ที่ใช้ในการวิ่งทำงานจริงไม่ใช่หรอเป็นค่าใช้จ่ายที่จริงๆ แล้วก็ไม่ควรต้องออกเอง เช่น ค่าเลี้ยงรับรอง ค่าดูแล ค่าอาหารค่าที่พักวิทยากร ของสนับสนุนให้โรงเรียน ขออนุเคราะห์มา ก็ออกในนาม บ. แต่ก็มายัดให้เป็นค่าใช้จ่ายเซลล์ รวมทั้งเงินทอน และไหนที่ต้องวิ่งขายงานให้ ผู้จัดการเยี่ยงพนักงานร้านเขาคนหนึ่ง มีส่วนได้ส่วนเสีย ยิ่งอยู่ยิ่งทำให้รู้สึกเสื่อม พวกเราทำงานขายของให้พวกคุณระดับหัวหน้า ผู้บริหารได้ขับรถหรูมีบ้านใหญ่โตใช้ของแบรนด์เนมแพงๆ กินดีอยู่ดี บางครั้งก็แอบคิดว่าเอาเงินมากมายมาจากไหนกัน ความศรัทธาในวงการนี้แทบไม่เหลือ เพราะเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าการศึกษาที่ดี (อันนี้บ่นเพราะเหตุนี้ด้วยที่ทำให้ลาออก)
***เมื่อปีก่อนก็มีพนักงานจำนวนหนึ่งโดนฟ้องในลักษณะเดียวกันและยอมไกล่เกลียในชั้นศาลยอมจ่ายไปแล้ว และวันนี้เป็นเรา นัดแรกก็วันที่ 13 ธันวาคม 65 นี้แล้ว แต่พอคนยอมไม่เคยมีใครสู้ทำให้บริษัทยิ่งได้ใจ และก็จะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยเอกสารเซ็นรับสภาพหนี้ฉบับนี้ เคยไปปรึกษากับหลายๆ ที่ ก็บอกให้ไปไกล่เกลี่ยหนักได้กลายเป็นเบา สู้ไปก็เสียเวลาไม่ชนะ เขามีทนายมีคนรู้กฎหมายจะเอาอะไรไปสู้ ฟังแล้วถอถอย ท้อแท้มากๆ เลยค่ะ ทำไมต้องมาชดใช้เงินก้อนนี้ หากเรายอมเท่ากับบริษัทไม่ได้เสียอะไรเลย ค่าใช้จ่ายให้เซลล์ทำงานและมาหักจากเซลล์อีก และเราทำงานกลับต้องมาเป็นจำเลยโดนศาลฟ้อง ตอนนี้ใจขอสู้ค่ะ แพ้หรือชนะก็จะขอสู้ ถึงแม้ว่า ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปสู้ สู้เพื่อตัวเองค่ะ และสู้เพื่อคนอื่นๆ เพราะหากไม่มีใครทำอะไรเลย บริษัทฯ นี้ก็จะได้ใจ และใช้ระบบที่น่าชังทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ และต้องมีคนถูกเอาเปรียบอีกกี่คนและต้องมีคนที่ต้องอยู่กับสภาพแบบนี้อีกกี่คน บางทีความยุติธรรมมันก็เหนื่อยนะคะ กว่าจะได้มันมา ต้องทำยังไง หรือ พอจะมีทางที่จะชนะไหม และหากชนะ คนอื่นๆ ที่โดนไปก่อนนี้เขาจะรื้อคดีมาใหม่ได้ไหม เพราะทุกคนโดนแบบเดียวกัน และเราจะฟ้องเรียกค่าคอมได้ไหม เรื่องมันก็ผ่านมา 4 ปีแล้ว ใครเคยเจอแบบนี้ไหม หรือ เจออยู่ ต้องทำยังไง เราไปปรึกษามาแทบจะทุกหน่วยงานแล้วอ่ะ
จุกอก!! อาชีพเซลล์ลาออก ถูกบริษัทฟ้องเรียกเงินค่าใช้จ่ายคืน ร่วมแสน!! ค่าคอมไม่เคยได้ และกลายเป็นจำเลยต้องใช้หนี้
ต่อมาได้ลาออกจากงาน และเมื่อไม่นานนี้ก็กลับตกเป็นจำเลยตกเป็นหนี้ โดยบริษัทอ้างว่าเป็นเงินแอดวานส์ที่ บ.จ่ายมาให้ล่วงหน้าต้องใช้คืน ซึ่งในวันที่ลาออกได้มีการตกลงแจกแจงเอกสารการเซ็นรับสภาพหนี้ โดยเอกสารฉบับนั้นเขียนด้วยลายมือของหัวหน้างาน และเอามาให้พนักงานเซ็นรับสภาพหนี้ ซึ่งต้องจำใจทั้งลูกพี่ลูกน้องทั้งๆ ที่ก็รู้กันเต็มอกว่ามันไม่ถูกต้องไม่ยุติธรรม หากเป็นธรรมโปร่งใสแต่แรกต้องมีการแจกแจงก่อนตกลงจ้างหรือมีเอกสารรับทราบตามเงื่อนไขนี้มาแต่แรก มิใช่มาบอกมาแจกแจงให้รับสภาพหนี้ในวันที่ลาออก เงินที่ได้ ก็รับมาเท่าๆ กันทุกเดือนก็ไม่คิดว่าบริษัทฯ จะเอามายัดให้เป็นหนี้และเอาเอกสารที่เซ็นมาเป็นหลักฐานการฟ้อง ซึ่งถ้าหากไม่ลาออกก็จะไม่ทราบ ว่ามีระบบเน่าๆ แบบนี้ที่ทำมาช้านานมากและมีคนถูกกระทำแบบนี้มาเป็นรุ่นๆ และทำงานเป็นเซลล์วิ่งงานตามต่างจังหวัดมาเกือบตลอดชีวิต ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย
ลาออกเมื่อปี 2561 แล้วเพิ่งมาฟ้องเมื่อไม่นานมานี้ เดิมต้องจำใจรับสภาพไปทั้งๆ ที่ก็ไม่ควรจะต้องมีใครมาจ่ายเงินก้อนนี้ พอมาทำงานกับบริษัทแม่ (บริษัท อ.) ก็สารพัดผู้ใหญ่มาคุยจนสุดท้ายก็จำใจให้หักเงินไป เพื่อให้เรื่องจบและทำงานต่อไปได้ แต่พอตอนลาออกมาจาก บริษัท อ. ค่าคอมมิชชั่นจาก บริษัท อ. ก็ไม่ได้สักบาท มีการทวงถามไปก็บอกว่าหักลบแล้วไม่เหลือ หนูไม่ได้ค่าคอม ทั้งๆ ที่ยอดขายหนังสือเรียนขายได้เป็นหลักล้าน ยอดขายสื่อการเรียนก็ขายได้เป็นหลักแสน แต่ไม่เหลือ บอกหักสารพัดบลาๆ ซึ่งในยอดที่หักมันมีค่าใช้จ่ายในการทำงานด้วย ค่าที่พัก ค่าน้ำมันรถ ค่าห้องพักวิทยากร ค่าอนุเคราะห์โรงเรียน ค่าสนับสนุนโรงเรียน บลาๆๆ โหยยยคือเอามายัดใส่เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดเลย ทั้งๆ ที่บิลหนังสือขอบคุณต่างๆ มันออกมาเป็นชื่อบริษัท แต่....ก็เลือกที่ให้จบๆ กันไป ไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรด้วยกับทั้ง 2 บรัทนี้อีกแล้ว
*** แต่ตอนนี้มันไม่จบ เพราะกลับมาโดนบริษัท น.ฟ้องร้องให้ชดใช้เงินที่บริษัทใช้มาเพื่อใช้ในการทำงานโดยระบุว่าเป็นค่าคอมมิชชั่นล่วงหน้า สรุปทำงาน 2 ที่ ตำแหน่งงานขายเป็นเซลล์วิ่งหาลูกค้าใช้รถส่วนตัวของเรา ค่าใช้จ่ายต่างๆ เราต้องออกเองทั้งหมด บริษัทไม่เสียอะไรเลยนอกจากเงินเดือนที่ทำในสัญญาจ้างขึ้นมาแค่ 9,000 กว่าบาท ค่าซ่อมรถ ค่าสึกหรอ ต่างๆ นาๆ ไม่เคยเบิกไม่เคยได้ แต่เงินที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นการซัพพอตร์ตของบริษัทเป็นเงินช่วยเหลือในการทำงานที่บริษัทช่วยนั้น ที่จริงแล้วบริษัท จับยัดให้เป็นค่าใช้จ่ายที่บอกว่าเบิก / ยืมล่วงหน้า และต้องใช้คืน ซึ่งเราก็ไม่รู้มาก่อนจนกระทั่งตอนลาออก ติดต่อกลับเพื่อขอข้อมูลรายได้ ภาษี สลิปเงินเดือน ภงด. และรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวกับรายได้ของขณะที่ยังทำงานอยู่มาดูก็แบบงง กลายเป็นเงินเดือนเราแค่ 6,000 กว่าบาท แต่หักประกันสังคมที่ 9,000 กว่าบาท ค่าเงิน MM ยัดใส่เป็นค่าใช้จ่ายเซลล์ ค่าใช้จ่ายที่ให้มาพร้อมกับเงินเดือนยัดใส่เป็นค่าใช้จ่ายเซลล์ คือมารู้ตอนหลังว่าบริษัททำแบบนี้มานานมากแล้ว บริษัทชั้นนำของประเทศบริษัทนี้เปิดมาร่วม 90 ปี มีปบริษัทในเครืออีกหลายบริษัท มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถูกกระทำแบบนี้ และต้องจำใจจำยอมรับสภาพหนี้ที่ไม่เป็นธรรมนี้ บริษัทที่ใหญ่โตเปิดมานานร่วม 90 ปี มีชื่อเสียงกลับเอาเปรียบพนักงานแบบนี้มันมีอยู่ในโลกนี้ด้วย ถ้าเป็นเงินที่กู้ยืมมา หรือขอเบิกล่วงหน้าเพื่อมาใช้ส่วนตัว ก้เข้าใจได้และยอมรับสภาพแต่โดยดี แต่เงินที่ได้มามันเป็นแอดวานซ์ที่ใช้ในการวิ่งทำงานจริงไม่ใช่หรอเป็นค่าใช้จ่ายที่จริงๆ แล้วก็ไม่ควรต้องออกเอง เช่น ค่าเลี้ยงรับรอง ค่าดูแล ค่าอาหารค่าที่พักวิทยากร ของสนับสนุนให้โรงเรียน ขออนุเคราะห์มา ก็ออกในนาม บ. แต่ก็มายัดให้เป็นค่าใช้จ่ายเซลล์ รวมทั้งเงินทอน และไหนที่ต้องวิ่งขายงานให้ ผู้จัดการเยี่ยงพนักงานร้านเขาคนหนึ่ง มีส่วนได้ส่วนเสีย ยิ่งอยู่ยิ่งทำให้รู้สึกเสื่อม พวกเราทำงานขายของให้พวกคุณระดับหัวหน้า ผู้บริหารได้ขับรถหรูมีบ้านใหญ่โตใช้ของแบรนด์เนมแพงๆ กินดีอยู่ดี บางครั้งก็แอบคิดว่าเอาเงินมากมายมาจากไหนกัน ความศรัทธาในวงการนี้แทบไม่เหลือ เพราะเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าการศึกษาที่ดี (อันนี้บ่นเพราะเหตุนี้ด้วยที่ทำให้ลาออก)
***เมื่อปีก่อนก็มีพนักงานจำนวนหนึ่งโดนฟ้องในลักษณะเดียวกันและยอมไกล่เกลียในชั้นศาลยอมจ่ายไปแล้ว และวันนี้เป็นเรา นัดแรกก็วันที่ 13 ธันวาคม 65 นี้แล้ว แต่พอคนยอมไม่เคยมีใครสู้ทำให้บริษัทยิ่งได้ใจ และก็จะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยเอกสารเซ็นรับสภาพหนี้ฉบับนี้ เคยไปปรึกษากับหลายๆ ที่ ก็บอกให้ไปไกล่เกลี่ยหนักได้กลายเป็นเบา สู้ไปก็เสียเวลาไม่ชนะ เขามีทนายมีคนรู้กฎหมายจะเอาอะไรไปสู้ ฟังแล้วถอถอย ท้อแท้มากๆ เลยค่ะ ทำไมต้องมาชดใช้เงินก้อนนี้ หากเรายอมเท่ากับบริษัทไม่ได้เสียอะไรเลย ค่าใช้จ่ายให้เซลล์ทำงานและมาหักจากเซลล์อีก และเราทำงานกลับต้องมาเป็นจำเลยโดนศาลฟ้อง ตอนนี้ใจขอสู้ค่ะ แพ้หรือชนะก็จะขอสู้ ถึงแม้ว่า ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปสู้ สู้เพื่อตัวเองค่ะ และสู้เพื่อคนอื่นๆ เพราะหากไม่มีใครทำอะไรเลย บริษัทฯ นี้ก็จะได้ใจ และใช้ระบบที่น่าชังทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ และต้องมีคนถูกเอาเปรียบอีกกี่คนและต้องมีคนที่ต้องอยู่กับสภาพแบบนี้อีกกี่คน บางทีความยุติธรรมมันก็เหนื่อยนะคะ กว่าจะได้มันมา ต้องทำยังไง หรือ พอจะมีทางที่จะชนะไหม และหากชนะ คนอื่นๆ ที่โดนไปก่อนนี้เขาจะรื้อคดีมาใหม่ได้ไหม เพราะทุกคนโดนแบบเดียวกัน และเราจะฟ้องเรียกค่าคอมได้ไหม เรื่องมันก็ผ่านมา 4 ปีแล้ว ใครเคยเจอแบบนี้ไหม หรือ เจออยู่ ต้องทำยังไง เราไปปรึกษามาแทบจะทุกหน่วยงานแล้วอ่ะ